ข้อเสนอในมือไทย บินเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ หวังดีลให้เหลือ 10% ขณะที่แบงก์ชาติคาดอาจถูกเก็บ 18%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง เตรียมนำทีมเดินทางไปสหรัฐฯ คืนนี้ (30 มิ.ย.) เพื่อเจรจากำแพงภาษีกับนายเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในวันที่ 3 ก.ค. ก่อนครบกำหนดเส้นตาย 90 วัน ที่กำลังจะถึงในวันที่ 7 ก.ค.นี้ เน้นหลักการ “Win-Win” ทั้งสองฝ่าย รักษาผลประโยชน์ของไทยเป็นหลักแต่ก็พิจารณาข้อจำกัดของสหรัฐฯ ด้วย
ไทม์ไลน์ “กำแพงภาษี”
นโยบายกำแพงภาษี (Universal & Reciprocal Tariffs) ถูกประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยจะเก็บภาษีสินค้าทุกชนิดจากทั่วโลกเพิ่ม 10% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. และเก็บภาษีต่างตอบแทนกับบางประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า มีผลบังคับใช้ 9 เม.ย. ซึ่งไทยเป็น 1 ในประเทศเหล่านี้ ถูกเรียกเก็บภาษี 36% ก่อนที่ต่อมาสหรัฐฯ จะประกาศเลื่อนเก็บภาษีดังกล่าวออกไป 90 วันเพื่อให้ประเทศคู่ค้ายื่นข้อเสนอเจรจา ซึ่งจะครบกำหนดดังกล่าวในวันที่ 7-9 ก.ค. 2568
ต่อมาวันที่ 14 พ.ค. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ รมว.คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจากำแพงภาษีกับสหรัฐฯ ว่าประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอให้สหรัฐฯ แล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.รอได้คิวพูดคุยเจรจาต่อไป โดยยึด 5 เสาหลัก ได้แก่
1. ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย-สหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล และการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี
2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ
...
3. การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย อาทิ ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
4. การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
5. ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น
จนล่าสุดวันนี้จันทร์ที่ 30 มิ.ย. รัฐบาลได้ออกมาได้ออกมาเปิดเผยว่า รมว.คลัง เตรียมนำทีมบินไปเจรจาในคืนนี้ โดยที่ผ่านมามีการเจรจาหารือกันมาโดยตลอดในหลายระดับทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีการยื่นข้อเสนอไปหลายครั้งและได้รับสัญญาณที่ดี นอกจากนี้ยังมีกำหนดการณ์หารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของสหรัฐฯ อีก 2-3 หน่วยงาน
ผลกระทบข้อเสนอ 5 เสาหลัก
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ได้วิเคราะห์ผลกระทบไว้ว่า ในส่วนของการนำเข้าวัตถุดิบ เพื่อนำมาแปรรูปในไทย หรือนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สามารถทำได้มากขึ้นโดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยไม่ถนัดเท่าสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง หรือการแบ่งสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง แต่ต้องมีมาตรการชดเชยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
หรือในส่วนของ “เนื้อหมู” และ “เนื้อวัว” ที่สหรัฐฯ อาจต้องการส่งออก แต่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่ไทยห้ามนำเข้าเนื่องจากกังวลเรื่องสารเนื้อแดง ถ้าจะนำเข้าก็ต้องมีการยืนยันและพิสูจน์ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันประเทศที่สามเข้ามาสวมสิทธิใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อเลี่ยงภาษีโดยเฉพาะ “ประเทศจีน” เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการช่วยผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานด้วย และการลงทุนในสหรัฐฯ หากเป็นจากภาคเอกชนก็ทำได้ แต่หากเป็นไปได้รัฐบาลควรขอความร่วมมือให้เอกชนแบ่งกำไรกลับมาลงทุนในไทยเพิ่มด้วย เพราะการลงทุนในประเทศของไทยยังอยู่ระดับต่ำมาก (อ่าน: เจาะลึก 5 ข้อเสนอ ไทยเจรจาภาษีสหรัฐฯ เกษตรกรไทยเตรียมรับแรงกระแทก)
...
ขอลดภาษีเหลือ 10 %
จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ ทางคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินว่า ไทยอาจจะถูกเรียกเก็บในอัตรา 18% จากที่ถูกตั้งไว้ 36%
นายพิชัย มองว่า 18% เป็นเพียงการประมาณการ ยังไม่มีใครทราบว่าสุดท้ายแล้วจะถูกเก็บเท่าไหร่ ซึ่งอาจจะต่ำกว่า 18% ก็ได้ ซึ่งไม่ว่าสหรัฐฯ จะเก็บไทยเท่าไหร่ ขอเพียงอย่ามากกว่าประเทศอื่น เพื่อให้เรายังมีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งทุกประเทศก็คงคิดเช่นเดียวกัน
ทีมเจรจาจะยึดถือผลประโยชน์ของไทยเป็นหลัก ก่อนพิจารณาจากข้อจำกัดของสหรัฐฯ ให้ผลออกมา “Win-Win” ทั้งคู่ ขณะเดียวกันก็จะพูดคุยเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures : NTMs) ปรับปรุงหลักเกณฑ์ ความไม่สะดวกทางการค้าต่างๆ ซึ่งคาดว่าการคุยในรายละเอียดของแต่ละประเทศน่าจะไม่จบง่ายๆ หากมีข้อเสนอที่ดีอาจจะเห็นการเลื่อนเก็บภาษีออกไปอีกได้
ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า คณะทำงานฯ ของไทย ได้ยื่นขอลดอัตราภาษีลงมาตามเป้าหมายที่ต้องการให้ลดเหลือ 10% เท่ากับระดับเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่ถูกเรียกเก็บภาษีในระดับทั่วไป