เปิดเบื้องลึก 21 ปี ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้ บุกมาเลเซีย เปิดใจ 4 แกนนำขบวนการติดอาวุธ เหตุการณ์ตากใบ เก็บเงินสมาชิกวันละบาท สุดท้ายเอกราชอาจไม่ใช่คำตอบ
ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปะทุระลอกใหม่ตั้งแต่วันปล้นปืนค่ายปีเหล็ง 4 มกราคม 2547 ผ่านมา 21 ปีแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าสงบลง ซ้ำร้ายเหตุการณ์ช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 เป็นต้นมา มีการสังหารเป้าหมายอ่อนแอที่เป็นประชาชนเหมือนกับตอนต้นของเหตุการณ์ช่วงปี 2547-2550
ทีมข่าว SEE TRUE จึงลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมาเลเซีย สัมภาษณ์แกนนำขบวนการติดอาวุธที่ยังเคลื่อนไหวจำนวน 4 กลุ่มขบวนการ เพื่อนำเสนอถึงเหตุผลและจุดเริ่มต้นของการตั้งขบวนการต่างๆ ขึ้นมาต่อสู้กับรัฐ รวมถึงปลายทางของการต่อสู้ต้องการอะไร อย่างน้อยก็เพื่อทำความเข้าใจอดีต และเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สร้างกองกำลัง 24 ปี ก่อนปล้นปืนค่ายปีเหล็ง
เสียงเรือประมงที่แล่นเข้าออกปากแม่น้ำกลันตัน บริเวณชายหาดบูเกะกลวง ใกล้รอยต่อรัฐกลันตัน และรัฐตรังกานู ของมาเลเซีย กลบเสียงอันเงียบสงบยามเช้า นอกจากเรือของชาวประมงแล้ว ชาวมาเลเซีย จำนวนไม่น้อยมาที่ชายหาดปากแม่น้ำแห่งนี้ พร้อมเบ็ดตกปลา หรือบางคนก็มาเดินเล่นยามเช้า
...
แต่เป้าหมายของทีม SEE TRUE ไทยรัฐทีวี ในการเดินทางมาที่หาดแห่งนี้ เพื่อพบกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นแกนนำระดับสูงของขบวนการติดอาวุธในชายแดนภาคใต้ และผ่านการเจรจาทางลับกับรัฐบาลไทยมาหลายต่อหลายครั้ง
ชายชราวัย 77 ปี นัดหมายทีม SEE TRUE ไปเจอที่ชายหาด เพื่อทำความรู้จักกัน ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดและทิศทางของขบวนการติดอาวุธภาคใต้ ที่มีหลักการในการก่อเหตุว่า “ทำก็ไม่รับ ไม่ทำก็ไม่ปฏิเสธ”
เขาคือ อุซตาซฮรน อิสเหาะ ผู้อาวุโสของขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี หรือที่เรียกชื่อย่อสั้นๆ ว่าขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งย่อมาจากภาษาอังกฤษ Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani
บีอาร์เอ็น ถือเป็นขบวนการที่ 2 ที่ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2503 โดยมีแรงจูงใจจากการที่ “หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์” หรือ “หะยีสุหลง โต๊ะมีนา” ซึ่งยื่นข้อเสนอ 7 ข้อ เรียกร้องความยุติธรรมให้คนมลายูมุสลิม ที่ถูกกดขี่จากนโยบายชาตินิยม สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่กลับถูกคนของรัฐอุ้มฆ่า หรือบังคับสูญหายเมื่อปี 2497
เหตุการณ์ที่ทำให้ขบวนการบีอาร์เอ็น ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คือการปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปีเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อ 4 มกราคม 2547 หรือ 44 ปี หลังการก่อตั้งขบวนการ
ทันที่ที่ทักทายกันเสร็จ SEE TRUE ถามถึงเหตุการณ์ปล้นปืนครั้งนั้น เขาบอกว่า เป็นผู้ร่วมวางแผนด้วย และในการเข้าปล้นปืน ใช้คนไม่ถึงร้อยคน และหลังจากนั้น จึงเข้าไปคุยในบ้านพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้สัมภาษณ์ ซึ่งคำถามต่อเนื่อง ก็คือการวางแผนปล้นปืนค่ายปีเหล็ง
“เรามีการเตรียมแผนงานตั้งแต่ 1980 (2523) ในการสร้างความเข็มแข็ง ไม่ใช่ทำเล่นๆ เราต้องใช้เวลานาน”
อุซตาซฮรน เผยถึงแผนการปล้นปืน ซึ่งเริ่มจากการสร้างกองกำลังติดอาวุธ หรือตัจรีย์ (ทหาร) มาตั้งแต่ปี 2523 ด้วยการให้สมาชิกของขบวนการที่ผ่านการทดสอบและถึงวัยเกณฑ์ทหารบางส่วน ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งถือเป็นการฝึกกองกำลังด้วย และได้รู้แผนผังในค่ายทหารนั้นๆ
นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการฝึกความกล้าของจิตใจของบรรดาแนวร่วมกองกำลัง ด้วยการให้ขนกล่องที่ถูกระบุว่าเป็นกล่องบรรจุระเบิด เดินทางข้ามไปยังพื้นที่อื่น ซึ่งต้องผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร แต่ว่าในกล่องนั้นเป็นเพียงก้อนหิน โดยที่แนวร่วมกองกำลังเหล่านั้นไม่รู้ว่าเป็นก้อนหิน
...
