“เครือข่ายประชากรข้ามชาติ” สรุปภาพรวมสถานการณ์แรงงานข้ามชาติปี 2568 ในระบบทะลุ 3.6 ล้านคน แต่การบริหารจัดการยังล้มเหลว เข้าประกันสังคมไม่ถึงครึ่ง เจอปัญหาขั้นตอนซับซ้อน-นายหน้าโขกเงิน  

วันที่ 18 ธ.ค. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวระหว่างประเทศ (FCCT) อาคารมณียา กรุงเทพฯ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group: MWG) จัดแถลงข่าวเนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากลปี 2568 (International Migrants Day 2025) ภายใต้หัวข้อ “ปี 2025 จากไซต์งานก่อสร้างถึงสนามรบ : วิกฤติแรงงานข้ามชาติจากชั่วคราวจนเป็นปัญหาชั่วโคตร” พร้อมสรุปภาพรวมสถานการณ์แรงงานข้ามชาติปี 2568


สถิติแรงงานข้ามชาติพุ่งทะลุ 3.6 ล้าน

เครือข่ายประชากรข้ามชาติ เปิดข้อมูลสถิติระบุว่า ตัวเลขแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นจากประมาณ 3,064,000 คนในปีที่ 2567 เป็น 3,651,000 คนในปี 2568 (ตุลาคม) ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะกว่า 6 แสนคนส่วนใหญ่มาจากการเปิดจดทะเบียนรอบใหม่ โดยข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ คือ

...

1. แรงงานตาม MoU นำเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย จากจำนวน 635,113 คนในปี 2567 เป็น 654,957 คน ในปี 2568 สังเกตได้ว่าเพิ่มขึ้นราว 2 หมื่นคนเท่านั้น ทั้งที่เป็นกลไกที่รัฐบาลออกแบบเพื่อนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายแบบ g2g

2. การจ้างงานชายแดน จากจำนวน 44,771 คนในปี 2567 ลดลงเหลือ 14,070 คน ในปี 2568 โดยสาเหตุหลักเกิดจากการที่แรงงานตามฤดูกาลทั้งฝั่งเมียนมาและฝั่งกัมพูชา เจอปัญหาเรื่องการเปิด-ปิดด่าน การต่อเอกสารในประเทศต้นทาง

3. ตัวเลขแรงงานลาว จากจำนวน 291,315 คนในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 305,107 คน ในปี 2568 ซึ่งถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ผิดจากที่เคยถูกมองว่ากลุ่มแรงงานลาวอาจเข้ามาทดแทนแรงงานกัมพูชาที่อพยพกลับ

4. แรงงานเมียนมาส่วนใหญ่ เป็นแรงงานผ่อนผันตามมติ ครม.แม้ตอนต่ออายุจะมีจำนวนลดลง แต่ก็ถูกเติมด้วยการจดทะเบียนใหม่เป็นระยะ ขณะที่แรงงานจาก MoU และตามฤดูกาลกลับลดลง 

น.ส.โรยทราย วงศ์สุบรรณ ตัวแทนจากเครือข่ายประชากรข้ามชาติ เผยว่า จากการพูดคุยกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ พบว่าส่วนใหญ่ก็อยากอยู่ในระบบอย่างถูกกฎหมาย แต่เจอปัญหาเรื่องขั้นตอนเอกสารที่ซับซ้อน มีเงื่อนไขว่าต้องได้รับอนุมัติจากประเทศต้นทาง ต้องจ่ายค่าหัวคิวในการดำเนินเอกสาร หลายครั้งก็ต้องจ่ายผ่านระบบนายหน้าที่ราคาสูง เสี่ยงต่อการถูกขบวนการนายหน้าเถื่อนหลอกด้วย 

ยอดแรงงานพุ่งแต่เข้าประกันสังคมแค่ 1.4 ล้าน ทำคนไทยหวั่นแย่งทรัพยากร

น.ส.โรยทราย เปิดเผยว่า แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในระบบ จะต้องเข้าสู่ประกันสังคม บางส่วนที่อยู่ระหว่างเดินเรื่องรอเข้าประกันสังคมก็ต้องตรวจสุขภาพและซื้อประกันเอกชนของไทย หากเป็นแรงงานที่อยู่นอกเหนือจากการคุ้มครองของประกันสังคม เช่น กลุ่มแรงงานในครัวเรือน แม่บ้าน ผู้ดูแล ก็ต้องซื้อประกันของกระทรวงสาธารณสุข นอกเหนือจากนี้คือการซื้อประกันทางเลือกจากเอกชน 20 แห่ง และสุดท้ายคือกองทุน ท.99 สำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ (คนที่กำลังรอพิสูจน์สัญชาติไทย) โดยแบ่งตามจำนวนได้ดังนี้

