“ทักษิณ” ป่วยวิกฤตชั้น 14 - ฮั้วเลือก สว. กลายเป็นสองคดีถูกโยงการเมือง ทั้งฝั่ง “แดง - น้ำเงิน” แม้ “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” หน้าฉากดูหวานชื่น ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่หลังฉากก็ยังมีคำถามตัวโตว่า มีรอยร้าวเกิดขึ้นหรือไม่

ขณะที่ประชาชนมอง 2 ประเด็นนี้ ไม่น่าเชื่อถือ อย่างที่ผู้มีอำนาจกล่าวอ้าง แต่ถ้าไล่ไทม์ไลน์จะเห็นระยะเวลา “สู้กลับ” ใกล้เคียงกัน จนนักวิเคราะห์การเมืองมองว่า ต้องจับตา “แดง-น้ำเงิน” ใครเกมก่อนกัน?

จุดเริ่มต้นป่วยวิกฤตชั้น 14 VS ฮั้ว สว.สีน้ำเงิน


22 ส.ค. 2566 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางกลับไทยในรอบ 17 ปี หลังประกาศมาแล้ว 20 ครั้ง พอถึงสนามบินก็เดินทางไปศาลฯ เพื่อรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา กลางดึกวันเดียวกัน มีการย้ายห้องจากเรือนจำฯ เนื่องจากมีรายงานอาการป่วยวิกฤตหนัก และย้ายไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 เป็นห้องพักระดับ VVIP 


ท่ามกลางการคุ้มกันแน่นหนาตลอดการรักษา แทบไม่มีภาพอดีตนายกฯ อยู่ในห้องพักหลุดออกมาเลย ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี ตลอดระยะเวลาที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ได้มีประเด็นคำถามและข้อสงสัยจากสาธารณชนเกี่ยวกับการอาการป่วยและความจำเป็นในการพักรักษาตัวนอกเรือนจำอย่างต่อเนื่อง จนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษ และเดินทางออกจากโรงพยาบาลตำรวจกลางดึก

...


มหากาพย์การเลือก สว. ท่ามกลางข้อสงสัยเกี่ยวกับการฮั้ว ที่ถูกจับตาว่าเป็นสายสีน้ำเงิน เริ่มขึ้นเมื่อ การเลือก สว.นั้น จะใช้ระบบที่ “ผู้สมัครเลือกกันเอง” ไล่มาตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศ โดยการเลือก สว.เมื่อปี 2567 เลือกระดับอำเภอในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 ระดับจังหวัดในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 รอบสุดท้ายคือการเลือกระดับประเทศ ผู้สมัครทุกคนที่ผ่านมาถึงรอบนี้ ต้องมาเลือกกันที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ในวันที่ 26 มิถุนายน 2567


น่าสนใจว่า การเลือก สว.ครั้งที่ผ่านมา ตลอดการรับสมัคร สว.ที่ถูกจับตาว่าเป็นสายสีน้ำเงิน ต่างเก็บตัวเงียบ ไม่หวือหวาเท่า สว.ฝั่งสีแดงของพรรคเพื่อไทย ที่ส่งเบอร์ใหญ่อย่าง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่การเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2567 กลับตกรอบอย่างน่าเสียดาย โดยหลังจากรู้ผลได้เดินทางกลับทันที ไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มีการวิเคราะห์ว่า การชิงชับเก้าอี้สภาสูง หรือ สว. หากพรรคการเมืองใด สามารถคุมได้ จะเอื้อต่อการแต่งตั้งองค์กรอิสระเช่น ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ และอาจทำให้การทำงานของรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ราบรื่น และสร้างเกมต่อรองได้

ร้องตรวจสอบจากองค์กรอิสระ

5 พฤศจิกายน 2567 นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พร้อมให้ความร่วมมือ-ตรวจสอบปมนายทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัว ชั้น 14 รพ.ตำรวจ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทวงถามเวชระเบียนรักษาตัว นายทักษิณ แต่มีคณะกรรมการดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลปี 2562 โดยยืนยันว่า ฝ่ายการเมืองไม่ได้เข้าไปแทรกแซงใดๆ

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า แม้กรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ทำหนังสือมา และผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัยเรื่องเดียวกันผู้เสียหายคนเดียวกัน แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินบอกว่าไม่มีความผิด แต่ กสม.มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ ในทางกฎหมายถ้าหน่วยงานอิสระ รับไว้ตรวจสอบอีกองค์กรหนึ่ง ไม่ควรจะมีความเห็นต่างกันมันอยู่ในเอกสาร แต่อย่างไรเราก็จะให้ความร่วมมือและพร้อมจะชี้แจง


เมื่อถามว่าความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่าง 2 หน่วยงาน จะทำให้ได้เปรียบในการชี้แจงหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินสอบละเอียด แต่กสม.ไม่ได้สอบ ผู้ตรวจการแผ่นดินสอบเพียงพยาน และตามรายงานก็ได้เข้าไปพบนายทักษิณ ด้วย


