"อ.เดชา" ผู้คิดค้นสูตรน้ำมันกัญชา ลั่น ม็อบสายเขียวมาแน่ ถ้า “กัญชา” กลับเป็นยาเสพติด หวั่นทะลักขายใต้ดินราคาสูง-เกิดธุรกิจค้าใบสั่งแพทย์ มองการออกประกาศกระทรวงเป็นเกมการเมือง ควรออกเป็น พ.ร.บ.ที่ผ่านการรับรองสภาฯ ตามขั้นตอน มีเวลาให้ผู้ประกอบการเตรียมตัว ถามกลับที่ผ่านมาทำไมไม่เร่งทำ 

จากกรณีวันที่ 23 มิ.ย. 2568 กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ปรับปรุงจากประกาศฉบับเก่าปี 2565 โดยฉบับนี้มีสาระสำคัญ คือการกำหนดให้กัญชา ซึ่งเป็นพืชในสกุล Cannabis วงศ์ Cannabaceae เฉพาะส่วนของ “ช่อดอก” เป็นสมุนไพรควบคุม ต่างจากประกาศฉบับเดิมที่ระบุว่า Cannabis sativa L. กล่าวคือฉบับใหม่ปรับให้ครอบคลุมกัญชาทุกสกุล

มีการเงื่อนไขบังคับว่าในการซื้อ-ขายกัญชา ต้องมีใบสั่งจ่ายจากแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน หมอพื้นบ้านตามกฎหมาย เภสัชกรและทันตแพทย์ และขายได้ในปริมาณที่ใช้ไม่เกิน 30 วัน และกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับผู้ประกอบการ และผู้ศึกษาวิจัย ว่าต้องขอใบอนุญาต จัดทำและรายงานแหล่งที่มา การใช้งานและปริมาณที่เก็บไว้ต่อนายทะเบียน, ส่งออกต้องแจ้งรายละเอียดเป็นรายครั้ง, จำหน่ายหรือแปรรูปให้เฉพาะกับผู้มีใบอนุญาตตามมาตรา 46, แหล่งปลูกต้องผ่านมาตรฐานรับรองโดยกรมแพทย์แผนไทย, ห้ามขายเพื่อสูบในร้าน เว้นแต่แพทย์ใช้เพื่อรักษาผู้ป่วย, ห้ามขายในตู้อัตโนมัติและออนไลน์, ห้ามโฆษณาเพื่อการค้า และห้ามขายในวัด สถานที่ทางศาสนา หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ยังระบุด้วยว่า จะมีการออกกฎกระทรวงสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่อยากขอหรือต่ออายุใบอนุญาตจะต้องมีแพทย์ประจำร้าน และจะมีการรื้อกฎหมายนำกัญชาไปเป็นยาเสพติดใน 45 วัน

...

การออกประกาศดังกล่าว มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยโดยมองว่าจะควบคุมการใช้ “กัญชา” ให้ตรงจุดประสงค์ทางการแพทย์มากขึ้น หลังที่ผ่านมามีการอาศัยช่องโหว่ใช้เพื่อสันทนาการ ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ ฟาร์มกัญชา ผู้ใช้กัญชาที่ได้รับผลกระทบ บ้างมองว่าเป็น "เกมทางการเมือง" ระหว่างเพื่อไทยและภูมิใจไทยด้วย 

ดึง “กัญชา” เป็นยาเสพติด เสี่ยงทะลักลงใต้ดิน-ค้าใบสั่งแพทย์

ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยเรื่องนี้กับเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ หมอพื้นบ้านจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้คิดค้นสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ในการรักษาโรค ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า หลังมีการปลดล็อก “กัญชา” ออกจากเสพติด ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา จะเรียกว่า “กัญชาเสรี” เสียทีเดียวคงไม่ได้ เพราะยังมีกฎระเบียบควบคุมอยู่และการปลูกหรือขายก็ต้องมีการขอใบอนุญาตที่เข้มงวดพอสมควร แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัญหาด้านการบังคับใช้และการจับกุมของเจ้าหน้าที่มากกว่า และก็เป็นหน้าที่ของสภาฯ ในการออก พ.ร.บ.ควบคุม ให้เป็นระเบียบที่ชัดเจน แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2565 เรื่องนี้กลับไม่คืบหน้าไปไหน ตั้งคำถามกลับว่าช่วงที่ผ่านมาทำไมรัฐบาลจึงไม่เร่งทำ