- แรงงานในระบบประกันสังคม จำนวน 1,396,810 คน

- จ่ายเงินซื้อประกันเอกชนด้วยตนเอง (3 เดือน / 6 เดือน) จำนวน 725,952 คน

- จ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 723,910 คน

- จ่ายเงินซื้อประกันทางเลือก จำนวน 90,000 คน

- กองทุน ท.99 จำนวน 739,804 คน

หากเปรียบเทียบจะพบว่าตัวเลขแรงงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ราว 1.4 ล้านคนเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของแรงงานข้ามชาติในไทยที่มีอยู่ 3.6 ล้านคน โดยภาระต่อระบบสาธารณสุขที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการช่องว่างเหล่านี้ ทำให้คนไทยบางส่วนกังวลว่าแรงงานเหล่านี้อาจเป็นภัยหรือมาแย่งทรัพยากร 

นอกจากนี้แรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมก็ยังเจอปัญหาเข้าไม่ถึงสวัสดิการการรักษาและเยียวยา เนื่องจากบ่อยครั้ง เอกสารการจ้างงานระหว่างแรงงาน นายจ้างตัวจริง และนายหน้า มักจะไม่ตรงกัน ทั้งกรณีผู้เสียชีวิต หรือพิการจากตึก ส.ต.ง. ถล่ม หรือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดงานในช่วงน้ำท่วมหาดใหญ่ที่ผ่านมา  

นางนิลุบล พงษ์พยอม ตัวแทนกลุ่มนายจ้างสีขาว เปิดเผยว่า ในเรื่องประกันเอกชนก็มีคำครหาว่ามีการเกี้ยเซี้ยกันหรือไม่ ประกันเอกชนบางแห่งทำสัญญากับสถานพยาบาลที่รัฐไม่ได้รับรอง เมื่อแรงงานเจ็บป่วย รพ. รัฐก็รับรักษาตามหลักสิทธิมนุษยชน สร้างภาระค่าใช้จ่ายให้ระบบสาธารณสุขไทยด้วย นอกจากนี้การซื้อประกันสุขภาพเอกชนไม่ควรซื้อเกิน 3 เดือน แต่เมื่อมีประกาศกระทรวงแรงงาน (ตามมติ ครม.) ผ่อนผันให้แรงงานซื้อประกันเอกชนได้ถึง 6 เดือนระหว่างจัดการเอกสารเดินเรื่องต่อใบอนุญาตทำงาน กลายเป็นช่องทางให้คนหลีกเลี่ยงไม่เข้าระบบประกันสังคม 

...

แรงงานกัมพูชากลับฉับพลัน ทำภาคเกษตรเสียหายมหาศาล

น.ส.โรยทราย ระบุว่า สถานการณ์แรงงานกัมพูชาในไทย เกิดปัญหาแรงงานกลับประเทศฉับพลันจากความขัดแย้ง รวมถึงการไม่สามารถต่อเอกสารได้ เพราะ ครม.ยังไม่มีมติอนุมัติให้มีการต่อเอกสารที่กำลังจะหมดลงในเดือน มี.ค.69 บางส่วนก็ทำงานไปรอดูท่าทีไป แต่บางส่วนก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปล่วงหน้าแล้ว 

นอกจากนี้ เมื่อการปิดด่านแรงงานในลักษณะฤดูกาล หรือไม่เช้าเย็นกลับ ก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ คาดว่ามีแรงงานเดินทางกลับกว่า 3 แสนคน หรืออาจมากกว่านั้น 

แรงงานกัมพูชากระจุกตัวอยู่ในบางภาคอุตสาหกรรม มากที่สุดคือภาคเกษตร ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก เช่น ลำไย อ้อย ทุเรียน ซึ่งมีช่วงเวลาเก็บเกี่ยวที่จำกัด และแม้จะถูกมองว่าเป็นแรงงานไร้ฝีมือ แต่แท้จริงแล้วต้องมีความชำนาญ มีความเข้าใจการดูแลผลไม้และการเก็บเกี่ยว ไม่ได้หาแรงงานมาทดแทนได้โดยง่าย โดยศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทยเคยประเมินว่า กรณีวิกฤตแรงงานกัมพูชากลับประเทศทำให้ธุรกิจลำไยมีความเสียหายสูงถึงประมาณ 2,600 ล้านบาท และตอนนี้ไทยกำลังเข้าสู่ฤดูกาลเปิดหีบอ้อย คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน 

...

