เมื่อพูดถึงนักการเมืองที่สร้างปรากฏการณ์ และเป็นผู้นำทางความคิดของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย มีอยู่ไม่กี่คนที่อยู่ในรายชื่อแรกๆ ที่คนจะต้องนึกถึง จากโลกธุรกิจยานยนต์ เขาเลือกที่จะทิ้งเส้นทางในสายธุรกิจ มาก่อตั้ง ‘พรรคอนาคตใหม่’ เพื่อสานฝันการเมืองแห่งความหวัง พร้อมปักธงความคิดให้กับสังคมไทย
วันนี้ไทยรัฐออนไลน์ ได้นั่งคุยกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นในการสร้างและทำพรรคการเมือง “อนาคตใหม่” มุมมองต่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันในแบบที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน และอนาคตของเขาหลังโซ่ตรวนทางการเมืองตลอด 10 ปีหมดลง
หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ Thairath Front Page EP.4 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ: “ผมไม่เคยฝันอยากเป็นนายก” เปิดใจกับเส้นทางการเมืองใน 5 ปีข้างหน้า เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568
ตอนนี้พรรคประชาชน คือยานพาหนะลำที่สามของ ‘อนาคตใหม่’ คุณธนาธรมองว่า กรรมการบริหารพรรคของพรรคประชาชน ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของพรรคอนาคตใหม่ได้ไหม?
...
ก็ต้องบอกว่า เวลาผ่านไปเร็วมากนะครับ ผมลาออกจากบริษัทมาทำงานการเมืองก็คือต้นปี 2561 ขึ้นปีที่8 แล้ว ดังนั้น เวลาผ่านไปเร็วมาก จากอนาคตใหม่ สู่พรรคก้าวไกล สู่พรรคประชาชน เราเห็นการเติบโตของพรรคและแกนนำพรรคนะครับ ในฐานะผู้เริ่มต้นในการเดินทางครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุด คือเห็นผู้คนเติบโต เราเห็นแกนนำที่มีศักยภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นคุณเท้ง (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) หัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะเป็นคุณไหม (ศิริกัญญา ตันสกุล) ไม่ว่าจะเป็น คุณรังสิมันต์ โรม ไม่ว่าจะเป็นคุณพริษฐ์(พริษฐ์ วัชรสินธุ) ผมคิดว่า บุคคลต่างๆ เหล่านี้คือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ แล้วตลอดการเดินทาง ผมเห็นพวกเขาเติบโตขึ้นมา
ต้องบอกว่าวันนี้พรรคประชาชนไปไกลกว่าอนาคตใหม่มาก อนาคตใหม่วันที่โดนยุบ มีสมาชิกพรรคประมาณ 6,000 คน ก้าวไกลในวันที่โดนยุบ มีสมาชิกพรรคประมาณ 9,000 คน พรรคประชาชนวันนี้ สมาชิกพรรคขึ้นไปถึง 110,000 กว่าคนแล้ว ถือว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกเยอะที่สุดในประเทศไทย ไม่ใช่แค่จำนวน ส.ส. จำนวนสมาชิกก็เติบโตขึ้นเป็นลำดับด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ผมภูมิใจนะครับ แล้วผมก็ดีใจที่เห็นพรรค องค์กร ส.ส. และ บุคลากรของพรรคเติบโตในเส้นทางนี้นะครับ
เพียงแต่ว่า เรายังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็คือว่าพรรคประชาชน ยังไม่สามารถเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก จนสามารถตั้งรัฐบาลได้ และบริหารประเทศได้
พวกเราตื่นเต้นนะครับ พวกเราตื่นเต้นว่าถ้าวันนั้นมาถึง ผมคิดว่าพวกเราพร้อมมาก
