เปิดใจ “แรงงานเมียนมา” ในไทย แห่เทเลือกตั้ง-ไปลงคะแนนหลักร้อย ชี้เป็นละครปาหี่สร้างความชอบธรรมรัฐบาลทหาร “นักวิชาการ” มองซ้ำเติมปัญหาภายใน บีบคนย้ายถิ่นทะลักเข้าไทยเพิ่ม
ขณะที่ประเทศไทย เดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ 2569 พรรคการเมืองต่างประกาศตัวผู้สมัคร เดินหน้าหาเสียง ในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เมียนมา” ก็กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งเช่นเดียวกัน โดยจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังกองทัพทำการรัฐประหารเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางข่าวลือการเสียชีวิตของอดีตผู้นำอย่าง “อองซานซูจี” และคำครหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือ Sham Elections หรือ การเลือกตั้งปาหี่ ที่ไม่เป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรม เป็นเพียงความพยายามในการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหารเท่านั้น ซึ่งชาวเมียนมาที่ออกมาต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์ถูกดำเนินคดีแล้วมากกว่า 200 คนในข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง
เลือกตั้งเมียนมา 2568-2569
...
สำหรับโครงสร้างของรัฐสภาเมียนมา จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2551 ที่ทหารยังมีส่วนร่วมสูง โดยประกอบด้วย
- ฝ่ายบริหาร ที่มาจากการสรรหาและเลือกตั้งของสมาชิกรัฐสภา มีวาระ 5 ปี มีอำนาจบริหาร แต่งตั้งบุคคลขึ้นเป็นรัฐมนตรี ยกเว้นกระทรวงด้านความมั่นคง 3 กระทรวง (กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกิจการชายแดน และกระทรวงกลาโหม) ที่มาจากการแต่งตั้งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
- ฝ่ายนิติบัญญัติ วาระ 5 ปี โดยมี 2 ระดับ
1.รัฐสภาสหภาพ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร (มีทั้งหมด 440 คน มาจากการเลือกตั้ง 330 คน และจากการคัดเลือกของกองทัพ 110 คน) และวุฒิสภา (มี 224 คน มาจากการเลือกตั้ง 168 คน และจากการคัดเลือกของกองทัพ 56 คน)
2.สภาท้องถิ่นประจำภาค/รัฐ จำนวนผู้แทนแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ผู้แทนที่ได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพคิดเป็นสัดส่วน 25% ของสภาทั้ง 2 ระดับ
การเลือกตั้งเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในปี แบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน และไม่ได้จัดการเลือกตั้งในทุกพื้นที่ของประเทศเนื่องจากยังอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมืองและรัฐบาลทหารไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2568, 11 มกราคม และ 25 มกราคม 2569 โดยอาจมีการเลือกตั้งในพื้นที่ราว 145 เขต จาก 330 เขตทั่วประเทศ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร
สำหรับพรรคการเมืองลงรับสมัครเลือกตั้งทั้งหมดเกือบ 60 พรรค โดยส่วนใหญ่เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก หรือพรรคที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับกองทัพ โดยในจำนวนนี้มีเพียง 6 พรรค ที่ส่งผู้สมัครลงแข่งทั่วประเทศ และมีพรรคชาติพันธุ์ 29 พรรค
6 พรรคที่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งทั่วประเทศ คือ พรรคเพื่อความเป็นปึกแผ่นแห่งสหภาพและการพัฒนา (USDP) ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคนอมินีของกองทัพ โดยมีอดีตนายทหารระดับสูงและรัฐมนตรีในรัฐบาล “มิน ออง หล่าย” หลายคนลงสมัคร และคาดว่าจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
ที่เหลือคือพรรคประชาชน (People’s Party) นำโดยอู โก โก จี, พรรคผู้บุกเบิกประชาชน (People’s Pioneer Party) นำโดยดอว์ เต็ต เต็ต ข่าย, พรรคประชาธิปไตยแห่งชนชาติฉาน (Shan and Nationalities Democratic Party) นำโดยสาย อาย เปา, พรรคแนวร่วมอารกัญ (Arakan Front Party) นำโดยดร.เอ หม่อง และพรรคประชาชนรัฐกะฉิ่น (Kachin State People’s Party) นำโดยดร.ตู จา
พรรคเหล่านี้ไม่ใช่พรรคใหม่แต่อย่างใด แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก โดยส่วนใหญ่เป็นพรรคที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับระบอบทหารมาแต่เดิม ขณะที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซาน ซูจี ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก่อน ได้ถูกยุบพรรคไปในปี 2566 หลังปฏิเสธที่จะลงทะเบียนภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองใหม่ของรัฐบาลทหาร
...