ที่น่ากังวลคือในระยะยาวไม่รู้ว่าสถานการณ์แรงงานกัมพูชาจะฟื้นกลับมาเมื่อไหร่ เพราะยังมีประเด็นความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งที่ไม่อาจรู้ได้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าที่ความทรงจำ ความรู้สึกนี้จะจางหายไป ในอนาคตแรงงานกัมพูชาน่าจะมีจำนวนลดน้อยลง อาจมีการปรับเปลี่ยนเอาแรงงานอื่นเข้ามาทดแทน ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่าจะทดแทนกันได้ เช่น แรงงานศรีลังกา ที่จะนำเข้ามาก็ต้องมีต้นทุนการเดินทางที่เพิ่มขึ้น มีความแตกต่างเรื่องสังคม วัฒนธรรมมาก และถ้าหากสามารถไปทำงานในประเทศอื่นในภูมิภาคที่รายได้สูงกว่าได้ เช่น มาเลเซีย เขาก็อาจไม่เลือกมาไทย

“เชื่อว่าประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่มีใครอยากเห็นสงครามลุกลามบานปลาย แม้ว่าหลายคนจะมองว่าหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้ แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วทั้ง 2 ฝ่ายต่างรู้ดีว่ายิ่งความขัดแย้งยืดเยื้อมากขึ้นเท่าไหร่ เศรษฐกิจ สังคมก็เสียหายเท่านั้น ทั้งกิจกรรมการค้าที่มีระหว่างกัน การจ้างงาน จากการพูดคุยกับแรงงานกัมพูชาบางส่วน ก็เล่าว่าพอกลับไปก็ไม่ได้มีงานให้ทำหรือถ้ามีก็ได้ค่าจ้างน้อยกว่าที่เคยได้ในไทยมาก ไม่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่าย กล่าวคือนายจ้างไทยก็ต้องการแรงงาน แรงงานก็ต้องการรายได้ เป็นน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า”

นายจ้างจำนวนมากโดยเฉพาะในภาคการเกษตรเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ได้มีสายป่านยาว เมื่อขาดแคลนแรงงานก็กระทบกับการดำเนินธุรกิจ กระทบรายได้ บางรายอาจไม่กล้าลงทุนในปีหน้าเพราะต้นทุนจากความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน

“สิ่งที่น่าเสียดายคือเรามีโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สร้างประโยชน์ร่วมกันในฐานะเพื่อนบ้าน สามารถสร้างความมั่นคงในภูมิภาค ทั้งในเรื่องการลงทุนและท่องเที่ยว แต่ความเกลียดชังกลับแยกเราออกจากกัน”

...

ปี 68 เปลี่ยน รมว.แรงงาน 3 คนไร้นโยบายเด่น แนวทางไม่ตอบโจทย์

นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายประชากรข้ามชาติ เปิดเผยว่า ในปี 2568 มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีถึง 3 คน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญหรือเข้าใจปัญหาแรงงาน เน้นการจัดการปัญหาระยะสั้น โดยในปีนี้ไทยประสบภาวะวิกฤตในการจัดการแรงงานข้ามชาติ ทั้งจากประเทศต้นทางเอง คือเมียนมาที่มีปัญหาการเมืองภายใน บังคับวัยแรงงานเกณฑ์ทหารทำให้กลุ่มนี้หนีทะลักเข้ามาในไทยและอยู่อย่างผิดกฎหมาย และกัมพูชาที่มีปัญหาความขัดแย้งชายแดน ทำให้แรงงานจำนวนมากเดินทางกลับ

ก่อนหน้านี้การต่ออายุแรงงานข้ามชาติ เป็นการดำเนินการของไทยเพียงฝั่งเดียว เกิดเป็นคำถามว่าเหตุใดต้องดันทุรังดึงประเทศต้นทางเข้ามาเกี่ยวข้องให้ได้ ทั้งที่ปัจจัยต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวย เมื่อติดขัดความล่าช้าจากประเทศต้นทาง ก็ออกมติ ครม. มาขยายเวลาการต่ออายุใบอนุญาต ผ่อนผันทำงานชั่วคราวแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาแรงงานทั้งระบบ 

