15 กม.จากจุดปะทะไทย-กัมพูชา เสียงเด็ก-ครูโอดครวญ! ในภาวะไฟขัดแย้งลุกลาม เปิดเหตุผลที่เด็กกัมพูชาข้ามมาเรียนไทย

“ครูๆ หนูยังไม่อยากตาย…”

 เสียงเล็กๆ ของเด็กประถมคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะรอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน บ้านที่อาจปลอดภัยกว่าโรงเรียน ในวันที่เสียงปืนดังขึ้นห่างออกไปเพียง 15 กิโลเมตรจากโรงเรียนหนึ่งในอำเภอกัณทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ สถานศึกษาซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ กลับกลายเป็นจุดรอคอยระหว่าง “การเรียน” กับ “การเอาตัวรอด”

สงครามระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่วันนั้นได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขตที่อยู่อาศัยของประชาชนพลเรือนมากขึ้น และแม้โรงเรียนจะไม่ได้ตั้งอยู่ประชิดแนวชายแดนแบบแนบสนิท แต่ระยะทางที่ตั้งนั้นใกล้พอให้เด็กนักเรียนประถมรู้สึกได้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต และใกล้พอที่คุณครูต้องพูดปลอบใจนักเรียนด้วยเสียงที่ตนเองยังสั่นเครือว่า “ทุกอย่างจะผ่านไป เราจะปลอดภัยกัน…”

ครูคนหนึ่งเล่าให้เราฟังผ่านโทรศัพท์ว่า เธอกังวลที่สุดคือจิตใจของเด็กเล็กชั้นอนุบาลและประถม เพราะความกลัวในวัยนี้ยากจะประเมิน และยากจะลืมเพราะอยู่ในช่วงจดจำและฝังใจ ครูในวัยใกล้เกษียณในอีกไม่กี่ปีบอกว่า ถ้าเทียบกับปี 2554 ตอนไทยมีข้อพิพาทกับกัมพูชาสมัยเขาพระวิหาร ปีนี้ 2568 รุนแรงกว่ามากจนยากจะอธิบายเป็นความรู้สึก ระหว่างให้สัมภาษณ์น้ำเสียงของเธอสั่นเครือก่อนจะพูดขอบคุณเบาๆ ด้วยความหวังเล็กๆ ว่าจะไม่มีใครต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตมากขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้

 

โรงเรียนที่มีบังเกอร์ 2 จุด กับนักเรียน 109 คน

 

เธอเล่าต่อว่าโรงเรียนแห่งนี้มีบังเกอร์หรือหลุมหลบภัย 2 จุด และซ้อมแผนเผชิญเหตุเดือนละ 1 ครั้ง แต่เมื่อถึงเวลาจริงไม่มีใครเตรียมใจได้จริง “ถ้าให้พูดความจริงไม่สร้างภาพ ตอนซ้อมแผนกับตอนเจอของจริง ความรู้สึกต่างกัน ครูก็ใจสั่นเหมือนกัน สงครามสมมุติกับสงครามจริงมันต่างกันราวฟ้ากับดิน” ก่อนวางสายครูฝากคำหนึ่งที่ฟังดูเรียบง่ายแต่หนักแน่นในความหมาย“ขอให้ทุกคนที่นี่ปลอดภัย” แต่ในดินแดนที่เขตแดนคือสมมติฐานและสงครามคือของจริง คำว่า “ปลอดภัย” อาจยังห่างไกลนักสำหรับทุกคนในตอนนี้

...

 

เขตแดนเป็นเรื่องสมมติ ชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องจริง

 

เขตแดนไม่เคยมีอยู่จริงในหัวใจของผู้คนโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่นอกจากความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการค้าขายแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ที่ลึกกว่านั้นคือ ‘การศึกษาข้ามพรมแดน’ วารสารภาษาและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เขียนโดย สุนิดา ศิวปฐมชัย ภายใต้ชื่อ “การศึกษาข้ามแดนไทย–กัมพูชา: ภาระหรือโอกาส” ชี้ให้เห็นว่า เด็กกัมพูชาจำนวนมากเดินทางข้ามแดนมาศึกษาในโรงเรียนไทย โดยเฉพาะในจังหวัดแนวชายแดน เช่น ตราด จันทบุรี สระแก้ว ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ ในปี 2551 มีเด็กสัญชาติกัมพูชาที่ขึ้นทะเบียนเรียนในไทยถึง 2,639 คน โดยจังหวัดตราดมีมากที่สุดกว่า 1,800 คน แม้ระยะห่างของปีที่วารสารนี้ศึกษาจะห่างไกลจากปัจจุบันกว่า 10 ปี แต่เป็นอีกหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า ประเทศไทยกลายเป็น “ขุมทรัพย์ทางปัญญา” สำหรับชาวกัมพูชามานาน ก่อนเสียงปืนและสงครามจะดังขึ้นเสียอีก