ในวันที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ ถ้าเทียบกับพรรคประชาชนวันนี้ เรามีความพร้อม ในการรับผิดชอบอนาคตของลูกหลานของคนไทย มากกว่าในวันที่เป็นอนาคตใหม่ ในวันที่เป็นก้าวไกลเสียอีก
อนาคตใหม่ ฉุกละหุกมาก อนาคตใหม่เป็นพรรคจริงๆ เดือนตุลาคม 2561 หกเดือนก่อนการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ดังนั้น นโยบายของอนาคตใหม่ ถ้าเทียบกับก้าวไกล ต้องบอกว่าของก้าวไกลดีกว่าเยอะ จนมาถึงวันนี้ ผมคิดว่านโยบายของพรรคประชาชนที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งรอบหน้า กลิ่นอายเดิม รสชาติเดิม แต่ลุ่มลึกมากขึ้น และรอบด้านมากขึ้น
ผมคิดว่าเรื่อง What กับ Why ถ้าเราเป็นรัฐบาลเราจะทำอะไร ทำไมต้องทำแบบนี้ เราคุยกันจบในพรรคแล้ว ดังนั้น จากนี้ เพื่อไปสู่การเลือกตั้ง ทำเรื่อง How กับ Who เป้าหมายภาพสังคมที่ปรารถนามันชัดหมดแล้ว ปัญหาคือใครจะเป็นคนทำ แล้วทำอย่างไร และนี่คือสิ่งที่พวกเราจะนำเสนอต่อสังคม เมื่อปี่กลองการเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึงนะครับ
วันนี้แกนนำพรรคทุกคนตระหนักดีว่า ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้า เราชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่งและจัดตั้งรัฐบาลได้ เราต้องแบกรับภาระอนาคตของประเทศ แบกรับอนาคตของลูกหลานของคนไทยทั้งหมด พวกเราตระหนักถึงความรับผิดชอบนี้ดี มันทำให้พวกเราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อความพร้อมสำหรับวันนั้น ถ้าหากวันนั้นมาถึง
คุณธนาธรเป็นนักวิ่งเทรล มักจะบอกเสมอว่า คู่แข่งของเราไม่ใช่นักวิ่งที่ร่วมแข่งขันในรายการเดียวกับเรา แต่มันคือภูเขาที่มันอยู่ข้างหน้า เราต้องไปให้ถึง ในทางการเมือง ภูเขาหรือคู่แข่งของพรรคประชาชน ที่รออยู่ข้างหน้า ที่ต้องเอาชัยชนะให้ได้ มันคืออะไร?
...
ตั้งแต่ทำพรรคอนาคตใหม่จนมาถึงพรรคประชาชน มันไม่ได้สร้างพรรคมาเพื่อให้ใครเป็น ส.ส. ไม่ได้สร้างพรรคมาเพื่อให้ใครเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี เป้าหมายของพวกเราก็คือ เปลี่ยนแปลงประเทศ ประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย เศรษฐกิจไทยที่แข่งขันกับโลกได้ มีการแบ่งปันดอกผลจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง และบริการสาธารณะของรัฐที่มีคุณภาพ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี นี่คือภูเขาของพวกเรา นี่คือเป้าหมายของพวกเรา ไม่ใช่การส่งธนาธรเป็นนายกฯ ไม่ใช่การส่งพิธาเป็นนายกฯ ไม่ใช่ศิริกัญญาต้องเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่ เป้าหมายของพวกเราคือเรื่องนี้ ใครจะดำรงตำแหน่งไหน เรามองเป้าหมายเหมือนกัน
คุณธนาธรคงติดตาม ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย - กัมพูชา ตอนนี้สถานการณ์มันพัฒนาไปจนถึงจุดที่มันไม่ใช่เรื่องข้อพิพาทชายแดนแล้ว มันเป็นเรื่องของข้อพิพาทระหว่างผู้นำของสองประเทศ นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเจอภัยคุกคามจากประเทศข้างนอก คุณธนาธรมองว่านี่มันเป็นกรณีปกติหรือไม่?
ผมคิดว่าข้อพิพาทชายแดนเป็นเรื่องปกติมาก มันไม่ได้มีที่เดียว หลายประเทศก็มีปัญหากัน ผมคิดว่ารอบนี้ ปัญหาที่น่าเป็นกังวลของผมน่าจะมีอยู่สองประเด็น
...
