เจาะลึก 5 ข้อเสนอ ไทยเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ "นักวิชาการ" เตือนเกษตรกรไทยเตรียมรับแรงกระแทก แนะรัฐบาลเตรียมเงินเยียวยา-หารืออาเซียน แบ่งการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ พร้อมขอเอกชนนำกำไรกลับมาลงทุนในประเทศ 

จากกรณีที่สหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเตรียมขึ้นกำแพงภาษีกับหลายชาติทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่ขึ้นเป็น 36% ทางรัฐบาลไทยได้ตั้งทีมเจรจาและได้สรุปข้อเสนอออกมา 5 เสาหลัก (อ่าน : “พิชัย” เปิด 5 เสาหลักถกภาษีสหรัฐฯ หวังได้เจรจาเร็วๆ นี้ บอกสัญญาณเป็นบวก)

ไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยกับ รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ว่า 5 ข้อเสนอจะช่วยประเทศไทยจากนโยบายภาษีครั้งนี้ได้อย่างไร และไทยต้องเอาอะไรไปแลกมาบ้าง

เจาะลึก 5 ข้อเสนอ ไทยเจรจาสหรัฐฯ 

1.ความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย-สหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล และการลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ ชี้การเป็นหุ้นส่วนในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป คือการนำเข้าผลผลิตของสหรัฐฯ มาแปรรูปในประเทศไทย โดยส่วนหนึ่งก็เป็นผลผลิตที่ไทยสามารถผลิตได้เองภายในประเทศแต่ยังไม่เก่งเท่าสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ซึ่งในส่วนนี้มองว่ารัฐบาลสามารถทำได้ แต่ควรเตรียมมาตรการช่วยเหลือและชดเชยเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบ

ในส่วนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Data Center และ AI ไทยมีข้อได้เปรียบคือมีอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ รองรับการทำ Data Center ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เยอะ และไม่ถูกเก็บภาษีเนื่องจากเป็นบริษัทของสหรัฐฯ ที่มาตั้งในประเทศไทย เช่น Western Digital คาดว่าไทยและสหรัฐฯ จะเดินหน้าความร่วมมือต่อไปได้ดี อีกสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ดีคือ เซมิคอนดักเตอร์ แต่มีข้อกังวลเล็กน้อยในกระบวนการผลิตส่วนประกอบภายในของเซมิคอนดักเตอร์ เช่น ชิป, PCB (แผงวงจรพิมพ์) ที่ไทยยังนำเข้าวัตถุดิบ (Raw Materials) บางส่วนจากอาเซียนและประเทศจีน

...

ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องดูแลอย่างใกล้ชิดว่าจะถูกสหรัฐฯ เพ่งเล็งในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะสหรัฐฯ ค่อนข้างเซนซิทีฟเรื่อง AI ถ้าไทยยังใช้ของจีนหรือผู้ประกอบการบางส่วนที่มาลงทุนในไทยยังมาจากจีนอยู่ ก็ต้องทำให้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่การสวมสิทธิ แต่มีการเพิ่มมูลค่า (Value added) ในประเทศ ก่อนส่งออกไปสหรัฐฯ

นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ต้อนรับนางรูธ โพรัท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนจาก Google  หารือการลงทุน Data Center ในประเทศไทย (1 ต.ค.67)
นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ต้อนรับนางรูธ โพรัท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนจาก Google หารือการลงทุน Data Center ในประเทศไทย (1 ต.ค.67)

2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร และเครื่องบิน ส่วนประกอบและอุปกรณ์บริการ

ประเทศไทยนำเข้าพลังงานจากตะวันออกกลางเป็นหลักที่ราว 30%, จากกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา-ลาว-เมียนมาร์-เวียดนาม) ราว 19%, จากสหรัฐฯ ราว 10-12% จากอินโดนีเซีย ราว 5% และมาเลเซีย ราว 9% โดยนำเข้ามาในรูปแบบของ LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว), น้ำมัน โดยมองว่าการที่ไทยจะปรับสัดส่วนลดการนำเข้าจากตะวันออกกลางบางส่วน เปลี่ยนมาเป็นสหรัฐฯ แทนก็ไม่ได้ผิดอะไร

แต่การนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ต้นทุนค่าพลังงานเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งพลังงานมีความเชื่อมโยงกับภาคทางเศรษฐกิจอื่นๆ แทบทั้งหมด ดังนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับ ดูว่าต้องทำอย่างไรให้พลังงานยังอยู่ในราคาที่ทำให้ประเทศเดินต่อไปได้และไม่กระทบกับภาคเศรษฐกิจและภาคครัวเรือน ซึ่งหากมีมาตรการชดเชยที่ดี ราคาพลังงานก็อาจไม่เพิ่มสูง

