ปัจจุบันไทยกำหนดอายุเกษียณตามกฎหมายไว้ที่ 60 ปี ทั้งข้าราชการและบริษัทเอกชน (กรณีไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาจ้าง) แต่ด้วยแนวโน้มที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ "สังคมสูงวัย"  (Aged Society) จึงเริ่มมีแนวคิดจากภาครัฐที่จะขยายกรอบอายุเกษียณออกไปเป็น 65 ปี เนื่องจากมีผลกระทบหลายมิติ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ ตลาดแรงงาน และการวางแผนการเงินของประชาชน


กรณีนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการปรับอายุเกษียณเป็น 65 ปี ต่อสาธารณะ ในแง่ที่เห็นด้วยให้มีการพิจารณา หลังจากที่สังคมมีการเปลี่ยนไป สุขภาพและคุณภาพประชากรดีขึ้น และลดอัตราการว่างงานจากสังคมสูงวัยด้วย แต่ยังต้องใช้เวทีหารือกันอีกมาก


“เราต้องมีระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้ วันก่อนผมพูดถึงเรื่องความเป็นไปได้ในการปรับอายุการเกษียณราชการไว้ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ก็จะไปหารือ หาแนวทางในการที่จะปรับเรื่องการเกษียณอายุราชการ เชื่อว่าในภาคเอกชนคงมีการรองรับทางด้านนี้อยู่แล้ว” นายกฯ อนุทิน กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย”


ด้าน รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผอ.สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ให้ความคิดเห็นกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ไว้ว่า การขยายกรอบอายุเกษียณเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้สังคมได้เริ่มพูดคุย แลกเปลี่ยน และเตรียมรับต่อการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งมีข้อมูลรองรับว่าประชากรมีอายุเฉลี่ยที่เพิ่มมากขึ้น จึงเห็นด้วยกับการขยายอายุเกษียณ 


แต่ รศ.ดร.เฉลิมพล มองว่า การขยับขึ้นทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 62 หรือ 65 ปี เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก จะมีแรงเสียดทานเยอะ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อม และการปรับอัตรากำลังที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและสังคม  พร้อมยกตัวอย่างในต่างประเทศ อาทิ ประเทศเวียดนาม ที่ตั้งเป้าจาก 60 เป็น 62 ปี แต่เลือกขยับปีละ 3 เดือน เช่น ปีนี้เกษียณอายุ 60 ปี 3 เดือน ปีหน้า 60 ปี 6 เดือน เป็นต้น โดยต้องใช้ระยะเวลาราว 8 ปี ถึงจะขยับครบ 24 ปีได้

...


รศ.ดร.เฉลิมพล ยังระบุอีกว่า บริบทของไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น และสิงคโปร์ค่อนข้างแตกต่างกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศรายได้สูง และมีการเตรียมความพร้อมเรื่องเงินบำนาญ การขยายอายุทำให้ระบบบำนาญยั่งยืนขึ้น ประชากรมีระยะเวลาจ่ายเงินสมทบ ส่วนของไทยการเกษียณอายุจะมีเพียงข้าราชการ ส่วนเอกชนสามารถขอรับสิทธิ์ชราภาพได้ตั้งแต่ 55 ปี ขณะที่แรงงานนอกระบบก็ไม่มีการเกษียณอายุอยู่แล้ว


นอกจากนี้ รศ.ดร.เฉลิมพล ยังกล่าวถึง "นิยามของผู้สูงอายุ" ว่าเป็นสิ่งที่สามารถปรับได้เลย เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบต่อการทำงานและองค์กร อาจกระทบสวัสดิการของผู้สูงอายุ แต่เสนอว่ายังไม่ต้องส่งผลถึงเบี้ยยังชีพ อาจค่อยปรับตามมาในทีหลัง กล่าวคือ ปรับนิยามผู้สูงอายุ จาก 60 เป็น 65 ปี ด้วยข้อมูลเชิงวิชาการที่เดิมที หลังจากอายุ 60 คนไทยจะอยู่ได้อีก 12-13 ปี เมื่อ 50 ปีก่อน แต่ในปัจจุบันจะอยู่ได้อีก 17-23 ปี จึงมีเหตุผลรองรับที่ชัดเจน และค่อยๆ ขยับให้คนรู้สึกว่าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด


นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะไปถึงรัฐบาล ให้เริ่มต้นปรับอายุเกษียณที่ 62-63 ปีก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาแบบค่อยเป็นค่อยไป มีแผนปฏิบัติให้ชัดเจน เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้


"อายุเกษียณกระโดดจาก 60 ไป 65 ปี อาจจะเรียกว่าทำได้ยาก และไม่ควร คิดว่าคงมีผลกระทบและปัญหาระหว่างทางเยอะ มีแรงเสียดทาน รวมถึงการปรับตัวของคนทำงานและองค์กรด้วย" รศ.ดร.เฉลิมพล กล่าว