ประเด็นแรกก็คือ สถานะแห่งที่ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ถ้ารัฐบาลสั่งกองทัพไม่ได้ นี่เป็นปัญหามาก ในระบอบประชาธิปไตย หลักการที่สำคัญมากก็คือ กองทัพต้องอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผมคิดว่าหลักการนี้ มันสะท้อนให้เห็นในกรณีนี้
สิ่งที่ผมพยายามจะบอกว่า เราไม่สามารถมองปัญหากัมพูชาขาดจากประวัติศาสตร์ทางการเมืองได้ แล้วมันเป็นเรื่องที่พวกเราพูดกันมาตลอดว่า กองทัพต้องไม่มีบทบาททางการเมือง หน้าที่ของกองทัพคือการปกป้องประเทศ คือรักษาอธิปไตยของประเทศ แต่ไม่ใช่เข้ามามีบทบาททางการเมือง กรณีนี้ สิ่งที่ผมกังวลประเด็นแรกคือเรื่องนี้ รัฐบาลจะไม่สามารถสั่งการกองทัพได้
ประเด็นที่สองที่ผมเป็นกังวลในเรื่องนี้ก็คือ เรื่องชีวิตของคนปกติทั่วไป คนธรรมดา เราพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด คนที่เสียประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ไทย ไม่ใช่กัมพูชา แต่เป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ชายแดน เดินข้ามถนนก็พี่น้องกันแล้ว เดินข้ามถนนก็ญาติมิตรกันแล้ว ไปมาหาสู่กันทุกวัน ค้าขายกันทุกวัน คนต่างๆ เหล่านั้นต่างหากที่เดือดร้อน ดังนั้น การเอาเรื่องชาตินิยมมาปลุกปั่นมาสร้างความเกลียดชังระหว่างสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่ดี และประวัติศาสตร์มันบอกเราเสมอว่าชนชั้นนำทางการเมืองเอาเรื่องนี้มาเล่นกัน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองเมื่อไร คนที่เจ็บปวดและได้รับผลกระทบคือ คนตัวเล็กตัวน้อย
ดังนั้น รัฐบาลและกองทัพควรจะหลีกเลี่ยงวาจา และท่าทีที่เป็นลักษณะ ชาตินิยมล้นเกิน เราต้องการสันติภาพ เราต้องการไมตรีกับเพื่อนบ้าน และต้องบอกว่า กับทาง ฮุน เซน เอง กับทางกัมพูชาเอง ต้องรีบหาทางปรับความเข้าใจกัน และทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด อย่าให้สถานการณ์ยืดเยื้อ อย่าปล่อยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังตรงนี้เติบโตและงอกงาม ไม่ว่าจะเป็นไทยเกลียดกัมพูชา หรือกัมพูชาเกลียดไทย มันเติบโตเมื่อไร จะไปล้มมันยากมาก ดังนั้น ต้องหยุด อย่าให้มันเจริญเติบโต ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ความสัมพันธ์ของสองประเทศ ควรจะเป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความเชื่อใจกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนสถานการณ์ที่ต่างคนต่างได้ คือสร้างสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ผมคิดว่านี่คือข้อกังวลของผม
...
สถานการณ์ข้อพิพาทชายแดน การจุดกระแสเรื่องชาตินิยม จะไปมีปฏิกิริยา เป็นตัวเร่งให้คนต้องการให้ทหารกลับมายึดอำนาจอีกครั้งหนึ่งไหม?
