สงครามการค้า-มาตรการภาษี พลิกระเบียบโลกใหม่สู่โลกหลายขั้ว TDRI แนะแนวทางไทยเร่งปรับตัว สร้างความสัมพันธ์หลายฝ่าย ตั้งทีม "ภูมิเศรษฐศาสตร์" รับมือ 

เมื่อความไม่แน่นอน กลายเป็นสมการพื้นฐานของโลก ทุกประเทศล้วนต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนจากการพลิกกติกาและระเบียบโลกที่เคยมีมา โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์

ในห้วงเวลาแห่งความผันผวนนี้ การไม่ปรับตัว อาจหมายถึงการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง จนถึงขั้นถูกลืมในสนามการค้าของโลก คำถามสำคัญคือไทยจะวางยุทธศาสตร์อย่างไรในการกำหนดทิศทางของประเทศ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่สามารถก้าวไปข้างหน้าหาโอกาสเติบโตใหม่ได้

มาตรการทางภาษี-สงครามการค้า ทำให้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ?

เนวิน สินสิริ ที่ปรึกษาทีมนโยบายภูมิเศรษฐศาสตร์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ว่า เราได้เห็นโลกคงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตั้งแต่การดำรงตำแหน่งรอบแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายใต้นโยบาย America Great Again และเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง ภายใต้นโยบาย America First สิ่งที่เขาต้องการคือทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการสร้างงานในประเทศ หรือการผลักดันให้ธุรกิจสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตกลับมา วิธีการหนึ่งที่นำมาใช้คือการจัดเก็บภาษีเพื่อกีดกันทางการค้า

ภาพของโลกยุคก่อน ในอดีตองค์การการค้าโลก (WTO) มุ่งผลักดันให้ภาษีลดลงจนเหลือ 0% เพื่อสร้างระบบการค้าเสรี แต่ปัจจุบันเรากลับเห็นกำแพงภาษีเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โลกจึงไม่อาจย้อนกลับไปสู่ยุคที่ภาษีศุลกากรต่ำและการค้าเสรีได้อีก เพราะมาตรการกีดกันทางการค้ามีมากขึ้นเรื่อย ๆ

...

ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงนี้ ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับตัว ผลิตสินค้าส่งออกให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีราคาที่แข่งขันได้ ภาคธุรกิจเองก็ต้องหันมาเน้นการปรับปรุงเครื่องจักร และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หากไม่สามารถสู้ในด้านต้นทุนได้ ก็ต้องมองหาสินค้าใหม่ ๆ หรือเจาะตลาดที่ยังเปิดเสรี พร้อมทั้งเร่งสร้างความร่วมมือผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสในการแข่งขัน

เนวิน สินสิริ
เนวิน สินสิริ

จุดสิ้นสุดสงครามการค้าครั้งนี้อยู่ที่ไหน ?

เห็นได้จากประธานาธิบดีทรัมป์สมัยแรก มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ ไป แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกลับมาในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยเฉพาะนโยบายที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วคงจะเปลี่ยนแปลงไปเลย ความสำคัญจึงอยู่ที่การปรับตัวของแต่ละประเทศในภาวะของโลกใหม่

สงครามการค้า สงครามเย็นครั้งใหม่ จีน-สหรัฐฯ?

เนวิน มองว่า คงจะไม่ได้แบ่งออกเป็นเพียงสองขั้ว หากแต่จะเห็นหลายขั้วมากขึ้น จีนกับสหรัฐฯ มีความขัดแย้งอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจับตาคือการเกิดขึ้นของประเทศขั้วต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากระเบียบการค้าโลกอาจทำให้บางประเทศเดินหน้าต่อได้ยากขึ้น และจึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับความร่วมมือระดับภูมิภาคมากขึ้น

โลกกำลังเคลื่อนไปสู่ความเป็น multipolar (ความหลายขั้ว) มากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริบท ไม่จำเป็นต้องถูกแบ่งออกเป็นเพียงสองค่าย หากแต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน โดยพยายามรักษาสมดุลในการมีปฏิสัมพันธ์กับหลาย ๆ ประเทศ ในหลากหลายด้าน

จุดยืนของไทยควรเป็นอย่างไร ?

การดำเนินบทบาทในเวทีโลกปัจจุบัน ไทยจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับหลายฝ่าย พร้อมทั้งแสวงหาหนทางในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศใหม่ ๆ เพื่อรองรับโอกาสทางการค้าในอนาคต

ดังนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์ในการเชื่อมโยงกับนานาประเทศ ควบคู่ไปกับการมองหาตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่เหมาะสมในแต่ละประเทศ มีความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การเกษตร ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือด้านการแพทย์ เป็นต้น

ปัจจุบันเราต้องเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งค่อนข้างมาก ทำอย่างไรถึงจะสามารถมีความเชื่อมโยง โดยที่ไม่เข้าไปสู่ความขัดแย้งเหล่านั้นได้ เมื่อเข้าใจหลักการต่าง ๆ เราก็จะเข้าใจว่าประเทศไหนมีความสัมพันธ์กันอย่างไรในโลกนี้ เราก็จะสามารถทำนโยบายที่สร้างความร่วมมือกับแต่ละประเทศได้

...