“ถ้าจะพูดเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ คุณไปห่วงบุหรี่กับเหล้าดีกว่า เพราะมันส่งผลกระทบต่อสุขภาพและอุบัติเหตุเยอะกว่ามาก แต่คุณดันไปส่งเสริม วันพระวันอะไรก็ไม่ห้ามขายแล้ว ก็สงสัยว่าห่วงเรื่องนี้จริงหรือเปล่า”

ด้านจุดยืนส่วนตัวนั้น เดชาเห็นด้วยกับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการเสียด้วยซ้ำ เพราะมองว่าเป็นหนึ่งในแนวทางการรักษาสุขภาพและป้องกันโรค ที่ปลูกได้เองและต้นทุนต่ำ จึงไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะนำกลับไปเป็นยาเสพติด เพราะหากไปดูรัฐหรือประเทศอื่นๆ ในโลกที่กัญชาถูกกฎหมาย ก็ไม่มีประเทศไหนนำกลับไปเป็นยาเสพติดอีก เพราะเขารู้ว่ามันมีประโยชน์ เพียงแค่ต้องออกกฎที่รัดกุม

“คนเราไม่สันทนาการไม่ได้ มันเครียด เมื่อเครียดก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคกลุ่ม NCD (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน) เพราะฉะนั้นการสันทนาการก็เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรค ที่คนสูบบุหรี่ กินเหล้าก็เพราะช่วยลดความเครียดใช่ไหม ซึ่งการสูบบุหรี่ กินเหล้าทำให้เกิดโรคด้วยซ้ำ งั้นใช้กัญชาไม่ดีกว่าหรือ”

เดชา มองว่า การออกประกาศเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดและเป็นเรื่องของการเมืองมากกว่า เพราะขึ้นอยู่กับเจ้ากระทรวงว่าจะออกฉบับใหม่หรือเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาฯ ซึ่งการเปลี่ยนระเบียบไปมาไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการด้านกัญชา มองว่าหากจะออกระเบียบอะไรมาคุมก็ควรออกเป็น พ.ร.บ.ให้ชัดเจน ผ่านการรับรองจากผู้แทนของประชาชนในสภาฯ มีการรับฟังความคิดเห็น และมีระยะเวลามากพอสมควรให้ผู้ประกอบการเตรียมตัว แม้ว่าสุดท้ายเนื้อหาของ พ.ร.บ.ควบคุม จะเหมือนกับประกาศที่ สธ.ออกมาก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังรับได้มากกว่า

ปัจจุบันประเทศไทยปลดล็อกกัญชาและวางขายกันมากกว่า 3 ปี การออกประกาศฉบับใหม่กะทันหันหรือการดึงกลับเป็นยาเสพติดในเวลาแค่ 45 วัน ผู้ประกอบการก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกฎระเบียบใหม่ ที่ต้องใช้เวลาและมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เมื่อกัญชาเข้าถึงได้ยากขึ้นก็เป็นการผลักบางส่วนกลับสู่ใต้ดิน เกิดการลอบขายในตลาดมืดในราคาสูง รวมถึงอาจมีการค้าขายใบสั่งจ่ายยาหรือใบรับรองแพทย์ด้วย กล่าวคือนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้ 100% กลับสร้างปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามาอีก

...

“คุณลองไปถามคนที่เปิดร้าน คนที่ไม่ยอมลงใต้ดินสิ เขาจะเจ๊งกันหมดแล้วยิ่งในเศรษฐกิจแบบนี้ เขาลงทุนกันไปตั้งเท่าไหร่ อยู่ดีๆ ก็โดนมาตรการแบบนี้ ใครเป็นคนรับผิดชอบ”

นอกจากนี้คาดว่า จะมีกระแสต่อต้านไม่ให้นำกลับไปเป็นยาเสพติดและจะมี “ม็อบ” ประท้วงรัฐบาลแน่นอน จากบรรดาเครือข่ายผู้ประกอบการและผู้ใช้กัญชาที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการทางภาคใต้ที่เสียผลประโยชน์จากการค้ากัญชากับนักท่องเที่ยว ที่คาดว่าอาจจะเสียรายได้มากถึง 50%

เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ
เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ

กรมการแพทย์แผนไทยฯ เร่งสื่อสารผู้ประกอบการ เดินหน้าตรวจเข้ม 

วันนี้ (25 มิ.ย.) กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการ โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ เปิดเผยว่า จะพยายามให้กระทบกับร้านน้อยที่สุด ระหว่างนี้กรมฯ ได้เร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจถึงประกาศดังกล่าวให้กับผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องได้ถือเป็นแนวปฏิบัติ 

...

