เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง สำหรับ กรณีคนร้ายบุกขโมย “พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์” ที่มีเนื้อโลหะสีดำ ความสูงประมาณ 10 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว ประดับอยู่ในซุ้มด้านหน้าฝั่งซ้ายบริเวณทางเข้าอาคารสำนักงานสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม ภายในเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งล่าสุด ทางตำรวจที่เกี่ยวข้องเชื่อว่ามีใบสั่ง...
ในประเด็นเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับสัตว์ในหิมพานต์ หรือ เกี่ยวของกับเทพเจ้า ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ชวนคุยกับ ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญา พุทธศาสนา ภาษาศาสตร์ (เขมร) ซึ่งได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ มากมาย พร้อมตั้งข้อสังเกตอย่างน่าสนใจ
ความเชื่อ พญาคชสีห์ สัตว์หิมพานต์จากจินตนาการ
ผศ.ดร.กังวล กล่าวว่า หากเรารู้เรื่องเทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เราจะทราบว่ามีสัตว์ที่ทำหน้าที่เป็นพาหนะของเหล่าเทพ มากมาย เช่น พระพรหมทรงหงส์ พระนารายณ์ทรงครุฑ หรือ พระศิวะ ก็ทรงวัว พระอินทร์ ก็ทรงช้าง
...
“เทพในสมัยโบราณยุคแรกๆ ยังคงเกี่ยวข้องกับสัตว์ที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน หรือ เป็นสัตว์ทั่วไปที่สัมพันธ์กับมนุษย์ แต่พอยุคหลัง มนุษย์เราจินตนาการขึ้นมา ให้มีสัตว์แปลกๆ มากขึ้น ครั้นจะมาอาศัยในโลกมนุษย์เราก็คงเห็นกันแล้ว ดังนั้น สัตว์แปลกทั้งหลาย จึงถูกให้ไปอยู่ใน “ป่าหิมพานต์” จากจินตนาการของมนุษย์ ดังนั้น “ป่าหิมพานต์” จึงเหมือนสถานที่ปลดปล่อยจินตนาการ มีสัตว์แปลก ครึ่งคน ครึ่งนก มากมาย
อาจารย์กังวล กล่าวว่า เมื่อมีการสร้างสัตว์เหล่านี้ขึ้นมาแล้ว จึงต้องใช้เป็น “สัญลักษณ์” อะไรที่แสดงความมีอำนาจ คนจะคิดถึง สิงห์ สัตว์อะไรที่เข้มแข็งกว่าสิงห์ ก็ต้องเป็นช้าง จึงกลายเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่รวมกันเรียกว่า “คชสีห์”
เมื่อมีสัญลักษณ์แล้ว ก็ต้องมี “หน้าที่” จึงมีการกำหนดบทบาทให้ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการทหาร และราชวงศ์
“ความจริง หากมองในภาพรวมของรูปปั้นคชสีห์ เหมือนกับสัดส่วนของสัตว์มันผิดปกติ จะเอามาใช้งานก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ จึงคาดว่า จึงมีการนำมาใช้ในสัญลักษณ์ทางการทหาร..”