กรอบนโยบายสาธารณะ ที่จะช่วยรับมือความปั่นป่วนการค้าโลก ?

เนวิน ชี้ว่า เรื่องสำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้คนของเราเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกและสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังเข้าใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

ด้านนโยบายต่างประเทศ ประเทศไทยจำเป็นต้องมุ่งรักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับหลายประเทศ โดยใช้เวทีทั้งทวิภาคีและพหุภาคี เนื่องจากองค์กรระดับโลก เช่น องค์การการค้าโลก องค์การอนามัยโลก หรือข้อตกลง Paris Agreement มีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนน้อยลง ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระดับภูมิภาคมากขึ้น ทั้งในบริบทอาเซียน และกรอบการค้าต่าง ๆ นโยบายของไทยจึงต้องสอดคล้องกับพลวัตของอำนาจโลก และประเทศไทยควรมีบทบาทเชิงรุกในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยและสร้างสะพานเชื่อมในเวทีโลกให้มากขึ้น

ด้านการศึกษา เราจำเป็นต้องพัฒนาระบบการศึกษาให้ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ ตั้งแต่การปรับหลักสูตร การพัฒนาทักษะด้านภาษาและดิจิทัลเทคโนโลยี ไปจนถึงการสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ เพื่อให้คนไทยสามารถปรับตัวในสังคมโลกปัจจุบันได้ อีกทั้งต้องสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนอยากเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมทั้งสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาทักษะแรงงาน ทั้งด้าน Reskill และ Upskill จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะโลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยีและสินค้าใหม่ ๆ ประชาชนจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเอง พร้อมทั้งเป็นหนทางเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงในอนาคต

ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม หากประเทศมีศักยภาพในด้านนี้ จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของไทยในเวทีโลกได้มากขึ้น สิ่งที่จำเป็นต้องลงทุนอย่างจริงจังคือการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการลงทุนในทุนมนุษย์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถก้าวเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคงในอนาคต

...

และหากต้องการให้ธุรกิจในด้านนวัตกรรมเกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องสร้าง “ระบบนิเวศนวัตกรรม” ที่ครบถ้วน ตั้งแต่การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การจัดหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาตามเป้าหมาย และต้องมีความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น

ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่าจีนเดินหน้ายุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือในการขยายความสัมพันธ์ และเสริมสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในไทยคือการพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงกับต่างประเทศทางด้านโลจิสติกส์ นโยบายนี้ยังสะท้อนความตั้งใจของไทยที่จะผลักดันให้ EEC เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งในการเชื่อมโยงกับต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เนวิน สินสิริ
เนวิน สินสิริ

...

ถ้าเราไม่ปรับตัวจะเกิดอะไรขึ้น ?

เราเห็นหลายๆ ประเทศกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าเราไม่ปรับตัวจะทำให้เราหลุดจากแผนที่โลก ที่ผ่านมา นโยบายต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างให้ไทยกลายเป็นแหล่งผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญของการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าในประเทศไทยได้เพิ่มสูงขึ้น และมีการแข่งขันสูงในอุตสาหกรรมดั้งเดิม หากเราไม่ปรับตัวตามโลกที่เปลี่ยนไป จะทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เราจึงไม่มีทางเลือก การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น

ไทยต้องตั้งทีม “ภูมิเศรษฐศาสตร์” ขึ้นมาศึกษา-รับมือ

เนวิน เผย ที่ผ่านมา เวลามองนโยบายสาธารณะของไทย มักจะเน้นไปที่เรื่องภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนการมองผลกระทบจากความขัดแย้งจากส่วนต่างๆ ของโลก ยังค่อนข้างน้อย แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ไทยจะไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับประเทศใด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ใหญ่ เช่น สงครามรัสเซีย–ยูเครน ไทยก็ได้รับผลกระทบทันทีจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นชัดว่าความสัมพันธ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายของไทยมาก

ดังนั้น การศึกษาผลกระทบจากความสัมพันธ์และความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในแต่ละภูมิภาคของโลก จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่ว่าไทยจะเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจก็อาจเกิดขึ้นกับไทยได้เสมอ

งานวิจัยที่กำลังศึกษาในตอนนี้มีหลายประเด็น เช่น ผลกระทบของภูมิเศรษฐศาสตร์ต่อความมั่นคงทางพลังงานของไทย ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมกับต่างประเทศ เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย สำหรับอนาคต ทีมวิจัยอยากต่อยอดไปสู่การศึกษาการปรับนโยบายการค้ากับประเทศต่าง ๆ เพื่อให้ไทยสามารถตอบสนองต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