เขื่อนเจ้าพระยายังไหว รับมือพายุ "รากาซา” ผอ.ศอน. เผย ตรึงการระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง เชื่อไม่ส่งผลน้ำท่วมหนักขึ้น-กระทบกรุงเทพฯ เตือนประชาชนเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด
จากกรณีวันที่ 23 กันยายน 2568 เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเรื่องพายุใต้ฝุ่น "รากาซา” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันออกค่อนทางเหนือเล็กน้อย คาดว่าจะเข้าใกล้เกาะฮ่องกง และเคลื่อนผ่านแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน ก่อนอ่อนลงเป็นพายุโซนร้อนและเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน
จากอิทธิพลของพายุ "รากาซา" ส่งผลให้ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน รวมถึงมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 23–26 กันยายน 68 ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลว่าพายุลูกนี้จะซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นหรือไม่
...
นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ (ศอน.) เผยว่า ปัจจุบัน สถานการณ์น้ำในเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ยังคงมีการระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเขื่อนมีความจุสูงสุดที่ 265 ล้าน ลบ.ม. ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ยังคงมีฝนตกในบริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ส่งผลให้ยังมีน้ำไหลมารวมตัวกันอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ ด้านบนของเขื่อน ทำให้เจ้าหน้าที่พร่องน้ำบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา สูงสุดที่ 2,200 ลบ.ม/วินาที ซึ่งมากกว่าปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 2,199 ลบ.ม/วินาที คาดว่ายังสามารถรองรับและควบคุมปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอนาคตได้
พายุรากาซา จะไม่ส่งผลต่อปริมาณน้ำในเขื่อนเจ้าพระยามากนัก จากการประเมินพบว่าจำนวนน้ำจะเพิ่มขึ้นมาอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ดีจะมีการบริหารจัดการน้ำเพื่อเตรียมรับมือ โดยใช้เขื่อนเจ้าพระยาในการหน่วงน้ำและปรับเพิ่มในส่วนของการระบายน้ำเข้าฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก
เมื่อสอบถามว่า พายุจะมีผลกระทบทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ หรือไม่ นายฐนโรจน์ ตอบว่า จากทิศทางที่ติดตามร่วมกับทางกรมอุตุนิยมวิทยา มีการรายงานถึงเส้นทางพายุที่จะเข้ามาในประเทศไทยตอนบน คือบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้เมื่อพายุมาถึงประเทศเวียดนามและประเทศลาว จะได้รับอิทธิพลจากความกดอากาศสูง ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนที่จะตกในประเทศไทยเหลือไม่มากนัก
จากการคาดการณ์ ปริมาณฝนจากพายุจะไม่ส่งผลให้เกิดปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน แต่หากเกิดขึ้นจริงๆ ต้องระวังพื้นที่บริเวณท้ายเขื่อน ที่จะต้องมีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นจากตัวเลข 2,200 ลบ.ม/วินาที เป็นไม่เกิน 2,500 ลบ.ม/วินาทีได้ อย่างไรก็ดียังอยู่ในเกณฑ์ที่ขออนุญาต ก.ต.ช. ไว้
ทั้งนี้หากระดับน้ำมีปริมาณสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะส่งผลให้พื้นที่บริเวณลุ่มต่ำ ในจังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาจมีระดับน้ำท่วมสูงขึ้นจากปัจจุบันเล็กน้อย
ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก หรือในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่น้ำน้อย แม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นจุดที่ต้องมีการระบายน้ำผ่าน หากมีฝนตกเพิ่มอาจได้รับผลกระทบ ระดับน้ำสูงขึ้น เตือนประชาชนเฝ้าระวัง เตรียมความพร้อมในการอพยพและยกของขึ้นที่สูง โดยให้สูงเกินเขตที่เคยวางไว้ในปี 2567 เพื่อช่วยลดผลกระทบหรือความเสียหายที่ไม่คาดคิด