เสียงสะท้อนแรงงานเมียนมาในไทย
จากข้อมูลแรงงานข้ามชาติปี 2568 พบว่า “แรงงานชาวเมียนมา” มีจำนวนมากที่สุดในไทย โดยอยู่ในระบบ 2,932,768 คน จากแรงงานข้ามชาติในระบบทั้งหมด 3.6 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ดังนั้นผลการเลือกตั้งและสถานการณ์ภายในเมียนมาย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมาที่ไทยต้องรับผู้ลี้ภัยสงคราม และจำนวนแรงงานที่ทะลักเข้าเพิ่มมากขึ้น จากนโยบายบังคับเกณฑ์ทหารของรัฐบาลทหาร เป็นต้น
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยกับ เอ แรงงานชาวเมียนมาใน จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ แรงงานเมียนมาในไทยแทบไม่มีความตื่นตัวเลย ไม่มีคนสนใจ ซึ่งรวมถึงตนเองด้วย โดยมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส เชื่อว่าน่าจะมีชาวเมียนมาออกมาใช้สิทธิไม่ถึง 5% คนที่ออกมาเลือกก็เป็นพวกครอบครัว คนสนิท กลุ่มคนที่นิยมพรรคทหารเท่านั้น
“ที่พวกเราไม่ไปเลือกตั้ง เพราะรู้ว่าเลือกไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเราเลือกไปเขา (รัฐบาลทหาร) ก็ชนะอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เลือกก็เพราะว่าเรารู้สึกว่าการเลือกตั้งไม่ยุติธรรม และพรรคที่เราสนับสนุนก็ไม่อยู่แล้ว พรรคที่มีอยู่ตอนนี้ก็ดูไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่”
เปรียบเทียบแล้วบรรยากาศแตกต่างจากการเลือกตั้งในปี 2563 โดยสิ้นเชิง เอ เล่าต่อว่า ในครั้งนั้นแรงงานเมียนมาทั่วทุกมุมของประเทศไทยต่างพากันเหมารถทัวร์เข้ามาเลือกตั้งที่สถานทูตเมียนมา จน ถ.สาทรแน่นขนัด
“ตอนปี 2563 ถนนสาทร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานทูตมีแรงงานเต็มไปหมด เดินแทบไม่ได้ แรงงานที่อยู่ไกลมากทั้งหาดใหญ่ ปัตตานี ระนองก็ยังเหมารถทัวร์เดินทางมากัน ขนาดเราอยู่ที่ชลบุรี กว่าจะเดินทางกลับถึงบ้านก็ตี 2 แล้ว แต่ครั้งนี้พูดได้เลยว่าในชลบุรีก็แทบไม่มีคนมาเลือกตั้งสักคน”
...
เชื่อว่าหลังผ่านการเลือกตั้ง ทหารก็คงกลับมาเป็นรัฐบาลต่อ และคงไม่สนใจสวัสดิภาพแรงงานเมียนมาในประเทศไทยเหมือนเดิม และเชื่อว่าจะแย่กว่าเดิมด้วย เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังมีมาตรการเก็บภาษี เชื่อว่าเมื่อผ่านการเลือกตั้งมาอาจมีการออกกฎระเบียบที่จำกัดสิทธิ เสรีภาพมากกว่าเดิม
การเลือกตั้งบีบคนย้ายถิ่นเข้าไทยเพิ่ม
ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งเมียนมาที่กำลังจะจัดขึ้น ไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยจะมีการแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น Township (ทาวน์ชิป) ซึ่งหมายถึง เมืองเล็กๆ หรือตำบล 330 แห่งด้วยกัน ในจำนวนนี้ทาวน์ชิปมากกว่า 50 แห่งจะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเลย และในบางทาวน์ชิปที่มีการเลือกตั้งก็ไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วพื้นที่ เช่น อาจจัดคูหาเลือกตั้งได้แค่ในเขตเมืองเท่านั้น
เหตุผลที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในทุกพื้นที่ได้ เพราะในเมียนมายังมีการสู้รบกันสูงมาก แม้กระทั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ใต้การดูแลของกองกำลังชาติพันธุ์ อย่างเช่น ในพื้นที่สะกาย (Sagaing Region) ที่อยู่ตอนกลางของประเทศและประชาชนส่วนใหญ่เป็นชนชาติพม่า (Bamar) ก็เป็นพื้นที่สำคัญในการต่อต้านรัฐบาลทหาร ซึ่งหลังจากมีการประกาศการเลือกตั้งก็พบว่า การสู้รบในเมียนมาไม่ได้ลดลงเลย กลับกันคือการสู้รบกันเข้มข้นมากขึ้นด้วยซ้ำ
...