นี่คือสิ่งที่ผมกังวล ผมคิดว่าคงต้องช่วยกันพูด กระตุกสติสังคมว่า ‘รัฐประหารไม่ใช่ทางออก’ ซึ่งเรื่องนี้ ผมเข้าใจว่ามีความพยายามจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการรื้อฟื้นความเชื่อมั่นในทหารและบทบาทของทหารกลับมา
ผมย้ำอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ 20 ปีแล้ว มันพิสูจน์แล้วว่า ผ่านรัฐประหารสองรอบ ผ่านรัฐธรรมนูญมาสามฉบับ ฉบับปี 2540, ฉบับปี 2550, ฉบับปี 2560 มันแก้ไขปัญหาไม่ได้ ผมคิดว่าอันนี้ชัดเจนนะครับ และสิ่งที่ต้องพูดไปมากกว่านั้น 2 ทศวรรษ 20 ปีที่สูญหายไป มันทำให้ประเทศไม่พัฒนา วันนี้ผู้นำประเทศในสถานการณ์การเมืองแบบนี้ จะเอาสมาธิ จะเอาสติปัญญา จะเอาพลังที่ไหนไปขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
20 ปีที่ผ่านมาบนกระดานอำนาจที่มีอยู่ คือจะล่อฝั่งตรงข้ามอย่างไร จะรักษาความมั่นคงทางการเมืองของตัวเองได้อย่างไร มันไม่มีใครคิดจริงๆ ว่าจะพาประเทศไปข้างหน้า งบประมาณคือเครื่องมือในการหล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ของตัวเอง งบประมาณคือเครื่องมือในการสร้างความนิยมของประชาชน แต่มันไม่ได้มองถึงอนาคตว่า เราจะสร้างประเทศอย่างไร ผมคิดว่านี่คือโจทย์ใหญ่
ดังนั้น สำหรับผม ใครที่พูดว่า “แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาทางการเมือง” ไม่สมเหตุสมผล 20 ปีที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้ว กี่รัฐบาลแล้ว ผ่านรัฐธรรมนูญมากี่ฉบับแล้ว มันชัดเจนว่า คุณแก้ปัญหาการเมืองไม่ได้ ไม่ต้องพูดปัญหาเศรษฐกิจ
แล้วที่ภาวะปัญหาเศรษฐกิจวันนี้ ถ้าไม่นับวิกฤติใหญ่ๆ คือวิกฤติการเงินโลกที่เริ่มจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008-2010 และวิกฤตโควิด-19 เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานะมันไม่ได้ตก-ขึ้น มันไม่ได้หวือหวานะ แต่มันค่อยๆ ตก มันค่อยๆ ตกอย่างต่อเนื่อง ผมรู้สึกกังวลมากกว่าเจอวิกฤติที่เป็นครั้งๆ อีก เจอวิกฤตครั้งๆ อย่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มันจัดการได้ แต่สิ่งที่ประเทศไทยกำลังเจออยู่วันนี้ คือภาวะที่มันซบเซาลงเรื่อยๆ แล้วเป็นมา 20 ปีแล้ว GDP โตต่ำที่สุดในประเทศที่กำลังพัฒนาในระดับเดียวกัน ดัชนีคอร์รัปชันเยอะมากขึ้น ดัชนีสิทธิมนุษยชนตกต่ำลง มันเห็นชัดเลยว่า ไม่ว่ามองไปทางไหน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติจริงๆ
และจะแก้วิกฤตนี้ได้ ต้องทำสองอย่างไปพร้อมกัน คือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาการเมืองไปพร้อมกัน ผมไม่เชื่อเลยว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยไม่แก้ปัญหาการเมืองเป็นไปได้ 20 ปีที่ผ่านมา มันไม่ได้บอกเราแบบนั้น
เมื่อสักประมาณเดือนที่แล้ว มีคนเริ่มแชร์หนังสือของศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ‘Why Nations Fail’ ซึ่งมีลำดับชั้นที่บอกว่า ตอนนี้ประเทศของคุณเข้าใกล้การเป็นรัฐล้มเหลวแค่ไหน คุณธนาธรมองว่าประเทศไทยเดินทางใกล้เข้าไปสู่การเป็นรัฐล้มเหลวไหมในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ?
แน่นอน คือในหนังสือของอาเซโมกลู (Daron Acemoglu) ‘Why Nations Fail’ เขาแบ่งประเทศออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่มีลักษณะแบบ Extractive (ขูดรีด) กับ Inclusive (โอบรับ) พัฒนาแบบดูแลทุกคน
ถ้าประเทศไหนมีการพัฒนา โดยที่มีสถาบันต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ศาล ทหาร อัยการ ราชทัณฑ์ เป็นสถาบันที่ยึดหลักนิติรัฐ ยึดคุณค่าสิทธิมนุษยชน และไม่เลือกปฏิบัติ บังคับใช้กฎหมายต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และมีการกระจายดอกผลของการพัฒนาอย่างเสมอหน้าหรืออย่างเท่าเทียม กระจายให้ทุกคนใกล้เคียงกัน เสมอภาคกัน ประเทศแบบนั้นจะเติบโตและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับประชาชนได้ ขณะเดียวกัน ถ้าประเทศไหนมีระบบเศรษฐกิจ ระบบสถาบันการเมืองแบบขูดรีดดอกผลของการพัฒนาของประเทศนั้นๆ ก็จะไปตกอยู่ในมือของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน
ชนชั้นนำ กลุ่มทุนใหญ่ ก็จะไปอยู่แถวนั้น
ดังนั้น ผมว่าประเทศไทย ถ้ามองแบบ Inclusive กับแบบ Extractive ตามหนังสือเล่มนั้น แน่นอนที่สุด เราค่อนมาทางนี้ (Extractive) เราค่อนมาทางนี้แน่ๆ แต่อยู่แถวไหนไม่รู้ แต่เราไม่ได้อยู่ฝั่งนี้ (Inclusive) แน่ๆ
จะแก้ปัญหาพวกนี้ได้ กลับไปเหมือนเดิม สถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระต่างๆ ป.ป.ช. กกต. ไม่ว่าจะเป็นสถาบันตำรวจ สถาบันทหาร ต้องกลับมายึดมั่นในหลักการ ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกัน ไม่ใช้อำนาจที่มาจากสถาบันทางการเมืองเหล่านี้ เพื่อพยุงอำนาจให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยข้ามเส้นหลักกฎหมายที่ถูกต้อง มีแต่การฟื้นฟูประเทศอย่างนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ประเทศไทยกลับเข้ามาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้
สองทศวรรษที่ผ่านมา อำนาจนำของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นนำ ใช้เงื่อนไขหลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงประเทศ เปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง โดยผ่านนิติสงคราม ทำไมชนชั้นนำยังมีอิทธิพลอยู่ในประเทศนี้ได้? จริงๆ อาจจะมากกว่าสองทศวรรษ อาจจะห้าถึงหกทศวรรษแล้ว
ผมว่ามันเป็นการปะทะกันของอำนาจที่มีที่มาต่างกัน อำนาจที่มาจากประชาชนกับอำนาจที่มาจากจารีต มันปะทะกันอยู่นะครับ สังคมไทยยังไม่มีบทสรุป ยังไม่มีข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันทั้งสังคมว่า อำนาจเป็นของใคร อำนาจมาจากไหน นี่เป็นคำถามที่การเมืองไทยสมัยใหม่พยายามหาคำตอบกับมันอยู่
สมมุติมีการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้ง ถ้ารัฐบาลอยู่ครบ 4 ปี หากเลือกตั้งอีกรอบหนึ่ง ก็ใกล้เคียงปี 2573 คุณธนาธรจะกลับมาเล่นการเมืองได้ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2573
(หัวเราะลั่น)
ความทะเยอทะยานของตัวเอง เมื่อวันที่หมดขวากหนามทางการเมืองที่ห้ามเล่นแล้ว ยังอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีไหม?
