คืบหน้าปลดล็อก “นกกรงหัวจุก” พ้นสัตว์ป่าคุ้มครอง คกก.ศึกษาใกล้แล้วเสร็จ “นักอนุรักษ์” เตือน เสี่ยงซ้ำเติมปัญหาลักลอบล่า-จำนวนลดจนระบบนิเวศเสียหาย แนะแก้ระเบียบให้คล่องตัวดีกว่า

จากกรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าปลดล็อก “นกปรอดหัวโขน” หรือ “นกกรงหัวจุก” ออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองที่ขออนุญาตเพาะขยายพันธุ์ได้

โดยที่ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เห็นชอบในหลักการไปเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 หวังเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชุมชนควบคู่การอนุรักษ์ โดยให้ตั้งคณะทำงานศึกษาสถานภาพประชากรนกกรงหัวจุกในปัจจุบัน  การกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการล่านกในธรรมชาติ และมาตรการป้องกันนกในกรงเลี้ยงหลุดเข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อนำไปประกอบการเสนอปลดนกกรงหัวจุกออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2568 แหล่งข่าวระดับสูงในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ (คกก.) เผยว่า ตอนนี้กำลังเร่งดำเนินการทางเอกสาร สำรวจรวบรวมข้อมูลประชากร จัดทำข้อมูลมาตรการป้องกันการล่านกและป้องกันนกหลุด คาดใกล้ได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว โดยจะมีการประชุมแต่ละฝ่ายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะมีการนำเข้าที่ประชุม คกก. ชุดใหญ่ต่อไป ซึ่งกรอบเวลายังไม่สามารถระบุได้

...

เส้นทางปลดล็อกนกกรงหัวจุก

“นกกรงหัวจุก” นกขนาดเล็กประมาณ 20 ซม. สีสันสวยงามและเสียงร้องไพเราะ เริ่มมีการเลี้ยงในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2410 จากกลุ่มชาวจีนในภาคใต้ ที่นิยมนำมาใส่กรงพาเดินไปตามถนนหรือนั่งร้านกาแฟ จนมีการเลี้ยงอย่างแพร่หลาย มีการจัดประกวดเสียงร้อง จนกลายเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น

ปัจจุบันนกกรงหัวจุกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกนก ลำดับที่ 580 ตามกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2546 ห้ามล่าหรือจับมาจากธรรมชาติ

แต่เนื่องจากนกชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาตั้งแต่อดีต ทำให้มีการเคลื่อนไหว รณรงค์ล่ารายชื่อ เพื่อผลักดันให้ปลดนกกรงหัวจุกออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง สามารถเลี้ยงได้อย่างเสรีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงคัดค้านตามมาเสมอเช่นกัน

เหตุการณ์ที่โดดเด่น เช่น ในเดือน มี.ค.2565 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เตรียมเสนอให้กรมอุทยานฯ ปลดล็อกนกกรงหัวจุก ชูเป็นสัตว์เศรษฐกิจจังหวัดชายแดนใต้

ต่อมาในเดือน เม.ย.2565 สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้จดหมายส่งถึงนายกฯ รมว.สิ่งแวดล้อม อธิบดีกรมอุทยาน และ ศอ.บต.คัดค้านการปลดนกกรงหัวจุก ชี้ปัจจุบันมีการเลี้ยงและขยายพันธุ์ทั้งประเทศกว่า 1 แสนตัว ดังนั้นการไม่ถอดออกจากสัตว์ป่าคุ้มครองก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไร ซึ่งจากข้อมูลของชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา และนักดูนกจากทั่วประเทศ ที่ร่วมกันสำรวจประชากรนกกรงหัวจุก พบจำนวนในธรรมชาติลดลงถึง 90%

หรือในวันที่ 22-23 ม.ค. 2568 มีการแข่งขันนกปรอดหัวโขน (นกกรงหัวจุก) “ก้าวที่กล้า สานฝันสู่เสรี” ที่รัฐสภา มีการจัดเวทีเสวนา โดยนายเอกพล วรรณกิจ นายกสมาคมอนุรักษ์และเพาะเลี้ยงนกกรงหัวจุกแห่งประเทศไทย ระบุว่า ขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาปลดล็อกอยู่ในชั้นอนุกรรมการของกรมอุทยานฯ คาดไม่นานจะสามารถถอดออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง ชี้จากการวิจัยของ ศอ.บต. นกกรงหัวจุกสีดำและสีเทา สามารถสร้างรายได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท หากปลดล็อกอาจเพิ่มอีก 2-3 เท่าตัว สามารถดันเป็น Soft Power ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อให้เงินเข้ากระเป๋าชาวบ้าน

ก่อนที่ต่อมาในวันที่ 2 ก.ค.2568 ที่ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า จะเห็นชอบในหลักการปลดล็อก และอยู่ระหว่างให้คณะทำงานทำการศึกษาในปัจจุบัน

สมาคมอนุรักษ์นกฯ ค้านปลดล็อก

คุณวัชรวีร์ ศรีประเสริฐศิลป์ นักวิชาการจากสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย เผยว่าไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกในครั้งนี้ เนื่องจากนกกรงหัวจุกเป็นนกที่ดีต่อระบบนิเวศ ในฐานะช่วยขยายพันธุ์พืชและเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ หากนกชนิดนี้ถูกถอดออกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง จะเป็นช่องโหว่ให้มีการลักลอบจับนำมาเลี้ยงและขายมากขึ้น ทำให้ระบบนิเวศภายในป่าก็จะเสื่อมโทรมตามมา และไม่สามารถเอาผิดกับคนที่ทำได้

คุณสมบัติของนกกรงหัวจุกที่ดี คือต้องร้องเสียงเพราะ หรือช่างพูดช่างจา แต่ในบางครั้งนกที่เกิดจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติอาจไม่มีคุณสมบัตินี้ครบถ้วน ทำให้บ่อยครั้งมีการผสมข้ามสายพันธุ์ด้วยน้ำมือของมนุษย์เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ต้องการ จนนกกรงหัวจุกที่แท้จริงเริ่มหายไปตามกาลเวลา

นกกรงหัวจุก สามารถขออนุญาตเลี้ยงได้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปัญหาหลักของการลักลอบเลี้ยง ส่วนใหญ่เกิดจากขั้นตอนและระยะเวลาในการขอขึ้นทะเบียน เนื่องจากต้องใช้เวลานาน ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเลี้ยงแบบผิดกฎหมาย เพราะเป็นวิธีที่รวดเร็ว 

...

"สิ่งนี้เป็นประเด็นหลักๆ ที่อยากให้โฟกัส หากนกชนิดนี้หลุดจากสัตว์ป่าคุ้มครองไปแล้ว ไม่มีอะไรป้องกันแล้วจากการโดนดักจับในธรรมชาติ การเลี้ยงในฟาร์มมีใบอนุญาตถูกต้อง มีราคาตั้งแต่หลักพันจนหลักหมื่น แต่ว่าหากเป็นการลอบจับนกป่า ขายกันตามเฟซบุ๊กตัวละร้อยบาทยังมีเลย" 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด อนาคตข้างหน้า หากนกกรงหัวจุกพ้นจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง จำนวนประชากรจะน้อยลงหรือไม่ และมีมาตรการในการอนุรักษ์ต่อไปอย่างไร ดังนั้นหากประเทศไทยต้องการจะเดินหน้าเศรษฐกิจในเรื่องนี้ ควรหากึ่งกลางในการแก้ปัญหา โดยใช้เหตุผลและข้อเท็จจริงในการพูดคุยกัน

"กลุ่มผู้เลี้ยงเห็นปัญหาอยู่แล้ว ว่าปัญหาแท้จริงคือขั้นตอนการขออนุญาต ที่อาจจะยากสักนิดหนึ่ง คนที่เพาะพันธุ์ต้องมีพื้นที่ ต้องเป็นเจ้าของโฉนด สิ่งเหล่านี้มีรายละเอียดยิบย่อยมาก หรือว่าพื้นที่ที่จะเดินทางไปขออนุญาต บางคนอยู่ห่างไกล เดินทางไปขอไม่สะดวก ไปขอแล้วก็ต้องรอ"

"ถ้าระเบียบทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะงัก เพราะอาจจะเก่าแล้วก็ให้เปลี่ยนที่ระเบียบ ไม่ใช่บอกว่าระเบียบมันไม่ดีงั้นเราเอานกออกจากบัญชีคุ้มครองไปเลย จะได้ทำอะไรได้อย่างเสรี ทีนี้มุมมองในการป้องกันนกตามธรรมชาติก็จะหายไป" 

...

สถิติการลอบเลี้ยงนกกรงหัวจุก

ข้อมูลล่าสุดปี 2566 จาก มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เผยว่า ที่ผ่านมามีการลักลอบจับจากป่าธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 8 ปี (2555–2563) มีการยึดนกที่ลักลอบจับ จำนวน 18,096 ตัว แม้แต่ในช่วงการระบาดโควิด-19 ปี 2564 ก็ยังพบมีการลักลอบและสามารถยึดนกได้ 500 ตัว ต่อมาในปี 2565 ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. ยึดนกได้ 2,380 ตัว โดยส่วนใหญ่เป็นลูกนก และเชื่อว่ายังมีอีกจำนวนมากที่หลุดรอดสายตาเจ้าหน้าที่