ดร.ศิรดา มองว่า การเลือกตั้งและการสู้รบที่เข้มข้นอาจทำให้ชาวเมียนมาทะลักเข้ามาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ในลักษณะของการย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ (Irregular Migration) หรือการย้ายถิ่นโดยไม่มีเอกสารถูกต้อง เพราะไม่อยากไปเดินเรื่องกับทางรัฐบาล กลุ่มชาวเมียนมาที่อยู่ในไทยอยู่แล้วก็คงไม่อยากเดินทางกลับประเทศ สุดท้ายอาจส่งผลให้คนจำนวนมากหลุดออกจากระบบ ซึ่งเป็นโจทย์ของรัฐบาลไทยต่อไปว่าบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“การเลือกตั้งที่จัดโดยรัฐบาลทหาร จะไม่ช่วยบรรเทาวิกฤตการโยกย้ายถิ่นฐานจากเมียนมาเข้าสู่ไทยแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ใช่การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม และไม่นำไปสู่การปฏิรูปที่แท้จริง แต่จะนำไปสู่การรวบอำนาจที่มากขึ้น ผลกระทบที่เราจะได้รับจากเมียนมาจะยังคงมีต่อไป และมีมากขึ้นด้วย”
จากข้อมูลพบว่า นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมียนมาปี 2564 คนย้ายถิ่นฐานอยู่ในรูปแบบ Mix-Motivated Migration มากขึ้น คือไม่ได้ย้ายถิ่นฐานด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ เพื่อมาเป็นแรงงานโดยเฉพาะ แต่เป็นการย้ายหนีสงครามการสู้รบและอยากทำงานเพื่อเลี้ยงชีพด้วย
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมายังได้มีการบังคับเกณฑ์ทหารทั้งจากฝั่งรัฐบาลทหารและฝั่งกลุ่มอาวุธ ทำให้หนุ่มสาวเมียนมาหนีมายังประเทศไทยมากขึ้น และเชื่อว่าหลังรัฐบาลทหารจะใช้การเลือกตั้งสร้างความชอบธรรม เข้ามาบริหารจัดการเรื่องแรงงานข้ามชาติอย่างเข้มงวดทั้งต้นทางและประเทศปลายทางมากขึ้น
ทั้งนี้มีการเลือกตั้งเมียนมาล่วงหน้าในประเทศไทยไปแล้วเมื่อ 6-7 ธ.ค. ที่กรุงเทพฯ และ เชียงใหม่ และพบว่ามีคนมาลงคะแนนเสียงน้อยมาก เพียงหลักร้อยเท่านั้น จากจำนวนชาวเมียนมาในไทยที่มีการประเมินว่าอาจสูงถึง 4 ล้านคน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับ
ไม่เพียงแต่การเมืองในประเทศ แต่ยังมีประเด็นการแข่งขันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งการเข้ามาของจีน ในเรื่องของทรัพยากรแร่ต่างๆ นอกจากนี้ยังรัสเซียและเบลารุสที่เข้ามาด้วยโปรเจกต์การพัฒนาขนาดใหญ่ ทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การพลัดถิ่นประเภทอื่นๆ ของชาวเมียนมาเพิ่มขึ้นได้
ที่มา : เนื้อหาบางส่วนจากงานเสวนา “โอกาสประเทศไทยด้วยยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติทั้งระบบ”, parliament.go.th, rfa.org, britannica, irrawadd