ได้แนวร่วมเพิ่มมากหลังเหตุการณ์ตากใบ เก็บเงินสมาชิกวันละบาท
อุซตาซฮรน เข้าเป็นสมาชิกขบวนการบีอาร์เอ็น ตั้งแต่ปี 2511 สมัยเป็นวัยรุ่น ด้วยความที่หัวดี ถูกสนับสนุนให้เรียนรู้ความเป็นผู้นำ และถูกส่งไปเรียนระดับปริญญาตรีด้านศาสนาอิสลาม ที่อินโดนีเซีย เมื่อกลับจากอินโดนีเซีย ได้เป็นกัสเขต 3 นราธิวาส หรือเทียบเท่ากับผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่ปี 2526-2537
ขบวนการบีอาร์เอ็นแบ่งเขตปกครองซ้อนทับกับรัฐเป็น 4 กัส กัส 1 ปัตตานี กัส 2 ยะลา กัส 3 นราธิวาส ส่วนกัส 4 คือ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย เทพา สะบ้าย้อย จะนะ นาทวี แต่ในวันที่ SEE TRUE สัมภาษณ์นั้น อุซตาซฮรน บอกว่า บีอาร์เอ็น มีเป้าหมายอีก 1 อำเภอ คืออำเภอสะเดา รวมเป็น 5 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา โดยในแต่ละกัส จะมีฝ่ายทหาร การเมือง อูลามะ เปอร์มูดอ (เยาวชน) และสตรี
ส่วนการหาสมาชิกเข้าขบวนการนั้น เขาบอกว่า สมาชิก 1 คน ต้องไปหาสมาชิกให้ได้ 5 คน แต่ก่อนการคัดเลือกเยาวชนมาเป็นตัจรีย์ (ทหาร) 1 เดือน ได้ประมาณ 10 คน แต่หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบ มีเยาวชนจำนวนมากเข้าร่วมกับขบวนการบีอาร์เอ็น
“หลังจากเหตุการณ์ตากใบ ผมเป็นหนึ่งในการคัดเลือกเยาวชนในพื้นที่เพื่อเป็นนักต่อสู้ พูดตรงๆ เพราะตอนนี้ก็กลับบ้านไม่ได้แล้ว แต่ก่อนเหตุการณ์ตากใบที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนตัวอย่างเช่นใน 1 เดือนเราได้เยาวชนมาสิบคน แต่หลังจากเหตุการณ์ตากใบอย่างน้อยเราได้ 300 คน เพราะคนต้องการแก้แค้น” ผู้อาวุโสของขบวนการบีอาร์เอ็น เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ตากใบ
สมาชิกแต่ละคน จะต้องบริจาคเงินให้ขบวนการวันละ 1 บาท ตั้งแต่ปี 2523 โดยแกนนำในระดับหมู่บ้านจะเป็นคนเก็บ ส่งให้แกนนำระดับตำบล อำเภอ จังหวัด แล้วส่งไปยังกองกลาง จากนั้นกระจายเงินเหล่านี้ไปเป็นกองทุนต่างๆ ซึ่งทุกวันนี้ ก็ยังเก็บเงินวันละ 1 บาท เหมือนเดิม โดยอุซตาซฮรน บอกว่า ได้ประมาณ 1 ล้านบาทต่อวัน
...
ใครที่ทำสวน จะต้องบริจาค 1 ต้นให้ขบวนการเข้าไปเก็บผลผลิต ส่วนใครที่ทำงานมีเงินเดือนประจำ จะขอเงินเดือน 1 เดือนต่อปี หรือไม่ก็ขอ 2.5 เปอร์เซ็นต์จากรายได้ โดยปัจจุบันมีสมาชิกของบีอาร์เอ็น แทรกซึมอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ
เจรจาลับปี 2548 หลังการปล้นปืน
อุซตาซฮรน เล่าว่า หลังเหตุการณ์ปล้นปืน รัฐบาลเริ่มหาหนทางติดต่อพูดคุยกับบีอาร์เอ็น ซึ่งเขาคือคนที่คุยกับรัฐบาลในทางลับมาตั้งแต่ปี 2548 ครั้งแรกที่คุยกัน คือที่ประเทศเยอรมนี
“เป็นการคุยในทางลับและไม่เห็นหน้ากัน ต่างคนต่างอยู่ที่ห้องพักของตัวเอง เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น เพราะตอนนั้นผมต้องการแบบนั้น” เขาอธิบายถึงการพูดคุยกันครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไว้วางใจกัน
ผู้อาวุโสของขบวนการบีอาร์เอ็น บอกด้วยว่า การเป็นตัวแทนของขบวนการไปเจรจากับรัฐบาล ไม่ได้เป็นความต้องการของเขา ยังมีอีกหลายคนที่เป็นคนเก่ง แต่พวกเขาเหล่านั้นปกปิดตัวเอง มีเพียงเขาที่เปิดเผยตัวตนในขณะนั้น ดังนั้นตำรวจสันติบาลมาเลเซีย จึงต้องการพบเขาเพียงคนเดียว
ในการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับขบวนการบีอาร์เอ็น มีองค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอ ที่ชื่อว่า Centre for Humanitarian Dialogue หรือ HD ซึ่งตั้งอยู่สวิตเซอร์แลนด์ เข้ามาเป็นคนกลางให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันในทางลับ นับจากปี 48 เป็นต้นมา
...
