ภาคประชาชน ค้านแลนด์บริดจ์-พ.ร.บ.SEC หวั่นทำลายธรรมชาติ-อาชีพคนท้องถิ่น เปิดทางนำที่ดินคนไทยให้นายทุนต่างชาติ จวกกระบวนการรับฟังความคิดเห็นชาวบ้านไม่จริงใจ ไม่ฟังเสียงคัดค้าน
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยร่วมกับเครือข่าย จัดเวทีเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน: เหมือง แร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้ยินโดยผู้มีอำนาจและเป็นส่วนหนึ่งในสมการการพัฒนา พร้อมสื่อสารว่า “สิทธิในที่อยู่อาศัย” คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ภายในงานได้มีการพูดถึง “โครงการแลนด์บริดจ์” หรือโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม เชื่อมโยง 2 ท่าเรือ เพื่อส่งเสริมการขนส่งทางน้ำ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ มีการสร้างทางเชื่อมระหว่างท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง โดยมีทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) รถไฟทางคู่ ท่อขนส่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ และมีการถมทะเลเพื่อพัฒนากิจการสนับสนุนท่าเรือ
...
โครงการนี้มีรูปแบบการพัฒนาโครงการ เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการให้สิทธิแก่เอกชนลงทุนในการก่อสร้างและการบริหารจัดการเป็นระยะเวลา 50 ปี โดยกำหนดให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งโครงการ ประกอบด้วย ท่าเรือ ทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร และมอเตอร์เวย์ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่หลังท่า โดยภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเวนคืนที่ดิน และกำหนดสิทธิประโยชน์ให้กับเอกชนผู้ร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะ รวมประมาณการลงทุนโครงการ 1 ล้านล้านบาท โดยจะใช้งบลงทุนส่วนใหญ่จากต่างประเทศ คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในเดือน ต.ค. 2573 และเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 2 ฝั่ง ภายในปี 2582
รสิตา ซุ่ยยัง ตัวแทนจากเครือข่ายรักษ์ระนอง กล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของจังหวัดระนองเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอาชีพทำประมงเป็นหลัก โครงการจะทำลายระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ เช่น ป่าชายเลน แหล่งปะการัง และพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นเขตอนุรักษ์สำคัญ
การถมทะเลใกล้ เกาะพยามและเกาะพิทักษ์ในพื้นที่แรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) และพื้นที่เตรียมขึ้นทะเบียนมรดกโลก เป็นการระเบิดภูเขาเพื่อนำดินมาถมทะเล มีความเสี่ยงต่อแหล่งดำน้ำระดับโลก รวมถึงผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหายาก เช่น พะยูน โลมา และเต่าทะเล สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะกลุ่มคนชาติพันธุ์ เนื่องจากกลุ่มคนกลุ่มนี้ไม่สามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดได้ เพราะไม่มีบัตรประชาชน รวมถึงมี พ.ร.บ. SEC เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย
พ.ร.บ. SEC หรือชื่อเต็มคือ ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีผลกระทบต่อพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ และร่างกฎหมายดังกล่าวยังกำหนดบทบัญญัติให้สิทธิพิเศษแก่ต่างชาติและกลุ่มนักลงทุน การยกเว้นกฎหมาย การรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจ ปัญหาในการตรวจสอบการใช้อำนาจ และยังรวมไปถึงการให้อำนาจในการจำกัดสิทธิของประชาชน ที่อาจขัดต่อหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้
โครงการยังถูกวิจารณ์ว่ากระบวนการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าร่างกฎหมาย SEC จะเปิดทางให้นำที่ดินของประชาชนไปใช้เพื่ออุตสาหกรรม ขายให้นักลงทุนต่างชาติ และให้เช่าที่ดินได้ยาวนานถึง 99 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียที่ดินและอาชีพของคนในพื้นที่อย่างถาวร และหากระบบนิเวศถูกทำลาย นอกจากชาวบ้านจะไม่มีแหล่งทำมาหากิน แต่แหล่งท่องเที่ยวก็จะได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจตามไปด้วย
...