นพ.สมฤกษ์ กล่าวอีกว่า บางร้านที่ขายในขณะนี้ บางแห่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีการเสพซึ่งถือว่าผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ต้องมีประกาศฉบับนี้ก็ผิด เพราะประกาศที่ผ่านมาให้ขายแต่ก็ห้ามสูบในร้านแ แต่เนื่องจากไม่ได้ระบุเป็นทางการแพทย์ ก็นำไปเสพ แต่เวลาไปตรวจจับเราไม่เห็นซึ่งหน้าจึงจับไม่ได้ และการทำรายงานก็ไม่รู้ว่าขายไปถึงใครบ้าง

ประกาศฉบับใหม่จึงกำหนดให้ร้านต้องทำรายงานแจ้งรายละเอียดถึงกรมทุกเดือน ประกาศฉบับใหม่ที่ออกมาก็เพื่อลดการเสพแบบสันทนาการ ตอนนี้กรมเตรียมอัตรากำลังออกตรวจร้านค้าทุกสัปดาห์ ที่ผ่านมาตรวจไปมีพักใช้ใบอนุญาตไปแล้วเป็นหลักพัน ส่วนที่ลักลอบจำหน่ายโดยไม่มีใบอนุญาต เมื่อเจอก็ต้องถูกดำเนินคดี โดยจะมีการตรวจเข้มข้นมากขึ้น

เสียงสะท้อนผู้ประกอบการ

นายวิไล คำพิมูล อายุ 69 ปี รองประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 6 ต้นโนนมาลัย อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า การดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติดเป็นเรื่องของการเมืองมากกว่าประโยชน์ประชาชน ที่ผ่านมาชุมชนได้ใช้กัญชาเป็นสมุนไพรรักษาโรคโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ มีรายได้จากการส่งให้ รพ.คูเมือง และใช้ส่วนที่เหลือในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยในครัวเรือน

...

“แทนที่รัฐจะควบคุมกัญชา กลับไปควบคุมการระบาดของยาบ้าที่แพร่หนักในพื้นที่จะไม่ดีกว่าหรือ ชาวบ้านเราปลูกกัญชาอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อเสพหรือค้ากำไร”

นายสมเกียรติ นิติเกศโกศล เจ้าของฟาร์มกัญชา ใน ต.โคกกรวด อ.เมือง จ.นครราชสีมา ระบุว่า ประกาศฉบับดังกล่าวส่งผลกระทบกับฟาร์มกัญชาขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างมาก เพราะปัจจุบันก็ผลประกอบการไม่ดีอยู่แล้วจากปัญหากลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนปลูกกัญชา และตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากทางรัฐบาล ว่าจะเอายังไงกับเรื่องกัญชา ประกอบกับประกาศที่ รมว.สาธารณสุขจะบังคับใช้นั้น มีการกำหนดมาตรฐานการปลูกที่เพิ่มขึ้น อย่างฟาร์มของตนก็ผ่านมาตรฐาน GAP มาอยู่แล้ว ซึ่งกว่าจะขอได้ก็ใช้เวลานาน แต่ประกาศตัวใหม่กับเพิ่มมาตรฐานเป็น GACP เข้ามา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตค่อนข้างสูงเป็นหลักแสนบาท และใช้เวลานานด้วย 

นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ต่อคิวขออนุญาตอยู่เป็นจำนวนมากและส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่แทบทั้งนั้น ก็ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการกัญชาขนาดกลางและขนาดเล็กได้รับผลกระทบ ที่สำคัญมองว่ามาตรฐานตัวใหม่นี้จะเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตในหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจมาตรฐานดังกล่าว รวมไปถึงยังเป็นช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงกลุ่มผู้ปลูกกัญชาขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงอยากให้ทางรัฐบาลมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายกัญชา เพราะมีผลต่อความน่าเชื่อถือของต่างประเทศ ซึ่งตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเกมทางการเมือง