เปิดแนวทาง กัมพูชา ยื่นฟ้อง ICC โอกาสงัดไทยบนเวทีโลก "นักกฎหมาย" ชี้เสี่ยงขุดหลุมฝังตัว กองทัพ-ผู้นำกัมพูชา เข้าข่ายทำผิดด้วย   

จากกรณีการปะทะครั้งล่าสุดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.68 ที่ผ่านมา วานนี้ (10 ธ.ค.) รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ กล่าวหาว่ากองทัพไทยโจมตีสร้างความเสียหายรุนแรงมีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย ในจำนวนนั้นมีทารก 1 ราย บาดเจ็บ 46 คน ประชาชนต้องอพยพมากกว่า 1.27 แสนคน กัมพูชาในฐานะภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลดังกล่าว

ทั้งนี้ ประเทศไทย ไม่ใช่ภาคีของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ การเดินหน้ายื่นคำร้องครั้งนี้จะกระทบกับไทยอย่างไร?

กัมพูชาฟ้อง ICC ได้หรือไม่?

ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า กัมพูชาเป็นภาคีธรรมนูญศาล ICC ดังนั้น “การกระทำทุกอย่าง” ในดินแดนกัมพูชาที่เข้าข่ายเป็นความผิด จึงอยู่ภายใต้อำนาจศาล ICC ไม่ว่าการกระทำนั้นจะทำโดยคนชาติใด หรือไม่ว่าการกระทำนั้น จะเริ่มต้นลงมือจากที่ไหนก็ตาม หากไปเกิดผลในดินแดนกัมพูชาก็อยู่ภายใต้อำนาจศาล

...

เปรียบเทียบได้ทำนองเดียวกับกฎหมายอาญาไทย ที่หากทำผิดนอกราชอาณาจักร แต่ความผิดสำเร็จในราชอาณาจักร ก็อาจรับผิดตามกฎหมายไทยได้

กระบวนการเบื้องต้นก่อนไปถึงศาลได้ ทางอัยการของ ICC ต้องสั่งฟ้องก่อน ในชั้นแรก การดำเนินการมีอยู่สองแนวทาง คือ

1. รัฐบาลกัมพูชาในฐานะรัฐภาคี อาจร้องขอให้อัยการเริ่มกระบวนการสอบสวน (ข้อ 14 ธรรมนูญศาล)

2. ประชาชนชาวกัมพูชาอาจส่งข้อมูล/พยานหลักฐานให้อัยการ เพื่อให้อัยการเริ่มกระบวนการสอบสวนเอง (ข้อ 15 ธรรมนูญศาล) ในแง่การเมือง แนวทางนี้มีน้ำหนักน้อยกว่าแนวทางแรก

ลำดับถัดมา สำนักงานอัยการศาลจะกรองข้อมูล รวบรวมพยานหลักฐานจนเพียงพอ และตัดสินใจว่าดำเนินการต่อหรือไม่ เป็นไปตาม ข้อ 15 ธรรมนูญศาล และนโยบายของสำนักงานใน Policy Paper on Case Selection and Prioritisation ดังนั้น กว่าเรื่องจะไปถึงศาลได้น่าจะกินเวลาหลายปี

ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รัฐบาลกัมพูชาอาจแค่ขู่แต่ไม่ทำจริง

ดร.ภัทรพงษ์ ยังมองว่า น่าจะเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินการจริงๆ เพราะกองทัพและผู้นำกัมพูชาเองก็เข้าข่ายกระทำความผิดเช่นกัน หากรัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจเดินหน้าดำเนินการก็เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเอง ยังไม่นับปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติอีกด้วย ยกตัวอย่างกรณีสงครามกาซา ศาลออกหมายจับทั้งกลุ่มฮามาสและผู้นำอิสราเอล

แต่อย่างไรก็ตาม ไทยก็ไม่ควรประมาท หากความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาเสียหายลงแบบกอบกู้คืนไม่ได้ ประชาชนหรือแม้แต่ผู้นำกัมพูชาอาจจะเดินหน้าดำเนินการใน ICC ก็ได้ โดยก่อนหน้าที่จะการปะทะกันในครั้งนี้ มีรายงานข่าวในเดือนพฤศจิกายนว่า ประชาชนชาวกัมพูชาได้ยื่นเรื่องให้อัยการเพื่อดำเนินการกับทหารและผู้นำทางการเมืองไทยแล้ว

ฝ่ายไทยควรดำเนินการอย่างไร?

ในส่วนการดำเนินการของประเทศไทย ดร.ภัทรพงษ์ มองว่า กองทัพและรัฐบาลต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกฎหมายสงคราม รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย และในทางการทูต ต้องอธิบายให้ได้ว่าไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไรบ้าง

...

บทบาทของ “รัฐบาลสม รังสี”

สำหรับบทบาทของ “รัฐบาลอิสระของกัมพูชา” ที่นำโดยนายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านนั้น ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลอิสระของกัมพูชาก็ได้ออกแถลงการณ์ว่าจะยื่นฟ้องไทยในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และจะนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)  

ดร.ภัทรพงษ์ มองว่า ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ มีประเด็น “การเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของรัฐ” ว่าใครจะเป็นผู้แทนของรัฐในเวทีระหว่างประเทศ สามารถกระทำการต่างๆ ในนามของรัฐได้ ซึ่งชัดเจนว่า รัฐบาลฮุนมาเน็ตที่อยู่ในประเทศ และควบคุมคนในประเทศได้ มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ (effective control) มากกว่า ศาล ICJ ไม่น่าจะรับฟ้อง

ส่วนในกรณี ICC จะซับซ้อนมากกว่า เพราะประชาชนทั่วไป สามารถส่งเรื่องให้อัยการได้ โดยไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ดังนั้น นายสม รังสีสามารถส่งเรื่องให้อัยการได้เลย โดยไม่ต้องอ้างว่าเป็นรัฐบาล แต่ยุทธวิธีของนายสม รังสี คือต้องการ “ยืมมือ” อัยการหรือศาล ICC เข้ามารับรองว่า “รัฐบาลอิสระของกัมพูชา”

ยุทธวิธีลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นบ้างอยู่เนืองๆ ในศาล ICC เช่น กรณีของเมียนมาที่ไม่ได้เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม แต่หลังจากที่ฝ่ายทหารเมียนมา เข่นฆ่าผู้คนในประเทศที่ต่อต้านการรัฐประหาร รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ก็ยื่นเรื่องเพื่อประกาศรับรองเขตอำนาจศาล โดยอ้างว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเมียนมา แต่จนถึงปัจจุบัน ศาลก็ยังเงียบ ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ ซึ่งก็อนุมานได้ว่า ศาลน่าจะใช้หลักเกณฑ์ effective control เช่นกัน

หากนำมาเทียบกับกรณีรัฐบาลอิสระของกัมพูชา นายสม รังสี อาจจะดำเนินการยื่นเรื่องในฐานะรัฐบาลของกัมพูชา ตามข้อ 14 ของธรรมนูญกรุงโรม (referral of a situation by a State party) แต่หากดำเนินการเช่นนี้ ทั้งศาลและอัยการก็ไม่น่าจะเข้ามาตอบรับ เพราะขาด Effective Control

...