จับตาสงครามการค้ารอบใหม่ “สหรัฐฯ-จีน” รอบใหม่ จากปมแร่แรร์เอิร์ธสู่กำแพงภาษี 100% เสี่ยงกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างหนัก อาจดันราคาทองแตะ 65,000 บาทในสิ้นปี-มีการปรับฐาน
สองประเทศมหาอำนาจโลก สหรัฐอเมริกา และ จีน เสี่ยงเปิดสงครามการค้ารอบใหม่ หลังช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จีน ได้ประกาศคุมเข้มแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) หรือกลุ่ม 17 ธาตุโลหะหายาก ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ทั้งสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอุปกรณ์ทางการทหาร ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกราว 70%
ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกมาขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% พร้อมควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ พร้อมกล่าวหาว่าจีน “พยายามจับโลกไว้เป็นตัวประกัน”
...
ต่อมา 12 ต.ค. จีนได้ออกมาตอบโต้ โดยโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า การขู่ใช้ภาษีสูงในทุกๆ สถานการณ์ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับจีน และหากยังยืนกรานจะดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว จีนจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องผลประโยชน์
ซึ่งความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ กระทบต่อตลาดเงินอย่างรุนแรง มูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เสียหายภายในวันเดียวเมื่อวันศุกร์ (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 74. ล้านล้านบาท) โดยเป็นการปรับตัวลดลงแรงสุดในรอบครึ่งปี
แต่ล่าสุดวันนี้ (13 ต.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้น หลังวานนี้ ปธน.ทรัมป์โพสต์ลงบน Truth Social ว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องประเทศจีน ทุกอย่างจะไม่เป็นไร” พร้อมให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวชื่นชมประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ว่าเป็นผู้นำที่ดี และพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นสัญญาณว่าอาจมีการเจรจาหาทางออกและ ปธน.ทรัมป์ อาจไม่ใช้มาตรการภาษี 100% จริงๆ
"แรร์เอิร์ธ" เครื่องมือต่อรองของจีน
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า การออกมาตรการคุมเข้มการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธของจีน ส่งผลกระทบกับหลายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการผลิตสินค้าและอุปกรณ์ด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งอาจจะหาจากแหล่งอื่นทดแทนได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะจีนเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดของโลก
ประเมินว่า ความเคลื่อนไหวของจีนในครั้งนี้ อาจเป็นไปเพื่อให้ตนมีอำนาจต่อรองมากขึ้น เพราะในระยะยาวมีโอกาสที่สหรัฐฯ กับจีนอาจมีความขัดแย้งทางทหารกัน ดังนั้นจีนจึงควบคุมปัจจัยที่ตนมีอำนาจควบคุมได้และป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าถึงทรัพยากรบางอย่างได้โดยง่าย
จับตาผลกระทบไทย-ราคาทองพุ่ง
รศ.ดร.อนุสรณ์ หากทั้งสองประเทศมหาอำนาจไม่สามารถตกลงกันได้และมีการดำเนินมาตรการภาษีต่อกันและกันจริงๆ จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว และกระทบกับเศรษฐกิจไทย
ในส่วนภาคการส่งออกของไทย อาจมีสินค้าบางส่วนได้ประโยชน์จากการส่งออกไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง แต่ผลกระทบโดยรวมยังคงเป็นลบอยู่
ขณะเดียวกันก็อาจต้องเผชิญกับสินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่สามารถส่งไปขายที่สหรัฐฯ ได้ เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ อาจผลักดันสินค้าบางชนิดเข้ามาขายในไทยแทนการส่งไปขายในจีนเพิ่มขึ้น
“ที่ผ่านมาสินค้าจีนก็ทะลักเข้าไทยมาอยู่แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME เดือดร้อน ซึ่งแรงกดดันส่วนนี้ก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก กลายเป็นสถานการณ์ที่คนที่จะอยู่รอดได้ คือคนที่สามารถแข่งขัน ปรับตัวได้ ซึ่งหากทำไม่ได้ก็อาจต้องล้มหรือปิดกิจการไป”
ในส่วนนี้ ทางการไทยอาจรับมือได้ด้วยการออกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier) กำหนดคุณภาพสินค้า มาตรฐานเรื่องสารปนเปื้อน เพื่อช่วยปกป้องตลาดของไทย
...