ในส่วนของเครื่องบิน คิดว่าจะออกมาในรูปแบบที่ให้การบินไทยซื้อเครื่องบินโบอิ้ง (Boeing) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ หรือการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่ม ซึ่งก็ต้องถามการบินไทยว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน และถ้าหากไทยซื้อโบอิ้งแต่ไม่ซื้อแอร์บัส ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อีกเจ้าจากสหภาพยุโรป จะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ไทยกำลังหารือการลงนามในข้อตกลงการค้าอาเซียน-อียู

...

3. การเปิดตลาดสาขาเกษตรของไทย อาทิ ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

คาดจะเป็นการลดภาษีสินค้าเกษตรรวม 1 หมื่นกว่ารายการ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะลดในสินค้าตัวไหนบ้าง และโครงสร้างการลดภาษีจะไปในทิศทางใด จึงอาจไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนนัก แต่จากข้อเสนอนี้คาดว่าจะมีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น โดยประเทศไทยควรลดภาษีทั้งในส่วนของสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบ (Raw Materials) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Product) ไปพร้อมๆ กัน 

ตัวอย่างที่รัฐบาลยกมาอย่าง “ผลไม้” ตอนนี้ผลไม้หลักๆ ที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ คือผลไม้เมืองหนาว เช่น เชอร์รี่ แอปเปิล หากเปิดตลาดเพิ่มขึ้นอีกก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก เพราะเกษตรกรผู้ผลิตผลในไทยไม่ใช่กลุ่มใหญ่ แต่อย่างไรก็ต้องหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มนี้ด้วย 

ในส่วน “เนื้อวัว” และ “เนื้อหมู” ที่สหรัฐฯอาจต้องการส่งออก อยู่ในกลุ่มสินค้าควบคุมที่ไทยห้ามนำเข้าเนื่องจากกังวลเรื่อง “สารเนื้อแดง” จึงยังไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะนำเข้ามาหรือไม่ แต่ถ้าจะนำเข้าก็ต้องมีการยืนยันและพิสูจน์ว่าสารเร่งเนื้อแดงไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเพื่อให้ประชาชนมั่นใจ ซึ่งหากผ่านมาตรฐานด้านสุขอนามัยก็อาจจะเปิดตลาดเพิ่มได้

4. การบังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า

กฎหมายฉบับนี้ บังคับให้การนำเข้าสินค้าต้องผ่านการแปรรูปและเพิ่มมูลค่า (Value added) ในประเทศอย่างน้อย 40% ก่อนส่งออก ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่อาจยังไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังมากพอ ทำให้มีสินค้าหลายชนิดเพิ่มมูลค่าในไทยไม่ถึง 40% เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังมากขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ดี ช่วยคลายข้อกังวลในการส่งออกสินค้า เกิดการซื้อวัตถุดิบและสินค้าในประเทศมากขึ้นเพื่อนำไปใช้เพิ่มมูลค่า ถือเป็นการช่วยผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานด้วย

...

5. ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ มองว่า หากการขยายการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มาจากภาคเอกชนไม่ใช่ภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจก็คงไม่เป็นอะไร เพราะแต่ละบริษัทคงคำนวณกำไรขาดทุนของตัวเองไว้อยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ดี การลงทุนในประเทศของไทยยังอยู่ระดับต่ำมาก ในปี 2024 ภาพรวมเติบโตแค่ 0% โดยการลงทุนจากภาคเอกชนเติบโตติดลบ -1.6% และแม้ว่าตัวเลขการลงทุน FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) จากการขอบัตรส่งเสริมจะกลับมาเยอะ แต่ตัวเลขจริงที่ออกมา ไทยยังรั้งท้ายประเทศกลุ่ม ASEAN-5 อยู่ (คือ 5 ประเทศผู้ก่อตั้ง ASEAN ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) 

ฉะนั้นการที่ภาคเอกชนไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านภาษี หากเป็นไปได้รัฐบาลก็ควรขอความร่วมมือให้แบ่งกำไรที่ได้จากการลงทุนนั้นกลับมาลงทุนในประเทศด้วย โดยรายได้ต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 7,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.5 แสนบาท) น้อยกว่าสหรัฐฯ 10 เท่า เราจึงยังต้องการเงินจากบริษัทของไทยกลับมาช่วยประเทศไทยอยู่

...

ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ขาดดุลการค้ากับต่างชาติในระดับสูงเช่นเดียวกับสหรัฐฯ คือมีการนำเข้ามากกว่าการส่งออก แต่ญี่ปุ่นไม่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยหลังจากการระบาดโควิด-19 มีการส่งกลับกำไรของการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศต่างๆ เยอะขึ้น และไปชดเชยในส่วนที่ขาดดุลการค้าได้

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ มองว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้จะมีความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายกำแพงภาษีแต่ว่าไทยยังคงส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ได้อยู่ โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีห่วงโซ่อุปทานเหมือนจีน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้โอกาสเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ จึงยังสูงอยู่ ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่สุดของการเจรจาครั้งนี้ คือต้องสอบถามให้ชัดเจนว่า สหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับไทยมากน้อยแค่ไหน เพราะหากสหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้ามาก ไทยก็ต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และอาจต้องรับมือกับผลกระทบภาคเกษตรมากกว่าที่ตั้งใจไว้

รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการอุดหนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจออกมาในรูปแบบการให้เงินสนับสนุนหรือเงินชดเชยก่อน จากนั้นจึงช่วยเหลือในรูปแบบสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, ช่วยหาตลาดอื่นในการกระจายสินค้า และคิดหาวิธีช่วยลดต้นทุนการผลิตและขยายการส่งออกให้ภาคเกษตรกร เช่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบชลประทาน การร่วมทุนกับเอกชนเพื่อพัฒนาพันธุ์พืช การพัฒนาคนในด้านดิจิทัล ฯลฯ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าไทย และเพิ่มห่วงโซ่อุปทานในประเทศ  

กรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case Scenario) ที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาครั้งนี้ คือถ้าประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศที่มีห่วงโซ่อุปทานคล้ายๆ กัน เช่น เวียดนาม สามารถเจรจากับสหรัฐฯ และลดภาษีได้มากกว่าไทย ไทยก็จะส่งออกได้น้อยลง แต่ขณะเดียวกัน เวียดนาม ที่ส่งออกสินค้าแทนที่ไทยได้มากขึ้น ก็จะเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่าเดิมและต้องนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นนี่จึงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีประเทศไหนชนะเลย

ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถพูดคุยร่วมมือกับอาเซียนได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะไทยก็ยังต้องการวัตถุดิบ (Raw Materials) จากอาเซียนในหลายๆ ส่วน เช่น ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ หรือในส่วนของสินค้าเกษตรก็มีการส่งออก-นำเข้าในอาเซียนด้วยกันพอสมควร ถ้าเราสามารถทำให้แน่นแฟ้นขึ้นให้สหรัฐฯ มองเห็น ความสามารถในการต่อรองกับสหรัฐฯ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น หรือพูดคุยกันว่าจะแบ่งกันนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างไรให้แต่ละประเทศได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งล่าสุดรัฐบาลไทยมีการพูดคุยกับเวียดนามและอินโดนีเซียแล้ว ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี

“ถึงแม้ว่าเราจะเจรจาสำเร็จ แต่ในอีก 2-3 ปีที่ทรัมป์ยังอยู่ และการขาดดุลการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ไม่ได้ลดลง ซึ่งก็คิดว่าน่าจะลดไม่ได้มากเพราะเรายังส่งออกได้เยอะอยู่ สหรัฐฯ ก็อาจต้องการให้ไทยนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก และคนที่ได้รับผลกระทบอย่างภาคเกษตรกรของเรามีความพร้อมแค่ไหน เราต้องเตรียมรับมือไปอีกขั้น มองเผื่อออกไปในอนาคต”

รัฐออกมาตรการรับมือ 

เมื่อวันที่ 16 พ.ค.68 ที่ผ่านมา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะหามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ เบื้องต้นระยะแรกจะใช้ให้ความช่วยเหลือ 6 กลุ่ม คือ

  1. ผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ
  2. ผู้ประกอบการ SME ที่เกี่ยวข้องการส่งออกไปสหรัฐฯ
  3. ผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในไทย
  4. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  5. ธุรกิจท่องเที่ยว
  6. SME เอสเอ็มอีทั่วไป

ให้ธนาคารออมสิน เตรียมออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) อีก 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0.01% เพื่อปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยกู้ให้กับผู้ส่งออกและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันลูกค้าธนาคารออมสิน หากเป็นผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบ ให้ลดดอกเบี้ยให้ 2-3% เพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่อง

ในวันนี้ (19 พ.ค.) ยังได้มีการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นประธาน ได้พิจารณาชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผันงบมาช่วยแก้ปัญหาที่เร่งด่วนก่อน ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ด้วย