ส่วนกรณีฮั้ว สว. วันที่ 9 กรกฎาคม 2567 พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับเรื่องร้องเรียนจาก นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น ตัวแทนกลุ่ม “คนรุ่นใหม่ ประชาธิปไตย บริสุทธิ์” ที่ได้มายื่นเรื่อง ขอให้ตรวจสอบกรณีพบพยานหลักฐานในการเลือกตั้ง สว.และพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ จากกรณีที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา และได้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 200 คน นั้น หลังจากที่มีการเลือกตั้ง ดังกล่าวได้ปรากฏข่าวพบข้อพิรุธในกระบวนการในการเลือกตั้ง และสังคมได้เกิดข้อสงสัยว่าการได้มาซึ่ง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดนี้เป็นไปตามวิถีแห่งประชาธิปไตยและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่

...


พันตำรวจตรีวรณัน เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะส่งเรื่องไปยังกองบริหารคดีพิเศษ ในฐานะหน่วยงานกลางด้านคดีของกรม เพื่อประมวลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำสั่ง เพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงาน โดยเร็วต่อไป


คาดค่าใช้จ่ายทั้ง 2 เรื่องไม่ต่ำกว่าหลักล้าน


เสียงวิจารณ์กรณการไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 แล้ว เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2567 คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร ตั้งประเด็นสอบข้อเท็จจริง กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ขอพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยการเชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และผอ.โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เข้าให้ข้อมูล แต่มีเพียง "ตัวแทน" จาก 2 โรงพยาบาลที่เข้าให้ข้อมูลเท่านั้น มีการตั้งสอบข้อเท็จจริง พล.ต.ต.สรวุฒิ เหล่ารัตนวรพงษ์ อดีตรองนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ อ้างอิงว่า ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือทำการรักษานายทักษิณ จึงไม่ทราบเกี่ยวกับเวชระเบียน และขณะนั้นอยู่ระหว่างพักร้อน ซึ่งตอนนี้ ก็เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือเออรี่รีไทร์

...


ส่วนนพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ กล่าวว่า ถ้าผู้ป่วยมีอาการวิกฤต ก็สามารถส่งต่อผู้ต้องขังไปโรงพยาบาลอื่น ๆ ได้ แต่ไม่สามารถลงในรายละเอียดได้ เนื่องจากเป็นฝ่ายบริหารองค์กร ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้านายทักษิณ ไม่ป่วยจริง ก็เป็นไปได้ว่า นายทักษิณ อาจมีส่วนในการตัดสินใจ หรืออาจทำให้เกิดการหลงเชื่อ แล้วประสานและส่งตัว ไปโรงพยาบาลตำรวจ กลายเป็นว่าสุดท้ายนายทักษิณไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นการอยู่ด้วยความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงยืนยันที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป


ขณะเดียวกันยังได้รับข้อมูลว่า นายทักษิณ ไปพักรักษา ที่โรงพยาบาลตำรวจห้องพิเศษ มีค่าใช้จ่ายจำนวน 8,500 บาท ตลอดระยะเวลาการพักรักษาตัว อาจมีค่าใช้จ่ายถึง 1 ล้านบาท 6 พฤษภาคม 2567 ดีเอสไอส่งข้อมูลวิเคราะห์ปมฮั้ว สว.2567 ให้ "กกต." พิจารณาเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง ทั้งข้อมูลเส้นทางการเงินตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ประมาณเดือนกันยายน 2567 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เริ่มได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบกระบวนการได้มาซึ่ง สว. ในหลายกรณี และเริ่มหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อร้องเรียนดังกล่าว 6 มีนาคม 2568 คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานฟอกเงิน ด้วยเสียงเห็นชอบ 11 ต่อ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ดีเอสไอจึงเริ่มเดินหน้าสอบสวนคดีนี้อย่างเต็มที่ โดยมีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับการฮั้วเลือก สว.

เริ่มตรวจสอบข้อมูลทางคดี

17 ธ.ค.2567 ป.ป.ช.มีมติให้ตั้งองค์คณะไต่สวน จนท.รัฐสังกัดกรมราชทัณฑ์และ รพ.ตำรวจ รวม 12 คน กรณีส่งตัว "ทักษิณ" ไปรักษา รพ.ตำรวจ โดยไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51 หากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป

...