นอกจากนี้จากความไม่แน่นอน ยังทำให้นักลงทุนโยกเม็ดเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง มายังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” และ “พันธบัตร” ทำให้ราคาทองพุ่งต่อเนื่อง ในไทยอาจมีโอกาสแตะ 65,000 บาทในช่วงปลายปีนี้
ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลก ล่าสุดจากการประเมินจากบริษัทการเงินชื่อดังอย่าง โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ก็ได้ประเมินว่าสิ้นปีหน้าอาจทะลุออนซ์ละ 4,900 USD
“หากทองคำขึ้นไปถึง 65,000 บาท ก็อาจมีการปรับฐานราคาบางช่วง เพราะตอนนี้ราคาขึ้นอย่างเดียวและขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงฟองสบู่อยู่ แต่การที่ราคาทองคำขึ้นมากขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าจุดหนึ่งอาจเกิดวิกฤตการณ์ได้ เพราะหากไปย้อนดูอดีตจะพบว่า ทุกๆ ครั้งที่ทองขาขึ้นผิดปกติมักเกิดในช่วงที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตอยู่”
สำหรับคนที่ถือทองอยู่เป็นจำนวนมากและต้นทุนที่ถืออยู่ต่ำ เช่น ถือตั้งแต่ราคาบาทละ 2-3 หมื่นบาท ก็ควรทยอยลดการถือลงและขายเอากำไรบ้าง เพราะหากมีการปรับฐานหรือราคาทองคำเปลี่ยนทิศทางก็จะเสียโอกาสไป เช่น หากสงครามในยูเครนยุติ สหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์เพิ่มขึ้น คนก็จะโยกเงินไปตลาดหุ้นแทน และขึ้นอยู่กับบทบาทของธนาคารแต่ละประเทศด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาที่ราคาทองปรับขึ้นสูงเนื่องจากธนาคารของแต่ละประเทศลดการถือครองดอลลาร์มาถือทองคำแทน
...
ทางออกของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี รศ.ดร.อนุสรณ์ ประเมินทางออกของเรื่องนี้ว่า ถึงที่สุดทั้ง 2 ประเทศก็ต้องมาขึ้นโต๊ะเจรจากัน
สำหรับการรับมือของประเทศไทยนั้น ในระยะสั้นควรดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้เงินบาทไม่แข็งค่ามากเกินไป เป็นผลดีต่อภาคส่งออก ภาคการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวต้องขยับการลงทุนให้ขยายตัวมากกว่านี้เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและวางรากฐานเศรษฐกิจ ซึ่งอาจไม่สามารถทำได้เต็มที่ในรัฐบาลเฉพาะกาล
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยนั้นขาดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใน ที่ใช้ในธุรกิจอุตสาหกรรมตอนนี้ล้วนเป็นเทคโนโลยีต่างชาติที่เราซื้อมาเป็นส่วนใหญ่ หากรัฐบาลใหม่ต้องการพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลาง โดยอาศัยการเติบโตภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกหลัก รัฐบาลต้องมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เหมาะสม
อุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันและมีผลิตภาพสูง รัฐบาล ควรมีนโยบายเชิงรับ เช่น สนับสนุนการวิจัย พัฒนานวัตกรรม ผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจ ลดการทุจริตรั่วไหล
...
ส่วนอุตสาหกรรมที่ไทยมีผลิตภาพต่ำแข่งขันได้ไม่ดีนัก ควรใช้นโยบายเชิงรุก เช่น ให้สินเชื่อสนับสนุน ใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายใน มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีหากจำเป็น การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก ขนาดกลาง เน้นการสนับสนุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งการปรับระบบภาษีเพื่อให้เกิดแรงจูงใจและความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้นผ่านผลิตภาพที่สูงขึ้น
การถดถอยของภาคส่งออกจากการชะลอของเศรษฐกิจโลก เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจัง ยกระดับขีดความสามารถของสินค้าไทย ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของไทย (Total Factor Productivity of Thailand) ยังมีอัตราการเติบโตต่ำ ธุรกิจที่มีผลิตภาพสูงส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตของบรรษัทข้ามชาติ ที่มีการใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้น
งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการผลิตรวมของไทยขยายตัวต่ำกว่า 1.2-1.3% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระดับประสิทธิภาพในการผลิต (Productive Efficiency) อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศที่ใช้แรงงานเป็นหลักและประเทศที่ใช้ทุนเป็นหลักจึงสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนี้ จะยาวนานจนกว่าไทยจะสามารถพัฒนากิจการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การผลิตใช้ปัจจัยทุนหรือเทคโนโลยีเข้มข้น และสามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเองได้ ปัจจัยประสิทธิภาพการผลิตนี้เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อพื้นฐานความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากปัจจัยค่าแรง นโยบายสาธารณะ และ อำนาจตลาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและใช้เวลาสั้นกว่ามาก
ภาวะการตกต่ำของภาคส่งออกไทย โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมบางตัวจะเกิดขึ้นอย่างยาวนาน หากไม่สามารถปรับปรุงผลิตภาพการผลิตได้ จากประสบการณ์ของประเทศที่สามารถก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลางได้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาระดับความสามารถในการผลิตของประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
การกดค่าแรงไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เพื่อนร่วมชาติผู้ใช้แรงงานต้องได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนแรกเข้าสูงขึ้นเป็นนโยบายที่จะช่วยบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้องมีมาตรการเชิงรุกอื่นๆ เพิ่มเติม จึงสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื้อรังที่ต้นตอได้
การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนจากฐานทรัพยากร และ ฐานแรงงานราคาถูกนั้นได้มาถึงขีดจำกัดและพ้นยุคสมัยไปแล้ว ความทรุดโทรมทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ แม้แต่อากาศและน้ำสะอาดก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ
ภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยไม่สามารถอาศัยแรงงานทักษะต่ำราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดยกระดับทักษะแรงงานเหล่านี้ เราควรปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวอย่างมีมาตรฐานและสิ่งนี้เป็นการแสดงความศิวิไลซ์ของสังคมไทย