“ถึงรบสุดท้ายต้องมาคุยเจรจา” “พล.ต.ณัฎฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับทหารกัมพูชา ให้ถอนกำลังเพื่อลดความตึงเครียด หลังมีเหตุปะทะกันที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เปิดใจถึงการเป็นทหารแนวหน้า ประสบการณ์การชนะโดยไม่ต้องรบ และประวัติชีวิตที่เกือบไม่ได้รับใช้ชาติ

ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้สัมภาษณ์เปิดใจ พล.ต.ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า ปัญหาชายแดนกัมพูชา ผมอยู่มาตั้งแต่จบใหม่จนถึงปัจจุบัน ช่วงแรกกัมพูชามีปัญหาภายในประเทศ มีสงครามกลางเมือง ไทยไปช่วยเหลือผู้อพยพ แต่พอทุกอย่างสงบเขากลับมามีปัญหาเรื่องเขตแดนที่ไม่ชัดเจนกับไทย เนื่องจากหลักฐานแผนที่ที่ยึดถือต่างกัน

แต่สิ่งสำคัญผมไม่อยากให้มีการปะทะ เพราะการที่ทหารตาย 1 นาย มันไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะผมไปงานศพลูกน้องมาเยอะ คนไม่ได้อยู่หน้าแนวปะทะ ถ้าเกิดการสูญเสียเหมือนปี 54 สูญเสียทหารไป 7 – 8 นาย แม้บางคนจะมองว่าไม่เยอะ แต่กว่าเราจะดูแลพวกเขามาถึงตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทหาร 1 คน ต้องมีลูกเมียพ่อแม่ คนอยู่ข้างหลังอีกหลายคน ด้วยความที่เราเป็นผู้บังคับหน่วยก็ต้องดูแลลูกของทหารที่สูญเสียจนกว่าจะจบปริญญาตรี หางานให้ทำ ไม่ใช่ว่าพ่อตายแล้วจะทิ้งเขา

...

“ถึงรบกันยังไง สุดท้ายก็ต้องมาคุยกัน ต้องมาเจรจา ไม่ใช่ยุคโบราณที่ไปตีเอาบ้านเอาเมือง แม้จะตียึดได้ สุดท้ายองค์กรกลาง หรือ UN ก็ต้องเข้ามา ประเทศที่สามต้องเข้ามาเพื่อไกล่เกลี่ย และต้องคุยกันอยู่ดี เลยถามว่าเราจะสูญเสียคนไปทำไม ถ้าสามารถใช้วิธีการอื่นทำให้เขาทำตามที่เราต้องการได้ สามารถชนะได้โดยไม่ต้องรบน่าจะดีกว่า”

จากลูกชาวนาสู่นักเรียนนายร้อย จปร.

พื้นเพเป็นคน จ.สุรินทร์ ครอบครัวมีอาชีพทำนา แรงบันดาลใจที่ทำให้มาเป็นทหารเกิดจากพ่อ เพราะพ่อเคยเป็นทหารเกณฑ์ ไปรบที่เชียงตุง ซึ่งตอนเด็กหลังกินข้าวพ่อจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวตอนไปรบที่เชียงตุง โดยตอนนั้นพี่ชายเกิดแล้ว ทำให้ช่วงเวลานั้นต้องทิ้งแม่และลูกชายคนโตไปรบ ทำให้คุณภาพชีวิตครอบครัวค่อนข้างลำบาก


ตอนเด็กเรารู้แค่อยากเป็นทหาร พอเรียนจบ ม.6 เพื่อนๆ ก็จะพากันไปสอบที่โรงเรียนจ่าทหารเรือ กับโรงเรียนจ่าทหารอากาศ เราก็มาสอบติดทั้ง 2 แต่สมัยนั้นไม่มีเงิน เลือกที่จะมาสอบสัมภาษณ์ที่เดียวคือ โรงเรียนจ่าทหารเรือ พอไปฟังผล ก็สอบได้ แต่มีเพื่อนจากโรงเรียนอื่นเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้โรงเรียนนายร้อย จปร.กำลังรับสมัครอยู่ เราก็เลยอยากไปสมัครด้วย ตอนนั้น โรงเรียนนายร้อย จปร.อยู่ที่ ถ.ราชดำเนิน ก่อนจะย้ายมาที่ จ.นครนายก ปัจจุบัน


เลยชวนเพื่อนที่มาจากบ้านนอกด้วยกัน ไปสมัครที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่งเพื่อนก็บอกว่า ต้องไปเรียนกวดวิชา แล้วยังมีเด็กเส้นเยอะ พวกเราเด็กบ้านนอกสอบไม่ได้หรอก แต่ตอนนั้นก็ตัดสินใจไปสมัครโรงเรียนนายร้อย จปร.


พอมาถึงโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่เหลือเวลารับสมัครเพียงแค่ 3 วัน ก็ไปยื่นเอกสาร แต่เอกสารรับสมัครไม่ครบ ขาดสูติบัตร เลยนั่งรถกลับบ้านแล้วค้นหาสูติบัตรทั้งบ้านก็ไม่เจอ ด้วยตอนนั้นคุณแม่ก็อ่านหนังสือไม่ออก เลยตัดสินใจไปหาครูที่โรงเรียน โดยครูก็แนะนำให้ไปอำเภอ เพื่อค้นต้นขั้วให้ จำได้ว่าไปถึงอำเภอสี่โมงเช้า หาจนบ่ายก็ไม่เจอ จนท่านนายอำเภอกลับมาท่านเห็นผมก็เลยทัก และพยายามให้เจ้าหน้าที่หาอีกรอบแต่ไม่เจอ


จนสุดท้ายท่านนายอำเภอก็ให้ทำหนังสือรับรองแทนสูติบัตรให้ มีเนื้อความแค่ 3 บรรทัด พอได้ผมก็รีบนั่งรถทัวร์มายื่นใบสมัครวันสุดท้าย ปรากฏว่าหน่วยรับสมัครรับ เลยได้เข้ามาเป็นทหาร