ด้าน น.ส.โรยทราย เปิดเผยว่าในปี 2568 ทางรัฐบาลได้อนุญาตให้ผู้หนีภัยสู้รบออกมาทำงานได้ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานและสร้างรายได้ให้ผู้ลี้ภัย โดยมีการประมาณการว่ามีผู้ลี้ภัยที่อยู่ในวัยแรงงาน 4 หมื่นคน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าในทางนโยบาย แต่ในเชิงปฏิบัติยังเจออุปสรรคอยู่มาก ปัจจุบันดำเนินการได้แค่หลักพันคนเท่านั้น เนื่องจากวิธีการไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของกลไกตลาดแรงงาน นายจ้างต้องเข้าไปรับสมัครคนงานที่ค่ายผู้ลี้ภัยเอง ซึ่งเดินทางเข้าไปลำบากและนายจ้างรายย่อยก็ไม่ได้มีทรัพยากรในการเข้าไปดำเนินการ รวมถึงกระบวนการดำเนินเอกสารก็ค่อนข้างยุ่งยาก ตัวแรงงานเองก็อาจไม่ได้มีทักษะที่นายจ้างต้องการ 

ทั้งนี้เรื่องแรงงานถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลควรให้ความสนใจ เพราะในทุก ๆ การเจรจาการค้ากับต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตก อย่างสหรัฐฯ ที่ทุกๆ ปี จะออกรายงานเรื่องการใช้แรงงานเด็ก การบังคับใช้แรงงาน จัดอันดับการค้ามนุษย์ หรือ สหภาพยุโรปที่ไทยกำลังเร่งเดินหน้า FTA ต่างคำนึงถึงสวัสดิภาพแรงงาน 

อย่างในแถลงการณ์ร่วมที่ไทยลงนามกับสหรัฐฯ ในการประชุมอาเซียนเมื่อเดือน ต.ค. 68 ที่ผ่านมา ก็มีการระบุว่าจะร่วมกันปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงาน แม้ว่าตอนนี้แถลงการณ์ดังกล่าวอาจหยุดชะงักก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประเด็นแรงงานในเวทีเจรจาการค้าระหว่างประเทศ 

ระบบออนไลน์ของรัฐล่ม ทำแรงงานเมียนมากว่า 1 ล้านเสี่ยงผิดกฎหมาย

นายอดิศร ระบุถึงอีกประเด็นหนึ่งที่กลายเป็นข้อท้าทายในการบริหารจัดการ โดยกรมการจัดหางานได้มีการเปิดให้มีการยื่นขออนุญาตทำงาน และการดำเนินการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ผ่าน E-workpermit.doe.go.th ตามโครงการจ้างเหมาเอกชนผลิตใบอนุญาตทำงานและให้บริการรับคำขอ และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว Outsourcing Service ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2568

อย่างไรก็ตามก็พบว่ามีปัญหาในการใช้ระบบ ทั้งในเรื่องการเข้าใช้ การดำเนินการขออนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของนายจ้าง แรงงานข้ามชาติ และบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้าง (บนจ.) ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ อาจจะมีผลกระทบต่อการจ้างแรงงานข้ามชาติอย่างร้ายแรง ขณะที่การแก้ไขปัญหาของกรมการจัดหางานยังเป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติกลุ่มแรงงานเมียนมาที่ต้องต่ออายุให้เสร็จภายใน 13 ธ.ค. 2568, กลุ่มแรงงานทักษะ และแรงงาน MoU ที่จะต้องต่อใบอนุญาตทำงาน ไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งอาจจะมีแรงงานข้ามชาติมากกว่า 1 ล้านคนเสี่ยงจะกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย

“ปัญหาที่พบ เช่น ตัวนายจ้างและลูกจ้างไม่สามารถหาข้อมูลตัวเองได้เพราะที่ผ่านมาจดทะเบียนแรงงานหลายรอบ แต่ละรอบก็เปลี่ยนระบบไปเรื่อย ๆ ทำให้ฐานข้อมูลตกหล่น จึงควรต้องมีการปรับปรุงหลาย ๆ ด้านโดยคำนึงถึงผู้ใช้งานจริงมากขึ้น เพราะหากมีการพัฒนาระบบ e-WorkPermit จะส่งผลดีในระยะยาว เพิ่มความสะดวก ช่วยตัดเรื่องคอร์รัปชันได้มาก”