 

ความรู้ไม่เคยมีพรมแดน: 3 เหตุผลที่เด็กกัมพูชาข้ามมาเรียน

 

เหตุผลที่ทำให้เด็กกัมพูชาหลั่งไหลมาศึกษาในไทยมีอยู่ 3 เหตุผลหลักๆ คือ อพยพหนีภัยจากอดีตสงครามกลางเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เมื่อกัมพูชาตกอยู่ใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ผู้ลี้ภัยจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ชายแดนไทย และเลือกส่งลูกหลานเรียนในโรงเรียนไทย ในฐานะ “เด็กอพยพ” ที่แม้ถือสัญชาติกัมพูชา แต่เติบโตและเรียนรู้ในระบบการศึกษาของไทย

สายเลือดเดียวกันจาก “การปันแดน” เหตุการณ์ ร.ศ. 112 เมื่อไทยเสียดินแดนเกาะกงให้ฝรั่งเศส ทำให้ชาวไทยในจังหวัดตราดและชาวไทยเกาะกง (ที่กลายเป็นพลเมืองกัมพูชา) มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาถึงปัจจุบัน หลายครอบครัวมีญาติพี่น้องอยู่กันคนละฝั่งแดน เด็กๆ เหล่านี้จึงพูดได้ทั้งสองภาษา และรู้สึกว่าตนเองเป็น “คนไทย” โดยไม่เกี่ยวกับหนังสือเดินทาง

“คนหนึ่งอยู่ไทย อีกคนอยู่เกาะกง สุดท้ายเด็กก็ต้องข้ามมาหาเพื่อน ญาติ และภาษาเดิมของตัวเอง”

เดินตามพ่อแม่ที่เข้ามาทำงานในไทย อีกกลุ่มใหญ่คือเด็กที่ติดตามพ่อแม่ชาวกัมพูชาที่เข้ามาเป็นแรงงานในไทย ในไร่, โรงงาน, หรือร้านค้า เด็กเหล่านี้บางคนพักในฝั่งไทยอย่างถาวร บางคนเช้าเข้า เย็นกลับ ผ่านช่องทางพรมแดนทั้งถาวรและผ่อนปรน บางคนเดิน บางคนปั่นจักรยาน บางคนข้ามเรือ

“เพราะพ่อแม่อยู่ไทย เด็กก็อยากอยู่ใกล้ อยากเรียนในที่ที่เขาไปส่งทุกวัน”

 

เส้นทางของเด็กข้ามแดน เช้าเย็นกลับหรือพักถาวร

เมื่อก่อนพบว่าเด็กข้ามแดนมี 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเช้า-เย็นกลับ ที่ใช้ “หนังสือผ่านแดน (Border Pass)” ที่อนุญาตให้อยู่ได้ 2 ปีในพื้นที่ชายแดน และเดินทางจากกัมพูชาทุกวันเพื่อเรียนในไทย กับ กลุ่มที่พักในไทย เช่น เด็กที่พ่อแม่ทำงานอยู่ หรือมีญาติไทย หรือได้รับสถานะพิเศษให้อยู่ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังมีบางครอบครัวที่มีลูกมากกว่า 1 คน แบ่งลูกเรียนทั้งสองฝั่งไทยและกัมพูชา ด้วยความหวังว่าจะให้ลูกได้ทักษะภาษาและวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศเพื่อเป็นผลดีต่อชีวิตและอนาคตของผู้เป็นที่รัก

“เด็กบางคนพูดไทยชัดกว่าเขมร เพราะโตในโรงเรียนไทย เรียนกับครูไทยทุกวัน”

 

ภาษาไทยคืออนาคต: โอกาสในความกลัว

 

เด็กกัมพูชาจำนวนมากเลือกมาเรียนที่ไทย เพราะมองว่า “รู้ภาษาไทย” คือบันไดแห่งโอกาส เพราะ “พูดไทยได้ = หางานได้ดีขึ้น” ในหลายครอบครัวของชาวกัมพูชาพบว่า ภาษาไทยกลายเป็นเป้าหมายที่ต้องบรรลุเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตของนักเรียนสัญชาติกัมพูชา บางคนเรียนภาษาไทยเพื่อไปทำงานในบ่อนคาสิโน บางคนหวังเป็นครูหรือทำงานในธุรกิจระหว่างประเทศ บางครอบครัวสลับลูกให้เรียนทั้งสองฝั่ง เพื่อที่จะมีลูกที่พูดได้หลายภาษา และสามารถต่อยอดอนาคตทั้งในไทย กัมพูชา หรือประเทศที่สามได้

...

 

ครูไทยเห็นอะไรจากเด็กกัมพูชา?