คาด “คชสีห์” เกิดในยุคหลัง
อาจารย์กังวล ได้ย้อนประวัติศาสตร์พันกว่าปี จากหลักฐานที่นครวัด พบว่า หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทหารจริงๆ คือ “ลิง” โดยมีรูปธงลิง หรือที่เรียกว่า “กระบี่ธุช” โดยจะใช้นำหน้ากองทหารในแต่ละเมือง หากเป็นกษัตริย์ ก็อาจจะมีการใช้ “พระนารายณ์ทรงครุฑ” ฉะนั้น ในอดีต หากจะมีการนำสัตว์ที่มาใช้แทนสัญลักษณ์ทหาร ก็จะออกมาในรูปแบบนี้
“ส่วนตัวมองว่า การสร้างสัตว์ในจินตนาการแล้วมาผูกโยงกับเรื่องราวทางการทหาร น่าจะเกิดยุคหลัง สมัยนครวัด เพราะไม่มีตัวอย่างปรากฏเลยว่าถูกสร้างขึ้นมา แต่เมื่อมาดูทางประเทศอินเดีย ก็พอมี การสร้างสัตว์แปลกๆ ขึ้นมา ในสมัยราชวงศ์คงคา หรือ คงคาตะวันตก แต่จะมีลักษณะอีกแบบ คล้ายเสือเขี้ยวดาบ แต่สัตว์เหล่านี้ไม่ได้มี “สถานะ” ไม่สูง เมื่อเทียบกับสัตว์ที่เป็นพาหนะเทพ
ฉะนั้น เชื่อว่า การจินตนาการ “คชสีห์” ขึ้นมา จึงเชื่อว่า สถานะจึงไม่สูง เนื่องจากไม่ใช่ พาหนะของเทพเจ้า ถึงแม้จะมีส่วนผสมของสัตว์ที่ดูมีพลังอำนาจ ก็ตาม แต่การสร้างสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ รูปแบบใหม่ขึ้นมา จึงไม่สามารถแทนที่ของเก่าได้ ด้วยเหตุนี้ จึงถูกลดระดับลงมา เหลือเพียง กระทรวง หรือ ทหาร ที่สามารถแสดงอำนาจได้ จึงมีการนำไว้ที่หน้ากระทรวง
...
“พนัสบดี” สัตว์ลูกผสม ที่โผล่ในแถบประเทศไทย
อาจารย์กังวล ยังนึกถึง “พนัสบดี” จะปรากฏในช่วงสมัยทวารวดี โดยเอาพาหนะ ของเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มารวมกัน ได้แก่ ครุฑ หงส์ และวัว โดยมีพระพุทธเจ้าเหยียบบนสัตว์เหล่านี้ โดยมีการตีความทางวิชาการว่า พระพุทธเจ้าอาจจะอยู่เหนือกว่า เรียกว่า “ข่มกัน” เห็นๆ ซึ่งความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่สมัยทวารวดี ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ก็ไม่เคยไปปรากฏที่ประเทศอื่นๆ ด้วย แม้แต่ทางเขมรก็ไม่มี
“ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่ก็รับวัฒนธรรมมาจากประเทศอินเดีย แต่การรับวัฒนธรรมนั้น เป็นการรับแค่บางส่วน เพื่อมาร่วมพัฒนากับความเชื่อดั้งเดิม ยกตัวอย่างเช่น การแบ่งชนชั้นวรรณะ ที่อินเดียเข้มข้นมาก ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและในประเทศไทย ไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ หรือประเพณีถวายข้าวพระพุทธก่อนที่พระจะฉัน ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าจะฉันหรือไม่ แต่คนที่คิดว่าน่าจะมี ก็เลยเอามาปรับปรุงใส่เข้ามา ฉะนั้น เรื่องคชสีห์ แน่นอนว่า ทางอินเดีย เขาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่บ้านเรายึดถือ”
ดังนั้น เมื่อเราไปดูสัตว์ในป่าหิมพานต์ ก็จะมีความแตกต่างกัน ที่อินเดียก็แบบหนึ่ง ในประเทศไทย ก็เป็นอีกแบบ โดยประเทศไทยมีการสร้างสัตว์มากมาย เช่น นกประหลาดๆ อย่าง “หัสดีลิงค์” ที่กินช้างได้ ซึ่งตามจินตนาการต้องเป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่ง “หัสดีลิงค์” ของอินเดีย ถือเป็นเรื่องเล่าธรรมดา แต่พอเข้ามาในประเทศไทย กลายเป็นวิถีชีวิต ซึ่งภายในฌาปนกิจ หลวงพ่อคูณก็นำมาใช้ ซึ่งหากมาดูจริงๆ “หัสดีลิงค์” ของไทย กับ อินเดีย เรียกว่าเป็นคนละตัวก็ว่าได้
...
ตั้งข้อสังเกต การขโมย เพื่อขาย หักหน้า หรือ ทำลายพิธีกรรม?
