"นักวิชาการ" วิเคราะห์ปิดทุกด่านชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบเศรษฐกิจ 2 ประเทศ ไทยขาดรายได้วันละ 800 ล้าน กัมพูชาแบกค่าสินค้าแพงขึ้น 20% แนะรัฐบาลใช้มาตรการเศรษฐกิจเข้มข้น-จี้จุดอ่อนธุรกิจสีเทา
จากกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินมาตรการจำกัดการปิด-เปิดด่านชายแดน รวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ประเทศไทยควบคุมการนำเข้ามันสำปะหลังจากกัมพูชา ขณะที่กัมพูชาระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทย (อ่าน : "เขมร" งดนำเข้า น้ำมัน-ก๊าซไทย โวพร้อมจัดหาจากประเทศอื่น เกทับปิด 2 โต้ ไทยปิด 1 ด่าน)
ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา อยู่ที่ 3.66 แสนล้านบาท โดยกัมพูชาเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 11 ของไทย มูลค่าการส่งออกที่ 3.23 แสนล้านบาท และในเดือน มกราคม-พฤษภาคม 2568 อยู่ลำดับที่ 9 ที่ 1.45 แสนล้านบาท ขณะที่การนำเข้าสินค้าปี 2567 กัมพูชาอยู่ลำดับที่ 27 มูลค่าการนำเข้า 4.3 หมื่นล้านบาท และในเดือน มกราคม-พฤษภาคม 2568 อยู่ลำดับที่ 26 ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท กล่าวคือในปี 2567 ไทยเกินดุลการค้ากัมพูชาที่ 2.8 แสนล้านบาท
5 อันดับสินไทยส่งออกไปกัมพูชา ปี 2567
1. อัญมณีและเครื่องประดับ สัดส่วน 33% มูลค่า 1.06 แสนล้านบาท
2. น้ำมันสำเร็จรูป สัดส่วน 15.77% มูลค่า 5.1 หมื่นล้านบาท
3. น้ำตาลทราย สัดส่วน 5.16% มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท
4. เครื่องดื่ม สัดส่วน 4.6% มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท
5. เคมีภัณฑ์ สัดส่วน 3.04% มูลค่า 9.8 พันล้านบาท
...
5 อันดับสินค้ากัมพูชานำเข้ามาไทย ปี 2567
1. สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัดส่วน 24.9% มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท
2. ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ สัดส่วน 21.57% มูลค่า 9.2 พันล้านบาท
3. เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ สัดส่วน 12.5% มูลค่า 5.3 พันล้านบาท
4. ลวดและสายเคเบิล สัดส่วน 8.42% มูลค่า 3.6 พันล้านบาท
5. เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สัดส่วน 6.8% มูลค่า 2.9 พันล้านบาท
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า การออกมาตรการทางการค้ากระทบทั้งไทยและกัมพูชา ซึ่งหากมีการปิดด่านทั้งหมด รายได้ของประเทศไทยจะหายไปวันละ 700-800 ล้านบาท กระทบกับ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดชายแดน ในฝั่งของกัมพูชา จะเจอปัญหาสินค้าแพงขึ้นทันที 10-20%
ในส่วนของมาตรการที่ไทยดำเนินไปแล้ว คือควบคุมการนำเข้ามันสำปะหลัง รศ.ดร.อัทธ์ มองว่าถูกต้อง ปัจจุบันกัมพูชาผลิตได้ปีละราว 20 ล้านตันและไทยเป็นหนึ่งในตลาดหลัก โดยในปี 2024 ส่งออกมาไทยกว่า 40% ขณะที่ปี 2023 ส่งออกมาไทยเกือบ 51% เมื่อไม่สามารถส่งออกมาไทยได้ก็ต้องหาตลาดอื่นมารองรับผลผลิต ซึ่งอาจขายให้เวียดนามที่เป็นอีกตลาดหลักแต่ก็คงไม่สามารถซื้อผลผลิตแทนไทยได้ทั้งหมด เพราะจะไปกดราคาผลผลิตในเวียดนามเอง ดังนั้นมาตรการนี้จะกระทบกับเกษตรกรของกัมพูชาอย่างมาก ส่งแรงกดดันมายังรัฐบาลกัมพูชารวมถึงรัฐบาลเวียดนามด้วย
จากนี้รัฐบาลไทยควรออกมาตรการกดดันสินค้าเกษตรอื่นๆ ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะม่วงแก้วขมิ้น” ที่เป็นหนึ่งในผลไม้หลักของกัมพูชา และ 70% ของผลผลิตส่งออกมายังประเทศไทย และหาตลาดอื่นรองรับได้ยาก เพราะอย่างเวียดนามก็ผลิตเองได้เยอะอยู่แล้ว จะกระจายไปญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ก็ต้องผ่านมาตรฐานผลผลิตที่สูง หรืออย่างประเทศจีนก็นิยมมะม่วงอบแห้งมากกว่าผลผลิตสด กัมพูชาก็ต้องเพิ่มการลงทุนในการแปรรูป
...