 

“เด็กกัมพูชาไม่ใช่ภาระ แต่คือแรงบันดาลใจ”

ครูในโรงเรียนชายแดนหลายคนเห็นเด็กกัมพูชาเป็นนักเรียนที่มุ่งมั่น ตั้งใจเรียน และสามารถตามทันระบบไทยได้รวดเร็วมาก แม้บางคนจะพูดไทยไม่ได้เลยตอนแรก โรงเรียนบางแห่งถึงกับให้เด็กกัมพูชาเป็นตัวแทนแข่งขันสอบหรือชิงทุน เพราะผลการเรียนโดดเด่น “เด็กไทยพูดไม่ชัด แต่เด็กกัมพูชาออกเสียง รอ-เรือ ได้ชัดเจนมากเลยนะครู”

 

แล้วการศึกษาข้ามแดน…เป็นภาระ หรือโอกาส?

 

วารสารภาษาและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ของสุนิดา ศิวปฐมชัย มีคำตอบชัดว่าสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นภาระ อาจกลายเป็นต้นทุนทางสังคมที่สำคัญของประเทศไทย การเปิดโรงเรียนให้เด็กข้ามแดนคือการป้องกันปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม ยาเสพติด เด็กเร่ร่อน และยังเป็นการสร้างกลไกความร่วมมือระยะยาวระหว่างประเทศ ผ่านเด็กคนหนึ่งที่พูดได้สองภาษา เข้าใจสองวัฒนธรรม และเติบโตมาพร้อมหัวใจที่ไร้พรมแดน

 

“เราไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยข้อตกลงทางทหารเพียงอย่างเดียว เราต้องใช้ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ความเข้าใจ และความรู้ร่วมกัน”

 

แน่นอนว่าสงครามเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงของประเทศ แต่ในอีกมิติหนึ่ง ‘สงคราม’ เป็นบททดสอบ ‘ความเป็นมนุษย์’ ของเราว่า จะยืนหยัดได้นานแค่ไหนเมื่อเสียงระเบิดกลบเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่เคยวิ่งเล่นอยู่ในสนามโรงเรียน และแม้จะมีผู้ตั้งคำถามว่าการเปิดรับนักเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านคือ “ภาระ” ที่ประเทศไทยต้องแบกรับไว้ ทั้งในเชิงงบประมาณและความมั่นคงทางชายแดนหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงจากวารสารภาษาและวัฒนธรรม “การศึกษาข้ามแดนไทย–กัมพูชา: ภาระหรือโอกาส” กลับสะท้อนสิ่งที่ตรงกันข้าม จากผลการศึกษา พบว่า….

...

นักเรียนกัมพูชาที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนไทยส่วนใหญ่มีแรงจูงใจที่ชัดเจน ตั้งแต่ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย ไปจนถึงเห็นคุณค่าของระบบการศึกษาไทย และความปลอดภัยในการเดินทาง

 

ทัศนคติของครูไทยต่อเด็กข้ามแดนโดยภาพรวมเป็นไปในทางบวก โดยครูจำนวนมากมองว่า เด็กกัมพูชามีความมุ่งมั่น ขยัน และเรียนรู้ได้เร็ว ไม่ก่อปัญหาในโรงเรียน และหลายคนสามารถสอบแข่งขันและเป็นตัวแทนโรงเรียนได้

หากพัฒนาอย่างถูกทิศทาง ระบบการศึกษาของไทย ไม่เพียงแต่ช่วยเด็กเหล่านี้ให้มีอนาคต แต่ยังช่วยประเทศไทยสร้างรายได้ เสริมพลังทางการทูต และลดปัญหาสังคมในระยะยาว

 

ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาในพื้นที่ชายแดนยังเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรม ที่จะเยียวยาความขัดแย้งระหว่างรัฐด้วยสายสัมพันธ์ของประชาชน การมีเด็กกัมพูชาที่พูดไทยได้ มีเพื่อนคนไทย และเติบโตในโรงเรียนไทย ย่อมลดทอนภาพของ “อีกฝ่าย” และแทนที่ด้วยความเข้าใจในฐานะ “เพื่อนมนุษย์”

 

นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กกัมพูชาหลายคนที่เรียนในไทยจนถึงระดับมัธยม หรือมหาวิทยาลัยเอกชน มีแนวโน้มกลับไปเป็นแรงขับเคลื่อนในประเทศของตัวเอง และมีความสัมพันธ์กับประเทศไทยที่ดีในระยะยาว ทั้งในแง่ธุรกิจ วัฒนธรรม และเครือข่ายทางวิชาชีพ ในวันที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังยากจะคลี่คลาย และเขตแดนยังคงเป็นเรื่องทางการทหารที่อ่อนไหว แต่ความสัมพันธ์และยึดโยงของผู้คน 2 ฝั่งในหลากหลายมิติ ก็เป็นจุดเกาะเกี่ยวที่อยากจะปฏิเสธ และเป็นคนละเรื่องกับความขัดแย้งระหว่างรัฐอย่างสิ้นเชิง