ขั้นตอนซับซ้อน-เอเจนซี่ราคาแพง ผลักแรงงานหลุดจากระบบ

มะอู ชาวเมียนมาวัย 58 ปี ผู้เข้ามาเป็นแรงงานในประเทศไทยนานกว่า 25 ปี เปิดเผยว่า หากเทียบปัจจุบันกับสมัยที่เธอเดินทางเข้ามาทำงานใหม่ ถือว่าดีขึ้น รัฐบาลพยายามผลักดันให้แรงงานเข้าสู่ระบบอย่างถูกกฎหมาย แต่พบปัญหาคือขั้นตอนมีความซับซ้อนต้องใช้เอกสารมากขึ้น เมื่อก่อนถือแค่บัตรใบเดียว แต่ปัจจุบันต้องมีการทำพาสปอร์ตเฉพาะ มีเอกสารรับรองสถานะบุคคลเป็นต้น อาจทำให้แรงงานเข้าถึงยากและหลุดออกจากระบบ

ด้วยขั้นตอนที่ซับซ้อน ทำให้เวลาเดินเอกสารต่อวีซ่าทำงาน นายจ้างหันไปใช้บริการเอเจนซี่ที่มีราคาแพง แล้วมาหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากแรงงาน หรือบางโรงงานฝ่ายบุคคลที่มีหน้าที่ดำเนินการให้มาเรียกเก็บค่าหัวคิวจากแรงงาน  ทำให้แรงงานจำนวนมากรายได้ไม่พอใช้จ่ายจนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน กว่าจะใช้หนี้ค่าเอเจนซี่หมดก็ครบรอบต่อวีซ่าใหม่พอดี หลายคนจึงตัดสินใจลาออกไปทำงานแบบผิดกฎหมายและหลุดจากระบบในที่สุด นอกจากนี้ตั้งแต่เกิดรัฐประหาร รัฐบาลทหารเมียนมาได้ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ มีการเก็บภาษีเดือนละ 150 บาทด้วย

“ถ้าไปต่อวีซ่าเอง ต่อคนก็ตกรวมกันไม่เกิน 4 พันบาท แต่ถ้าจ้างเอเจนซี่ก็อาจสูงถึงหลักหมื่น ทำให้สู้กันไม่ไหว เมื่อก่อนยังไม่มีค่าภาษีด้วย แต่พอตอนนี้รัฐบาลทหารเรียกเก็บ เวลาแรงงานจะไปทำเรื่องที่สถานทูต ต่ออายุพาสปอร์ต ขอเอกสารรับรองต่าง ๆ ถ้าไม่เคยจ่ายค่าภาษีเอาไว้ก็จะถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ถ้าไม่จ่ายเขาก็ไม่ออกเอกสารให้”

เอ เครือข่ายแรงงานชาวเมียนมา จ.ชลบุรี มองว่า หากเป็นไปได้ก็อยากเสนอให้ทางรัฐบาลลดขั้นตอนลง หรือสามารถให้นายจ้างมอบอำนาจให้แรงงานต่างด้าวไปดำเนินการเองได้หรือไม่ เพราะตอนนี้มอบอำนาจได้แต่คนไทย นายจ้างจึงต้องใช้บริการเอเจนซี่ 

ฝากถึงรัฐบาลหน้า แก้ปัญหาแรงงานเป็นระบบ

น.ส.โรยทราย ยังได้ฝากข้อเสนอไปยังรัฐบาลหน้า ประการแรกคือ รัฐบาลต้องยอมรับว่าโครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยนไป และเราต้องมีแรงงานเข้ามาช่วยขับเคลื่อนไม่ว่าจะแรงงานไทยหรือต่างชาติ ประการต่อมาในเรื่องของรูปแบบการผลิตของไทยมีการพึ่งพาแรงงานสูงมาก หากในอนาคตต้องการลดการพึ่งพิงลงก็ต้องลงทุนกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มากกว่านี้ และรัฐบาลต้องช่วยผู้ประกอบการให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้นวัตกรรมการผลิตที่สร้างมูลค่าได้สูงขึ้นด้วย แต่ถ้าหากรัฐจะพึ่งพิงแรงงานต่อไปก็ต้องเปิดใจที่จะแก้ปัญหาแรงงานอย่างเป็นระบบ