ส่วนคดีฮั้ว สว. เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า ณ วันที่ 6 มี.ค.68 จำนวนคำร้องเลือกสว. มีทั้งหมด 577 คำร้อง พิจารณาไปแล้ว 228 เสร็จสิ้นแล้ว 82 สำนวน ซึ่งมี 9 สำนวนที่ กกต.ส่งไปศาล

เริ่มเช็กบิล ลงโทษผู้เกี่ยวข้อง สอบสวนเพิ่ม

30 เมษายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง นัดฟังคำสั่งกรณีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ร้องให้ไต่สวนการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ขัดต่อประมวลกฎหมาย ศาลใช้เวลาอ่านคำสั่งไม่นาน ปรากฏว่า ตีตกคำร้องของนายชาญชัย ให้เหตุผลว่า ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือ เดือดร้อนจากกรณีนี้ แต่จะรับไว้พิจารณาเอง เพราะว่าความปรากฏต่อศาลแล้ว พร้อมนัดไต่สวนวันที่ 13 มิถุนายน 2568

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568: คณะกรรมการแพทยสภา มีมติเกี่ยวกับผลการสอบสวนด้านจริยธรรมของแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยมีคำสั่งลงโทษแพทย์ ตักเตือน 1 พักใช้ใบอนุญาต 2 คน ด้านคดีการฮั้ว สว. วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. ร่วมกับดีเอสไอ พิจารณาพฤติการณ์ของ สว. ที่เข้าข่ายกระทำความผิด พ.ร.ป. การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และมีมติออกหมายเรียก สว. ชุดแรก 53 ราย เจ้าหน้าที่เริ่มดำเนินการนำหมายเรียกไปส่งตามที่อยู่ของ สว. ที่ถูกกล่าวหา

9 พฤษภาคม 2568 มีการรายงานว่า กกต. และดีเอสไอ ได้ออกหมายเรียก สว. ชุดแรก 53 ราย เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 รายชื่อ สว. ที่ถูกออกหมายเรียกมีบุคคลที่ถูกเชื่อมโยงว่ามีความใกล้ชิดกับพรรคภูมิใจไทยและบ้านใหญ่บุรีรัมย์รวมอยู่ด้วย เช่น อดีตผู้ว่าฯ บุรีรัมย์, อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล, อดีตรองปลัดและที่ปรึกษา รมว. สาธารณสุข ในยุคที่นายอนุทิน ดำรงตำแหน่ง, อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จ. บุรีรัมย์ และอดีตคนขับรถนายชัย ชิดชอบ

10 พฤษภาคม 2568 มีรายงานข่าวถึงความสัมพันธ์ที่อาจแตกหักระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย อันเป็นผลมาจากคดีฮั้ว สว. นี้ โดยมองว่าการสอบสวนอาจเป็นเกมการเมืองเพื่อกดดันพรรคภูมิใจไทย ส่วน กกต. ยืนยันว่าจะเดินหน้ากระบวนการไต่สวน และท้ายที่สุดคดีจะไปสิ้นสุดที่ศาลฎีกา มีการแบ่งกลุ่ม สว. ที่ถูกหมายเรียกให้เข้าชี้แจงระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2568

บทสรุปที่รอการตัดสิน

คดีป่วยวิกฤตชั้น 14 ของทักษิณ ชินวัตร ที่ยังรอการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 และมีคดีอื่น ที่นายทักษิณ ชินวัตร อาจต้องเผชิญหรืออยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณา ซึ่งตามข้อมูลที่ปรากฏ มีอย่างน้อยหนึ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องไปแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และคดีของ ป.ป.ช.ที่ยังรอการไต่สวน

ด้าน คดีฮั้ว สว. ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนและไต่สวนโดย กกต. และดีเอสไอ โดยมีการออกหมายเรียก สว. ที่เข้าข่ายให้มาชี้แจงข้อกล่าวหา การดำเนินการหลังจากนี้จะเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการพิจารณาของ กกต. และอาจนำไปสู่การยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไป


ขณะเดียวกัน ประเด็นนี้ยังคงเป็นประเด็นทางการเมืองที่ถูกจับตา และมีการวิเคราะห์ถึงนัยยะทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย แม้จะเป็นการจับมือข้ามขั้วทางการเมือง เมื่อตอนจัดตั้งรัฐบาล แต่เบื้องหลังอาจมีรอยแยกที่อาจนำสู่การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้ ซึ่งหลังจากมีการ ดีเอสไอ มีหมายเรียก สว. สายสีน้ำเงิน ก็มีข่าวออกมาว่า พรรคภูมิใจไทย อาจโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบ ปี 69 ที่กำลังจะพิจารณา และอาจเป็นผลทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องยุบสภา แต่ภายหลัง แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็ออกมาปฏิเสธข่าวลือ ยืนยันความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของพรรคร่วมรัฐบาล


แต่อย่าลืมว่า ทั้งกรณีของป่วยวิกฤติชั้น 14 ของทักษิณ ชินวัตร และคดีฮั้ว สว. ย่อมมีนัยของการเดินเกมทางการเมือง ที่เบื้องหน้าอาจหวานชื่น และเบื้องหลังก็ค่อยๆ ร้าวลึกมากขึ้น เพียงแต่ใครจะเกมก่อนกัน?