นอกจากนี้ ยังมีเอ็นจีโอ Geneva Call ซึ่งตั้งอยู่สวิตเซอร์แลนด์เหมือนกัน จัดอบรมกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ให้ขบวนการติดอาวุธในชายแดนใต้ นับจากปี 49 ถึงปี 54
หลังจากนั้น อุซตาซฮรน ได้เจรจากันทางลับเรื่อยมากับรัฐบาล โดยเดินทางไปในหลายประเทศ กระทั่งปี 2556 ช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตำรวจสันติบาลมาเลเซียติดต่อมายังเขา ให้ไปพบกับทักษิณ ชินวัตร ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ นั่นจึงเป็นที่มาของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลกับขบวนการบีอาร์เอ็น
การเจรจาชะงัก เพราะการรัฐประหารรัฐบาล ปี 2557 จากนั้นในปี 2558 จนถึงปี 2562 รัฐบาล คสช. ตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่ กับกลุ่มขบวนการหลายกลุ่ม ที่รวมกันในชื่อ "มาราปัตตานี" ประกอบด้วยบีอาร์เอ็น พูโล บีไอพีพี และมูจาฮีดีน หรือ จีไอเอ็มพี ซึ่งอุซตาซฮรน บอกว่า จริงๆ แล้วช่วงนั้น บีอาร์เอ็นได้ถอยออกมาจากการเจรจา เพราะพูดคุยแล้วไม่ได้อะไร กระทั่งปี 2563 รัฐบาลกลับมาเจรจากับบีอาร์เอ็นอีกครั้ง ส่วนปัจจุบันนี้ ถือเป็นช่วงสุญญากาศ เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ตั้งคณะเจรจาชุดใหม่
เป้าหมายสุดท้าย เอกราชอาจไม่ใช่คำตอบ
อุซตาซฮรน เล่าถึงการเจรจาช่วงท้ายๆ ระหว่างรัฐบาลกับบีอาร์เอ็น ที่ยังค้างอยู่ปัจจุบัน คือ ปัญหาหลัก รัฐบาลไม่ยอมรับ JCPP (แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม) ซึ่งทำขึ้นที่บาหลี และมีการคุยกันในเรื่องนี้หลายรอบแล้ว
แต่ละขบวนการที่เกิดขึ้นในชายแดนภาคใต้ มีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อย หรือเอกราช แต่มาถึงวันนี้ อุซตาซฮรน บอกว่า อยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหารากเหง้าจริงๆ คือความอยุติธรรม ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น ในอดีต ทุกๆ โรงเรียนของรัฐต้องมีรูปปั้น บังคับให้คนเปลี่ยนชื่อ เป็นชาตินิยมสุดโต่ง จำนวนประชากรในพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นมลายู มีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนไทยพุทธ แต่เจ้าหน้าที่รัฐ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นไทยพุทธ และมีเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เป็นมลายู
“เราไม่ได้เอ่ยเอกราชเลย เพราะเป้าหมายของบีอาร์เอ็นเราต้องการการปกครองที่อุดมสมบูรณ์ ยุติธรรม และได้รับการโปรดปรานจากเอกองค์อัลลอฮฺ เอกราชเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการแก้ปัญหา หากไม่ได้รับเอกราชแต่อยู่ภายใต้การปกครองที่ยุติธรรม สมบูรณ์ ขอให้ได้ในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าอยู่ภายใต้ของปกครองของพระสงฆ์ก็ได้ ” ผู้อาวุโสของขบวนการบีอาร์เอ็น กล่าวถึงเป้าหมายสุดท้าย
เกือบครึ่งวันที่ SEE TRUE สัมภาษณ์แกนนำคนสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการเจรจาลับของบีอาร์เอ็น ก่อนจะเดินทางในมาเลเซียต่อไป เพราะยังมีอีกหลายกลุ่มขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่
ตอนต่อไป SEE TRUE ได้พบกับแกนนำอีก 1 ขบวนการ ที่บอกว่า ขบวนการของพวกเขา ยังคงมีกองกำลังปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้
ติดตามได้ในภารกิจ SEE TRUE ให้คุณเห็นความจริง ติดตามต่อเนื่องตั้งแต่ 30 มิ.ย. - 2 ก.ค. 68 ทางรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ หลังเวลา 21.00 น.