พืชผลเสียหาย-รายได้ขาด ต้องหยุดงานแต่ดอกเบี้ยหนี้สินไม่หยุดตาม วิกฤตซ้ำซ้อนชาวบ้านชายแดนกัมพูชา  หวังเหตุการณ์สงบโดยเร็ว 

จากกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งใหม่ ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้ชาวบ้านหลักแสนคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว แต่วิกฤตที่สร้างความหวาดหวั่นให้ชาวบ้าน ไม่ใช่มีแต่เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องรายได้ในการดำรงชีวิต ที่หลายคนต้องหยุดงาน ทิ้งเรือกสวนไร่นา แต่ดอกเบี้ยหนี้สินนั้นไม่ได้หยุดตามไปด้วย ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ชาวบ้านหลายรายมีความหวังให้ความขัดแย้งยุติลงโดยเร็ว เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ดูแลทรัพย์สิน และประกอบอาชีพได้เหมือนเดิม

สันติวิธี พรหมบุตร รองบรรณาธิการข่าว ทีม SEE TURE สำนักข่าวไทยรัฐ ผู้ลงไปเกาะติดทำข่าวในพื้นที่ จ.สุรินทร์ เล่าว่า จากข้อมูลทางการมีผู้อพยพไปอยู่ตามศูนย์อพยพต่างๆ มากถึง 7 หมื่นกว่าคน ตามหมู่บ้านใกล้จุดการสู้รบ ส่วนใหญ่อพยพออกไปมากกว่าการสู้รบครั้งที่แล้ว เหลือไว้แค่คนที่มีหน้าที่ดูแลหมู่บ้าน และคนที่ห่วงวัวควายที่เลี้ยงไว้

...

ที่ศูนย์อพยพ มีทั้งชาวบ้านที่นอนในอาคาร รถยนต์ และสนามหญ้า บางคนออกมากางเต็นท์ หรือพลาสติกแผ่นใหญ่ เท่าที่จะหาได้ กันแดดกันน้ำค้างนอนสนามหญ้า และบนรถ เพราะอาคารด้านในเต็ม บางคนให้เหตุผลเพราะในอาคารแออัด ส่วนบนรถสะดวกสบายกว่า แต่ถ้าเลือกได้ หลายคนที่ตนได้คุยด้วย อยากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน และขอเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่หวาดระแวงเหมือนที่ผ่านมา เพราะหลังการหยุดยิงครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่าจะสู้รบกันเมื่อไรอีก ดังนั้นหลังการสู้รบครั้งนี้ หากต้องเจรจา ก็อยากให้เจรจากันให้จบ แบ่งเขตแดนกันให้จบ ไม่ต้องมีการสู้รบกันอีก

อีกสิ่งหนึ่งที่มองว่าชาวบ้านหวาดวิตกไม่แพ้การสู้รบ คือการทำมาหากินต่อจากนี้ หลายครอบครัวไม่ได้มีเงินเก็บ หลายครอบครัวรอเงินก้อนจากการเก็บเกี่ยวพืชเกษตร โดยเฉพาะช่วงนี้ซึ่งเป็นฤดูตัดอ้อย ส่วนข้าวเพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จ แต่บวกลบค่ารถเกี่ยว ค่าปุ๋ย เหลือไม่เท่าไร พอหมดหน้าเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านบางส่วนก็ไปทำงานรับจ้างต่ออีกหนึ่งอาชีพ คือสวนยางพารา มีทั้งเจ้าของสวน และคนรับจ้างกรีดยาง ที่ต่างต้องหนีภัยสู้รบไปอยู่ศูนย์อพยพ

พ่อค้าแม่ค้าอีกจำนวนมาก ที่ยังจำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบ ต้องหยุดค้าขาย แต่ดอกเบี้ยไม่หยุดเดิน และเจ้าหนี้ก็ไม่ได้หยุดทวง แม้แต่หนี้ในระบบเอง ดอกเบี้ยยังเดินไปเรื่อยๆ แต่ชาวบ้านผู้อพยพ ต่างก็ไม่มีรายได้ในช่วงนี้ ชาวบ้านหลายคนที่ตนไปคุยด้วย บอกว่า ตอนนี้เปรียบเหมือนเศรษฐกิจของครอบครัวได้ล่มสลายไปตั้งแต่การสู้รบกันครั้งแรก พยายามจะฟื้นกลับมาให้ได้ แต่ต้องมาหยุดทุกอย่างลงไปอีก และไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป นี่จึงเป็นอีกความหวาดหวั่นของผู้อพยพ ของชาวบ้านตามแนวชายแดน รองๆ ลงมาจากการกลัวการสู้รบ ซึ่งรัฐจะหาหนทางช่วยเหลืออย่างไร

นอกจากนี้ชาวบ้านหลายคน ยังสะท้อนตัวอย่างถึงเรื่องเล็กๆ อีกเรื่องที่รัฐควรดูแลว่า ตอนสู้รบกันคราวที่แล้ว หลังกลับจากศูนย์อพยพ บ้านจำนวนไม่น้อย ถูกถอดมิเตอร์ไฟฟ้าออกไป โดยถูกแจ้งว่าค้างค่าไฟฟ้า ซึ่งชาวบ้านขออย่าให้เกิดขึ้นอีกเลยในครั้งนี้ พวกเขาหวังว่าเมื่อถึงเวลาออกจากศูนย์อพยพกลับบ้าน นอกจากบ้านยังอยู่ดีแล้ว ขอให้ไม่ถูกถอดมิเตอร์ไฟฟ้าออกไปด้วย

ยุวดี  หนึ่งในชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เปิดเผยว่า ตนอพยพมาจาก ต.บักได อ.พนมรัก จ.สุรินทร์ และพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงมาแล้วเป็นเวลา 6 วัน โดยระบุว่า หลังจากติดตามข่าวว่ามีการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับฝ่ายไทย ตนมองว่านายกรัฐมนตรีอาจยังไม่สั่งหยุดยิงในช่วงเวลานี้ เนื่องจากฝ่ายไทยไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นสถานการณ์ก่อน แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่เริ่มการปะทะ ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้ตามสถานการณ์ เพราะจะให้มารุกรานเราฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องตอบโต้

...

ยุวดีเปิดเผยว่า ภายในหมู่บ้านของตนยังมีประชาชนบางส่วนที่ไม่ได้อพยพ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สิน รวมถึงกังวลเรื่องการดำรงชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม หลังจากทราบข่าวว่ามีการยิงจรวด BM-21 ตกในพื้นที่หมู่บ้านใกล้เคียง ตนเองรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของเพื่อนบ้าน และอยากให้ทุกคนอพยพมาอยู่รวมกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดูแลและปฏิบัติงานได้อย่างสะดวกมากขึ้น

หลังจากมีการหยุดยิงในครั้งก่อน ตนเองและชาวบ้านจำนวนมากต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง การเดินทางไปไหนมาไหนเป็นไปด้วยความยากลำบาก บางวันเมื่อมีข่าวว่ามีการยิงปะทะกัน ก็ต้องตรวจสอบข้อมูลอยู่ตลอดว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมบางแห่งถูกประกาศห้ามเข้า เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย

จากสถานการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากขาดรายได้ เนื่องจากไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ โดยในช่วงเวลานี้ควรจะเป็นฤดูตัดอ้อย แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เมื่อเข้ามาพักอาศัยในศูนย์อพยพ ทำให้รายได้หยุดชะงัก ขณะเดียวกันกลับมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ยุวดี เปิดเผยว่า ตนเองและประชาชนทุกคนต้องการกลับมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามปกติ ไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอนเช่นนี้ ซึ่งต้องคอยวิ่งหลบภัยและอพยพอยู่เป็นระยะ ๆ

“อยากกลับบ้านมาก คิดถึงบ้าน แต่เราก็ต้องอยู่ที่นี่ ต้องเอาชีวิตตัวเองไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของชีวิตเรา อย่างอื่นค่อยว่ากันใหม่ อย่างอื่นมันหาใหม่ได้ แต่ชีวิตเรามันหาใหม่ไม่ได้”

...

