คดีสะเทือนขวัญ แอม ไซยาไนด์ ผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาลักทรัพย์ มีญาติเหยื่อที่สงสัยว่าเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตกว่า 14 ราย นักนิติเวชศาสตร์ ชี้ถึงหลักฐานสำคัญต่อจากนี้ เพราะหลายกรณีเสียชีวิตโดยไม่มีการผ่าชันสูตรศพ ทำให้ต้องหาหลักฐานจากสภาพแวดล้อมเชื่อมโยง เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย
รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า คดีแอม ไซยาไนด์ เป็นคดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นครั้งแรกในไทย ต่อจากนี้ต้องมีการพิสูจน์หลักฐานทางการแพทย์ในกลุ่มผู้เสียชีวิต ว่ามีสารไซยาไนด์ในกลุ่มผู้เสียชีวิตที่มีการผ่าพิสูจน์ศพ แต่ผู้เสียชีวิตที่ไม่มีการผ่าพิสูจน์ และฌาปนกิจไปแล้วจะพิสูจน์ยาก แต่ต้องไปหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อหาการเชื่อมโยง เพราะสารไซยาไนด์เจือจางได้ยาก หากสัมผัสหรือใส่ในวัตถุต่างๆ ที่ต้องสงสัย แม้ผ่านมาเป็นปี ยังตรวจพบได้
“กรณีนี้ต้องว่าด้วยพยานหลักฐาน เพราะผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ดังนั้น หลักฐานสำคัญต่อจากนี้คือ การตรวจหาสารไซยาไนด์ ในพื้นที่ต้องสงสัย เมื่อพบแล้วต้องมาประเมินว่า มีสารมากถึงขนาดทำให้เสียชีวิตหรือไม่ ถ้ามีปริมาณมาก ผู้เสียชีวิตได้รับสารมาทางไหน เพราะไซยาไนด์มีผลต่อร่างกาย ทั้งการสูดดม สัมผัส และการกิน”
...
สำหรับหลักฐานทางคดีต่อจากนี้ มีจุดน่าสังเกตสำคัญดังต่อไปนี้
- สารไซยาไนด์ ออกฤทธิ์ต่อร่างกายมนุษย์เพียงเสี้ยววินาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ถ้าพบเหยื่อมีการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ทั้งที่ร่างกายแข็งแรง ก่อนเสียชีวิตเฉียบพลัน ต้องมีการดื่มกินอะไรบางอย่าง สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานั้น ถือเป็นผู้ต้องสงสัย ตัวอย่างการเสียชีวิตของคุณก้อย เมื่อตรวจพบมีสารไซยาไนด์ในร่างกายก่อนเสียชีวิต ต้องตรวจสอบว่า 1 ชั่วโมง ก่อนเสียชีวิต มีใครเข้าไปพบผู้ตาย และต้องหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ในระหว่างก่อนเสียชีวิตมายืนยัน
- เหยื่อที่ไม่มีการผ่าชันสูตรการตาย ไปทำการรักษาที่โรงพยาบาล มีบันทึกสัญญาณชีพก่อนตาย ถ้ามีตัวอย่างเลือดเก็บเอาไว้ สามารถนำมาตรวจพิสูจน์หาหลักฐานใหม่ได้ หรือดูบันทึกอาการ เพื่อหาความเชื่อมโยงในหลักฐานแวดล้อม
- ผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เช่น แด้ ไม่มีการผ่าชันสูตรศพ ดังนั้น รูปภาพในวันเกิดเหตุเป็นหลักฐานสำคัญ ต้องพิจารณาร่วมกับใบชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุ เพื่อหาความเชื่อมโยงว่าผู้ตายได้รับสารพิษจริงหรือไม่
- คนที่เสียชีวิตจากสารไซยาไนด์ มีสารพิษตกค้างในร่างกาย สามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะและเลือด ปกติไซยาไนด์เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ถูกขับออกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1-3 ชั่วโมง หากผ่านไป 6 ชั่วโมง สารพิษถูกขับออกมา 75 เปอร์เซ็นต์ ถ้าผ่านไป 9 ชั่วโมง ถูกขับออกมา 87.9 เปอร์เซ็นต์ โดยขับออกมาผ่านปัสสาวะ จึงเป็นไปไม่ได้ที่มีการกล่าวอ้างว่า คนร้ายใช้ไซยาไนด์ เพราะไม่มีหลักฐานสารตกค้างในร่างกายผู้เสียชีวิต
- น่าสังเกตว่าการเสียชีวิตของแด้ ระบุว่า ญาติไม่ติดใจการเสียชีวิต จึงไม่ได้ผ่าพิสูจน์ศพ แต่ด้วยพยานแวดล้อมสันนิษฐานว่า ความใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่และญาติผู้ตาย อาจมีการเกลี้ยกล่อมไม่ให้มีการผ่าพิสูจน์ ขณะเดียวกันหลายเคสไม่ได้ผ่าชันสูตร ประเด็นนี้ต้องไปหาข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายเก็บหลักฐานเป็นรายกรณี
- หลักฐานแวดล้อม เป็นอีกประเด็นสำคัญ เพราะสารไซยาไนด์ เมื่อสัมผัสกับวัตถุต่างๆ จะมีสารตกค้างอยู่บริเวณนั้น สามารถตรวจสอบได้ หากไม่มีการรบกวนโดยการทำความสะอาด แต่น่าสนใจว่าหากมีการทำความสะอาด ตัวสารนั้นยังตกค้างอยู่ในวัตถุที่ทำความสะอาด เช่น ผ้าเช็ดพื้น
- ภาพรวมของประเทศไทย มีการก่ออาชญากรรมด้วยการวางยาหลายกรณี แม้สารพิษไม่มีการขายในท้องตลาด ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ควรเข้มงวดในการควบคุม ขณะที่ประชาชนทั่วไปควรระมัดระวัง ไม่รับประทานอาหารจากคนแปลกหน้า หรือผู้ที่ไม่น่าไว้วางใจ.