“ชาวต่างชาติเขามาเที่ยวระนองเพื่อชมธรรมชาติ หากไม่มีธรรมชาติ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมาเพื่ออะไร”
รสิตา กล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นของภาครัฐ ไม่มีความจริงใจต่อประชาชน เนื่องจากชาวบ้านในชุมชนได้ออกมาคัดค้านโครงการดังกล่าวตลอด แต่แล้วเรื่องก็เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม และทางชาวบ้านไม่เคยได้รับหนังสือใดๆ จากภาครัฐอีกด้วย ในส่วนของภาคประชาชนควรมีข้อเสนอในการทบทวนเรื่องทิศทางการพัฒนาประเทศให้ชัดเจนและไม่ขัดต่อสิทธิมนุษยชน รวมถึงการยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี และ พ.ร.บ. SEC รวมถึงทบทวน พ.ร.บ. EEC อย่างจริงจัง
“การพัฒนาประเทศต้องพัฒนาจากรากฐานของประเทศ นั่นคือ ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น หากคนในพื้นที่อยู่อย่างมั่นคง ประเทศชาติก็จะมั่นคงต่อไป”
ก้อย ทะเลลึก ตัวแทนชุมชนมอแกน เกาะพยาม จังหวัดระนอง เผยว่า ชุมชนมอแกนอยู่ในพื้นที่จังหวัดระนองตั้งแต่ราวปี พ.ศ.2500 ซึ่งอยู่กันอย่างเรียบง่ายและสงบสุข
แต่เมื่อมีโครงการแลนด์บริดจ์เข้ามา ทำให้พี่น้องในชุมชนเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากมีการระเบิดหินภูเขาเพื่อนำมาถมทะเล ทำให้ระบบนิเวศเสื่อมเสีย จนไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา การประมงก็เริ่มทำมาหากินยากมากขึ้น รวมถึงชาวมอแกนส่วนใหญ่ยังไม่มีบัตรประชาชนและทะเบียนเรือ ทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพนอกเขตพื้นที่ได้
...
“ชาวมอแกนอยู่กับทะเลมาโดยตลอด หากภาครัฐยังปล่อยให้โครงการนี้ดำเนินต่อ จะทำให้พี่น้องมอแกนไม่สามารถออกหากินทางทะเลได้อีกต่อไป แถมหากถูกเวนคืนที่ ก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เพราะไม่มีที่ให้ไป”
ในขณะเดียวกัน พิมพ์ดาว จันทรขันตี ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 1 เผยถึงการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนว่า โครงการนี้ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นที่เพียงพอ และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริง เนื่องจากถูกดำเนินการจากหลายหน่วยงาน ทำให้ได้รับความคิดเห็นไม่ตรงกัน และประชาชนเข้าไม่ถึงข้อมูล เนื่องจากทางรัฐบาลบอกแต่ข้อดี แต่ไม่ได้บอกถึงข้อเสียที่ตามมา รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ก็ไม่สามารถเดินทางมาร่วมรับฟังได้
พิมพ์ดาว กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นร่วมกัน พร้อมให้ ครม.นำผลการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบพิจารณาว่ายังจำเป็นต้องดำเนินโครงการนี้ต่อจริงหรือไม่ เพราะเรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่มาจากภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น จึงอยากให้จัดตั้งรัฐบาลกลางทำหน้าที่ตรวจสอบและประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน เพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน
...
แม้โครงการแลนด์บริดจ์จะได้รับการส่งเสริมในฐานะโครงการพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญ แต่เสียงคัดค้านจากชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดระนองชี้ให้เห็นว่ายังมีความขัดแย้งเรื่องสิทธิที่อยู่อาศัยและความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะข้อกังวลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.SEC ที่อาจเปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดินและเวนคืนพื้นที่อย่างไม่เป็นธรรม
สถานการณ์ของโครงการแลนด์บริดจ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าภาครัฐจะตอบรับเสียงชุมชนอย่างไร จะมีการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนหรือไม่ต่อไป