ขณะที่คุณยายอีกท่านหนึ่ง ที่อาศัยในศูนย์อพยพ เปิดเผยว่า ลูกชายยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน เวลาเกิดเหตุไม่ปลอดภัย ลูกชายต้องขับรถจักรยานยนต์ไปหลบภัยในบังเกอร์ของหมู่บ้าน ส่วนตนที่อยู่ศูนย์อพยพต้องอาศัยนอนอยู่ภายในรถ ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบครั้งก่อน ตนได้อพยพไปพักอาศัยอยู่ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน

จากเหตุการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้ ทำให้รายได้ขาดหายไป อาชีพเกษตรกรก็ต้องหยุดทำ ข้าวหรือมันที่เคยปลูกไว้ ก็ได้รับความเสียหาย เนื่องจากต้องอพยพมาที่ศูนย์พักพิง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดูแลเก็บเกี่ยวได้

“ตอนแรกหว่านข้าวไว้ กำลังจะเกี่ยวข้าวแล้ว แต่ทีนี้เขาให้อพยพ ก็ต้องอพยพ แต่พออพยพมาแบบนี้ ข้าวก็เสียหมด”

คุณยาย กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนยุติลงโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม สิ่งใดที่เป็นของฝ่ายไทยก็อยากให้ได้กลับคืนมา ส่วนสิ่งใดที่เป็นของอีกฝ่ายก็ให้กลับไปตามเดิม เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของตนเองได้อย่างสงบสุข

ทั้งนี้ การหยุดยิงในครั้งก่อนยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์ยุติลงได้อย่างถาวร ส่งผลให้ประชาชนยังคงใช้ชีวิตด้วยความระแวง โดยในขณะนี้ตนเองก็ยังไม่ทราบว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงเมื่อใด

...

ขณะที่คุณตาวัย 76 ปีรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนประกอบอาชีพเกษตรกร รับจ้างตัดหญ้า ทำสวน และเลี้ยงหมู โดยนับตั้งแต่อพยพออกจากพื้นที่ ทุกเช้าตนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจสอบว่าสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในบริเวณใดบ้าง เนื่องจากหมู่บ้านของตนอยู่ห่างจากแนวชายแดนเพียงประมาณ 10 กิโลเมตร และอยู่ใกล้กับพื้นที่ปราสาทตาควาย

ขณะที่การสั่งหยุดยิงครั้งก่อน คุณตาเผยว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะสุดท้ายก็เกิดการยิงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ยาวนานกว่าเดิม โดยครั้งแรกกินเวลาประมาณ 4–5 วัน แต่ครั้งนี้ยาวนานหลายวันมาก ทำให้รู้สึกหวาดระแวง และนอนไม่หลับ

คุณตายังเผยอีกว่า หมูที่เลี้ยงไว้เพิ่งคลอดลูกจำนวน 20 ตัว และยังถูกขังอยู่ภายในคอก โดยได้ฝากให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแลชั่วคราว ซึ่งขณะนี้ลูกหมูยังอยู่รอดครบทุกตัว

“ลำบากก็ลำบากอยู่ แต่หมูของเรามันผลิตลูกออกมาแล้ว แต่ผมก็ยังเสียดายอยู่ เผื่อบางทีหมูเดินซนไปตกน้ำ ติดอยู่กับบ่อ ผมต้องกลั้นใจไว้ นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ เพราะนึกถึงแต่หมูอย่างเดียว เป็นหมูลูกอ่อนด้วย”

ทั้งนี้ การใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์อพยพถือว่ามีความลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าการพักอาศัยอยู่ในบ้านภายในพื้นที่เสี่ยง อย่างไรก็ตาม อยากให้สถานการณ์ความไม่สงบยุติลงโดยเร็วที่สุด เนื่องจากประชาชนจำนวนมากต้องการให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจน จะได้ไม่ต้องคาราคาซังอยู่เช่นนี้ โดยคุณตายังได้ส่งกำลังใจไปให้แนวหน้าว่า “ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องที่ไปอยู่ที่ชายแดน สู้ๆ”