ในส่วนของสินค้าไทยที่ส่งออกไปกัมพูชามากที่สุด อันดับแรกคือ ทองคำ อัญมณีและเครื่องประดับ คิดเป็นสัดส่วนการส่งออก 33% มูลค่ากว่า 1.06 แสนล้านบาท ซึ่งไม่ใช่สินค้าจำเป็น กัมพูชาสามารถออกมาตรการระงับนำเข้าได้โดยไม่เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก
อันดับ 2 คือ น้ำมันสำเร็จรูป ที่สภาพตลาดในกัมพูชาเป็นการนำเข้าจากประเทศไทยมากถึง 50% ตามด้วยการนำเข้าจากเวียดนามและสิงคโปร์ เมื่อกัมพูชาระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทย ก็อาจจะหันไปนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์และเวียดนามมากขึ้น แต่อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนในการทำคำสั่งซื้อ และต้นทุนค่าน้ำมันก็จะแพงขึ้นด้วย
ส่วนที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวอ้างว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ของไทย อาจล่มสลาย หากไม่มีการส่งออกน้ำมันมายังกัมพูชานั้น รศ.ดร.อัทธ์ มองว่า เป็นไปได้ในส่วนของ ปตท.ที่ทำการตลาดอยู่ในกัมพูชา แต่คงไม่กระทบกับภาพรวมการประกอบธุรกิจทั้งหมดของ ปตท.มากนัก ซึ่งน้ำมันในส่วนที่ส่งออกไปกัมพูชาก็อาจกระจายสู่สาขาในประเทศอื่น เช่น เมียนมา ที่ตอนนี้ประสบปัญหาน้ำมันสำเร็จรูปขาดแคลนอยู่ แต่อาจต้องใช้เวลาในการย้ายตลาดและเจรจา
ในส่วนของไฟฟ้า กัมพูชานำเข้าจากไทย 10-15% ของไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งสามารถย้ายไปนำเข้าจากลาวหรือเวียดนามทดแทนได้ไม่ยากนัก แต่ขณะเดียวกันไทยก็ไม่ได้เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายหลักอยู่แล้ว จำนวนที่ส่งออกไปกัมพูชาก็สามารถเก็บไว้ใช้ในประเทศโดยไม่ต้องหาตลาดอื่นทดแทน ในส่วนอินเทอร์เน็ต กัมพูชานำเข้าจากเอกชนไทยผ่านสายบนดิน และใช้อยู่แค่แถบจังหวัดชายแดน ในอุตสาหกรรมกาสิโน โรงแรม ร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจผิดกฎหมายอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย
...
รศ.ดร.อัทธ์ คาดว่า ตอนนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันในกัมพูชาจะปรับตัวสูงขึ้นและบางส่วนก็ขาดแคลน ประชาชนต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้อย่างน้อย 1 เดือน จนกว่ารัฐบาลกัมพูชาจะนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นมาทดแทนได้ โดยคาดว่าจะนำเข้าอาหารและเครื่องดื่มจากจีนและเวียดนาม น้ำมันจากสิงคโปร์และเวียดนาม ไฟฟ้าจากลาว อินเทอร์เน็ตจากมาเลเซีย ฮ่องกง และเวียดนาม ซึ่งสินค้าหลายชนิดจะมีต้นทุนที่แพงขึ้นกว่าการนำเข้าจากไทย
นอกจากนี้คาดว่าจะเกิดกระแสการแบนสินค้าไทย ส่งผลกระทบระยะยาวต่อพฤติกรรมผู้บริโภคชาวกัมพูชา โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าไทยในกัมพูชาจะค่อยๆ ลดลง แม้ว่าในอนาคตไทยและกัมพูชาจะกลับมาค้าขายกันตามเดิมแต่ส่วนแบ่งทางการตลาดน่าจะไม่กลับมาเท่าเดิมได้อีกแล้ว
ในส่วนผู้ประกอบการไทยที่เคยลงทุนในกัมพูชา เช่น เสื้อผ้า สายไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาจลงทุนในกัมพูชาน้อยลง เพราะมองว่าเป็นตลาดและห่วงโซ่การผลิตที่มีความไม่แน่นอนสูงและอาจเกิดข้อพิพาทได้ทุกเมื่อในอนาคต ผู้ประกอบการไทยควรหาตลาดและห่วงโซ่การผลิตใหม่ เช่น เมียนมา ที่คาดว่าใน 1-2 ปีข้างหน้าน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นแต่อาจต้องแบกรับต้นทุนขนส่งที่เพิ่มขึ้นบ้าง อีกทางเลือกคือย้ายไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาว หรือย้ายฐานการผลิตเต็มรูปแบบไปที่เวียดนาม
รศ.ดร.อัทธ์ แนะ 3 ข้อให้รัฐบาลไทย คือ
1. ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจให้เข้มข้นขึ้น
2. ดึงพันธมิตรนานาชาติ เข้ามารับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น ให้ได้เห็นว่าไทยยึดมั่นในกลไกทวิภาคี การเจรจา
3. กดดันกัมพูชาในเรื่องของทุนและเศรษฐกิจสีเทา ที่โลกตะวันตกไม่ยอมรับ จี้จุดอ่อนเรื่องนี้ของกัมพูชาและตัดเส้นทางเชื่อมโยงธุรกิจสีเทาเหล่านี้ที่เข้ามายังประเทศไทย
...
"ไทยกดดันทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชาน้อยไป กลายเป็นว่ากัมพูชากดดันทางเศรษฐกิจไทยมากกว่า เรายังกล้าๆ กลัวๆ กัมพูชา ทั้งที่เศรษฐกิจไทยมีขนาดใหญ่กว่ามาก และกัมพูชาก็พึ่งพิงไทยมากกว่าไทยพึ่งพิงกัมพูชา ซึ่งทำให้เขาได้ใจและมั่นใจมากขึ้น"
ขอบคุณ : กระทรวงพาณิชย์