การขโมย “พญาคชสีห์” อาจารย์กังวล ได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นการขโมยตามใบสั่ง คำถามคือ ใครจะรับซื้อ เมื่อซื้อไปก็ตั้งโชว์ก็ไม่ได้
นอกจากนี้ อาจารย์กังวล ยังตั้งข้อสังเกตว่า การขโมย อาจจะเป็นการหักหน้าใครบางคน หรือ ต้องการ “ทำลายพิธีกรรม” อะไรบางอย่าง โดยมีเป้าหมายคนใดคนหนึ่งหรือไม่?
อาจารย์กังวล เล่าว่า ในอดีตมีความเชื่อว่า หากต้องการทำร้ายทำลายใคร หากทำเจ้าตัวไม่ได้ ก็จะเลือกไปทำกับสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ หรือ บางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะหนุนดวงของคนๆ นั้น เช่น ไม่ชอบเจ้ากระทรวงนี้ แต่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำลายสัญลักษณ์ ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีข่าวเกี่ยวกับ “นรสิงห์” ในทำเนียบ
“เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีการทุบทำลายปราสาทพนมรุ้ง โดยมีการทุบจมูกของพญานาค ศิวลึงค์ และ ทวารบาล โดยมีคำเล่าลือว่า การทำดังกล่าว เพื่อเสริมดวง แต่ก็มีคนไปทำลายพิธี ซึ่งก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้หรือไม่”
อาจารย์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ยังกล่าวต่อไปว่า ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ดั้งเดิม เวลาที่จะตีเมือง สิ่งที่ต้องทำลายให้ได้ คือ สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนั้น เพราะการตีเมืองแตก ผู้คนยังรวมตัวกันได้ เพราะหากยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ถ้าทำลายสิ่งที่ยึดเหนียว เหมือนเป็นการทำลายอีกพิธีกรรมหนึ่ง
...
เช่นเดียวกับที่เขมรสมัยโบราณ ที่มี “ปราสาทนาคพัน” หรือตัวแทน “สระอโนดาต” ที่เป็นอนาจักรเขมร ซึ่งตามความเชื่อคือ หากสระอโนดาต ยังอยู่ได้ โลกนี้ก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าสระอโนดาต แห้ง ก็จะทำให้อาณาจักร หรือโลกล่มสลาย ซึ่งปรากฏว่า มีคนไปทำลายบริเวณมุมคันกั้นน้ำ เพื่อให้น้ำไหลออก จะได้น้ำแห้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่า “พระนคร” ของ “เขมร” ถึงการล่มสลาย เพราะน้ำในสระมันแห้ง ซึ่งนี่คือการตั้งข้อสังเกตของนักวิชาการฝรั่งด้วย
“วิธีการทำลายของมนุษย์ มันมีหลายวิธี นอกจาก ทำลายโดยตรงแล้ว ยังมีวิธีการทำลายทางความเชื่อ เพราะจะมีผลในทางจิตใจ”
ในพงศาวดารเขมร มีข้อมูลเขียนถึง ตอนที่พระนเรศวรยกทำไปตีเมืองละแวก พยายามโจมตีเท่าไรก็ไม่แตก เนื่องจากมีเทวดาดูแลรักษา 8 พระองค์ จนพระนเรศวรต้องส่งทหารเอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์ปลอมตัวเข้าไป เพื่อทำพิธีขับไล่เทวดา ซึ่งนี่คือ สิ่งที่พงศาวดารเขมรได้เขียนไว้ แต่ของบ้านเราไม่มี
“ฉะนั้น ความเชื่อเรื่องนี้มีตั้งแต่สมัยโบราณ ถามว่าได้ผลหรือไม่ “ผมก็ไม่รู้” ฉะนั้น บางคนถึงพยายามหาวิธีการคุ้มครองตัวเอง บางคนพกยันต์ ห้อยพระ หรือ ตะกรุด เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามเข้ามาทำลายได้” อาจารย์กังวล กล่าวทิ้งท้าย
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ
เปิดที่มา "พญาคชสีห์" สัตว์ในเทพนิยาย ตรากระทรวงกลาโหม ถูกขโมย อันตรธานหาย