สมการการเมืองที่เปลี่ยนไป หลัง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตพรรคก้าวไกล ไปไม่ถึงฝั่งฝันโดนอำนาจมืดรุมถล่มยับ จนชวดนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ต้องเปิดทางให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค ซึ่งมี 3 คน และมีความเป็นได้สูงในการเสนอชื่อตัวเต็ง “เศรษฐา ทวีสิน” เข้าชิงชัยฝ่าด่าน สว. ให้ได้เสียงสนับสนุนจากที่ประชุมสองสภา 376 เสียงขึ้นไป ก็จะผ่านฉลุย

แต่เกมการเมืองไทยมีหลายปมซ่อนเงื่อน เพราะ สว. และ สส.พรรคขั้วอำนาจเดิมออกมาประกาศชัดไม่เอาพรรคก้าวไกล และไม่ให้แตะมาตรา 112 กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย จะต้องทำอย่างไรในการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ให้สำเร็จ หรืออาจต้องโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ยกเว้นว่าพรรคก้าวไกลจะประกาศขอเป็นฝ่ายค้าน ทุกอย่างก็จะลงตัว แต่คงไม่ง่าย

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเมืองไทยจะเดินไปในทิศทางใด นำไปสู่การถอดสมการสูตรจัดตั้งรัฐบาลที่น่าจะเป็นไปได้มากสุดและมีโอกาสเป็นไปได้น้อยสุด จากการฉายภาพให้เห็นของ “รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย” อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ชี้ว่า พรรคก้าวไกลมีโอกาสเป็นฝ่ายค้าน มากถึง 90% ขณะที่พิธา มีโอกาสไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มากถึง 99% ซึ่งอีก 1% อาจมีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ กรณีปมข้อบังคับ 41 เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำไม่ได้ แต่กว่าจะมีคำวินิจฉัย ก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ไปแล้ว

...

“แต่ที่น่ากังวลว่าวันนี้ก้าวไกล จะอยู่ในสภาในลักษณะไม่มีหัว เกรงว่าจะเกิดปรากฏการณ์ผึ้งแตกรัง เหมือนกรณีอนาคตใหม่ จึงเชื่อว่ามีโอกาสจะปรับสมการสูตรจัดตั้งรัฐบาล หลังเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แทนก้าวไกล”

สูตรจัดตั้งรัฐบาล "เพื่อไทยข้ามขั้ว" เขี่ยก้าวไกล เป็นฝ่ายค้าน

สูตรจัดตั้งรัฐบาล ในมุมมองของ รศ.ดร.ยุทธพร มีด้วยกัน 3 แบบ ไล่มาตั้งแต่สูตรจัดตั้งรัฐบาล “เพื่อไทยข้ามขั้ว” แบบ 1 พรรคเพื่อไทย 141 เสียง รวมกับพรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง และพรรคประชาชาติ 9 เสียง รวม 6 พรรค 296 เสียง หรืออาจดึงพรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง และพรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง รวม 9 พรรค จะได้ 305 เสียง

“สูตรนี้เป็นได้ 60% ได้เสียง 296 ก็น่าจะพอ ต้องการเสียง สว. และ สส. อีก 80 เสียงในการโหวตนายกฯ ถ้ามี 9 พรรค ก็อีก 71 เสียง แต่จะบริหารจัดการยาก และสมการนี้ก็จะมีปัญหาเพราะมี 1 ลุงมาร่วม คือลุงป้อม รวมถึงต้องตอบคำถามเรื่องความชอบธรรม ถ้าก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน โดยเฉพาะกับกลุ่มม็อบ”

อีกสูตรจัดตั้งรัฐบาล “เพื่อไทยข้ามขั้ว” แบบ 2 พรรคเพื่อไทย 141 เสียง รวมกับพรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง และพรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง รวม 8 พรรค 265 เสียง

“เป็นสูตรที่ก้าวไกล เป็นฝ่ายค้าน ก็จะเกิดปัญหาเรื่องความชอบธรรม แต่ไม่มี 2 ลุง ไม่มีพลังประชารัฐ ไม่มีรวมไทยสร้างชาติ เป็นการเอาพรรคเล็กมารวมกัน และการมี 8 พรรค ก็บริหารจัดการยากเช่นกัน และเสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่มาก จะงานหนัก เพราะต้องการเสียง สว.และ สส.โหวตให้เป็นนายกฯ อีก 111 เสียง ซึ่งสูตรนี้มีโอกาสเป็นไปได้ 70%”

สูตรจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค มีก้าวไกลร่วม ยากจะฝ่าด่านหิน

สูตรจัดตั้งรัฐบาล “8 พรรคร่วมรัฐบาล” แบบ 3 พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคก้าวไกล 151 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง และพรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง รวม 312 เสียง หรืออาจจะเติมอีก 35 เสียง ให้ได้ 347 เสียง ในการดึงพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง และพรรคประชาธิปัตย์ อีก 25 เสียง ซึ่งต้องการเสียงสว. และ สส.โหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี อีก 29 เสียง เท่านั้น

“เพื่อไทย เป็นแกนนำ แต่ก้าวไกลยังอยู่ ทำให้ยาก เพราะ สว. และ สส.ส่วนใหญ่ จะไม่โหวตให้เป็นนายกฯ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ในวันโหวตนายกฯรอบแรก ก็พบว่า สว.ส่วนใหญ่ งดออกเสียงหรือไม่มาประชุม ส่วน สส.ส่วนใหญ่ ไม่เห็นชอบพิธา ขณะที่ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา งดออกเสียง เพราะอย่างไรแล้วก็ไม่เอาก้าวไกล ซึ่งสมการนี้เกิดได้ยาก มีโอกาสจะสลายขั้ว 8 พรรคร่วม อาจปรับเอ็มโอยู หรือยกเลิกกันไปเลย”

...

ขณะที่มติที่ประชุมรัฐสภาในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้เพียงครั้งเดียวตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 นอกจากตัดสิทธิพรรคก้าวไกล ในการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังเป็นเกมบีบพรรคเพื่อไทย เหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัว เพราะก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จะมีโอกาสสูงที่จะไม่มีพรรคก้าวไกล ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย

โจทย์ใหญ่เพื่อไทย ต้องเลือก ยอมเจ็บ เพื่อตั้งรัฐบาล

บทสรุปจากการถอดสมการสูตรจัดตั้งรัฐบาล ฉบับ รศ.ดร.ยุทธพร นอกจากพรรคก้าวไกล มีโอกาสจะได้เป็นฝ่ายค้าน มากกว่า 90% ยังมี 3 ปัจจัยที่มีผลต่อการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไล่เรียงตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศวางมือทางการเมือง เพราะมีนายกรัฐมนตรีในดวงใจ และมีการเช็กเสียงแล้ว ส่วนการที่ทักษิณ ชินวัตร จะกลับบ้านได้หรือไม่นั้น ต้องมีพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และยังมีปัจจัยภายนอกจากการเมืองนอกสภาแบบมวลชน นำไปสู่เกมในการปรับสมการทางการเมือง

...

“วันนี้เพื่อไทย มีโจทย์ใหญ่ว่าจะเลือกทางเดินแบบไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็เจ็บตัวทั้งนั้น อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะสมการการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และคนเลือกเพื่อไทย ก็ยังสนใจจะเลือก อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร เลือกเศรษฐา เป็นนายกฯ ไม่เลือกพิธา และประเมินระยะเวลาการจัดตั้งรัฐบาล น่าจะประมาณต้นเดือน ส.ค. กว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง และไม่มีอุปสรรคใดที่เพื่อไทย จะไม่ได้เป็นแกนนำ”.