ผมไม่ปฏิเสธ ผมไม่ปฏิเสธการกลับมาถ้าจำเป็น แต่ถ้าไม่จำเป็น ถ้าประเทศไทยเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ผมอาจจะไม่กลับมาก็ได้
คือต้องบอกว่า ผมไม่ได้โตมาแล้วอยากเป็นนักการเมืองนะ ผมไม่ได้โตมาแล้ว เฮ้ย ฉันต้องเป็นนักการเมือง ฉันต้องเป็น สส. ฉันต้องเป็นนายกรัฐมนตรี มันไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัว ความคิดที่จะต้องมาตั้งพรรคการเมืองจริงๆ เนี่ย มันเกิดจากปีหลังจาก 2557 เท่านั้นเอง แล้วเรารู้สึกว่าประเทศมันไม่มีทางออก มันไม่มีใครเสนอแนวทางที่ก้าวหน้า เป็นตัวเลือกในกระดานการเมืองที่เป็นจริง นั่นก็คือกระดานการเลือกตั้ง มันเหลือทางเดียวก็คือ ลงมือทำเอง ดังนั้น ลักษณะการทำงานการเมืองของผม มันมาจากจุดนั้นว่า เรารู้สึกไม่พอใจกับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังเดินไปอยู่ เราเห็นว่ามันกำลังเดินไปผิดทาง แล้วมีใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ในความขัดแย้งนั้นต้องออกมาตั้งพรรค และบอกว่า เฮ้ย มันผิดทางแล้ว มันต้องกลับมาถูกทางได้แล้ว นั่นคือเหตุผลที่พวกเราตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา
ซึ่งถ้าภารกิจนี้มันสำเร็จแล้ว ประเทศไทยเดินไปถูกทางแล้ว ผู้นำพรรครุ่นใหม่ๆ มีคนเก่ง มีความรู้ความสามารถอีกเยอะ ถ้าถึงเวลานั้น ไม่จำเป็นต้องมีธนาธร แต่ถ้าวันนั้นประเทศไทยยังไม่ไปไหน ยังหยุดอยู่กับที่ และคิดว่าตัวเองยังเหมาะสมอยู่ ถ้าวันนั้น ผมไม่ปฏิเสธ ถ้าวันนั้นต้องกลับมา ก็กลับมา
มรดกที่คุณธนาธรอยากทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังจดจำคืออะไร?
ผมว่านี่แหละฮะ สร้างนักการเมืองที่ดีให้กับประเทศ สร้างนักการเมืองรุ่นต่อไป
คือผมภูมิใจมากๆ ที่เห็นคุณพริษฐ์ ที่เห็นคุณรังสิมันต์ ที่เห็นคุณเท้ง โอ้โห ยังมีอีกเยอะ สส. ชายอย่างนี้(สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล) ประธานกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สส. เป๊ก (พูนศักดิ์ จันทร์จำปี) ประธานกรรมาธิการที่ดินและสิ่งแวดล้อมของพรรคประชาชน เห็นอย่างคุณวิโรจน์ (วิโรจน์ ลักขณาอดิศร) เห็นอย่างคุณรักชนก (รักชนก ศรีนอก) ที่ออกมามีบทบาทกับสังคม ได้เรียนรู้และเติบโต
ผมคิดว่าข้อดีของการสร้างพรรคแบบนี้ มันทำให้คนมีความรู้ความสามารถ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้ ผมยกตัวอย่างคุณพริษฐ์ อายุ 31 ปี คุณพริษฐ์ไม่ใช่คนที่ร่ำรวย ไม่ใช่บริจาคเงินถุงเงินถังให้พรรค คุณพริษฐ์ไม่ใช่คนที่มี สส. ที่เขาเลี้ยงดูอยู่ แต่คุณพริษฐ์เป็นประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองของพรรคก้าวไกลวันนั้น ตั้งแต่อายุสามสิบ เพราะอะไร เพราะเขามีความรู้ความสามารถ รังสิมันต์ โรม เช่นเดียวกัน เขามีความรู้ความสามารถ
สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือ คุณจะเห็นได้เลยว่า ที่นี่มันไม่ใช่เรื่องอายุ ไม่ใช่เรื่องเพศ ไม่ใช่เรื่องว่าคุณนามสกุลอะไร ไม่ใช่เรื่องว่าคุณเป็นผู้บริจาครายใหญ่ของพรรคหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าคุณเป็นบ้านใหญ่ที่มี สส. ในมุ้งหรือเปล่า ที่นี่ตำแหน่งมาจากความรู้ความสามารถ ดังนั้น ถ้าถามว่ามรดกของผมคืออยากจะสร้างนักการเมืองที่ดีให้กับประเทศ
ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่รายการ Thairath Front Page ทาง YouTube ช่อง Thairath News เจาะลึกวิสัยทัศน์ผู้บริหารที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ ออกอากาศทุกวันพุธต้นเดือน 14.30 น.เป็นต้นไป