หญิงวัย 57 ร้องสายไหมต้องรอด อ้างเจ้าอาวาสวัดย่านลำลูกกายืมเงินเฉียด 10 ล้าน ด้านเจ้าอาวาสยันปฏิเสธ "สำนักพุทธ" ชี้ ตั้งกรรมการสอบ ถ้ายืมเพื่อการส่วนตัวต้องใช้หนี้ ย้ำรอหลักฐาน

สะเทือนวงการสงฆ์อีกครั้ง หลังจากหญิงวัย 57 ปี นำเอกสารเข้าร้องเพจสายไหมต้องรอด โดยอ้างว่า ถูกเจ้าอาวาสวัดชื่อดังย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี ยืมเงินนานนับสิบปีแต่ไม่ยอมคืนเงิน รวมทั้งสิ้นจำนวน 9.2 ล้านบาท เมื่อครบกำหนดชำระเจ้าอาวาสไม่คืนเงิน ซ้ำยังบอกให้ยึดโบสถ์ ศาลา และของในวัด พร้อมให้กุญแจโบสถ์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ผู้ร้องเล่าว่า ครอบครัวเป็นโยมอุปัฏฐากวัดดังกล่าวมาตั้งแต่รุ่นพ่อ จึงคุ้นเคยกับวัดและรู้จักเจ้าอาวาสมานาน ย้อนไปเมื่อปี 2552 เจ้าอาวาสเริ่มขอยืมเงินเพื่อบูรณะซ่อมแซมวัด ด้วยความเคารพศรัทธาจึงให้ยืมมาโดยตลอด

โดยเงินนั้นมีทั้งเงินสดและโอนเข้าบัญชี เงินสดจะนำไปให้ภายในกุฏิซึ่งมีเพียงตนกับเจ้าอาวาส และหากโอนเข้าบัญชี ก็จะเป็นบัญชีส่วนตัว โดยเจ้าอาวาสอ้างว่า หากโอนเข้าบัญชีของทางวัดจะยุ่งยาก เมื่อถามว่าตั้งแต่โดนยืมเงินไปตามกล่าวอ้าง เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวัดหรือไม่ ผู้ร้องตอบว่า วัดยังเหมือนเดิม ซ่อมอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เห็นการบูรณะ ไม่ทราบว่าเงินหายไปไหน

...

ฝั่งของเจ้าอาวาสผู้ถูกร้องให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า รู้จักผู้ร้องมานานประมาณ 13 ปี เนื่องจากมาทำบุญที่วัดตลอด ส่วนเรื่องยืมเงินนั้นหากยืมเงินจริงต้องมีเอกสารกู้ยืม ถ้าไม่มีจะมาพูดลอย ๆ ไม่ได้ ถ้ามีหนังสือกู้ยืมเงินสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ ส่วนกรณีมอบกุญแจโบสถ์ให้เพื่อเป็นหลักค้ำประกัน เจ้าอาวาสยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะโบสถ์ที่นี่ไม่มีกุญแจ สามารถเข้าดูเพื่อพิสูจน์ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อคนหนึ่งร้อน คนหนึ่งปฏิเสธ จึงทำให้เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่า แท้จริงแล้วเจ้าอาวาสรูปนั้นยืมเงินจริงหรือไม่

ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง :

นายสุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า วันนี้ (5 ก.ย. 2567) ทางเจ้าคณะผู้ปกครองนิมนต์เจ้าอาวาสรูปที่ปรากฏตามข่าวแล้ว โดยมีการตั้งกรรมการขึ้นสอบสวน แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอการสอบสวนอีกที

"การสอบสวนคงดำเนินการไม่นาน ที่ผ่านมาทางสำนักพุทธจังหวัดได้ลงพื้นที่ติดตามเรื่องนี้แล้ว เรามีหน้าที่แค่สนับสนุน ส่วนการสอบสวนและตัดสิน เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ท่านจะเป็นคนดูแลเอง" นายสุพัฒน์กล่าว

ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ข้อเท็จจริงยังคงไม่ปรากฏว่ายืมเงินจริงหรือไม่ แต่ทางเจ้าอาวาสก็ปฏิเสธคำกล่าวอ้างนั้น บอกว่าโยมโอนเงินให้เพราะต้องการทำบุญ เพราะฉะนั้นต้องรอดูว่ากรรมการสงฆ์ที่ตั้งขึ้นมา จะสอบเจ้าอาวาสได้ความอย่างไรบ้าง และต้องรอดูด้วยว่าคนที่โอนเขามีหลักฐานชัดเจนไหมว่า โอนเพื่อทำบุญหรือให้พระยืม ซึ่งตรงนี้คือจุดสำคัญของเรื่อง

หากยืมเพื่อการส่วนตัว เจ้าอาวาสต้องรับผิดชอบเอง :

ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่าสามารถมายึดโบสถ์ไปได้ ต้องเรียนว่าตรงนี้ทำไม่ได้ เพราะโบสถ์ถือเป็นสาธารณสมบัติของวัด ฆราวาสจะไปยึดเป็นของตนได้อย่างไร ส่วนการสอบสวนครั้งนี้หากผลออกมาว่าเป็นการยืมเงินจริง ผู้ยืมก็ต้องใช้คืนตามกฎหมาย กรณีที่ต้องใช้หนี้ ถ้าเจ้าอาวาสยืมจริงและเอามาใช้ในกิจการของวัดจริง ก็สามารถใช้เงินของวัดชำระหนี้ได้ แต่ถ้าท่านยืมเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัว ท่านต้องรับผิดชอบเอง

"กรณีนี้ที่เกิดขึ้น กลายเป็นว่าโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวไม่ใช่บัญชีของวัด ทำให้หากเจ้าอาวาสอ้างว่ายืมให้วัดมันก็ตอบยาก เพราะการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวมันตีความได้หลายอย่าง"

...

นายสุพัฒน์กล่าวว่า การโอนเงินเข้าบัญชีวัดไม่ได้ทำให้วัดใช้จ่ายยาก เพราะวัดมีคณะกรรมการทำบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่แล้ว ซึ่งปกติเจ้าอาวาสก็ช่วยดูเรื่องนี้ด้วย มันจึงไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร ทางวัดก็จะทำบัญชีรายงานให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติอยู่ ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าโอนเงินให้วัด การโอนตรงเข้าบัญชีวัดจะดีที่สุด

"พระทุกรูปต้องพึงระมัดระวัง เพราะถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา คนภายนอกเขาไม่รู้หรอกว่ายืมหรือไม่ยืม เพราะเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แต่ถ้าจะยืมก็ต้องมีหลักฐานชัดเจน ยิ่งบอกว่าถ้ายืมให้กับวัดยิ่งต้องมีหลักฐาน"

สถานการณ์ล่าสุด วันนี้ (5 ก.ย. 2567) เวลาประมาณ 10.00 น. ณ ห้องประชุมของวัดต้นเรื่อง นายคมสัน ญาณวัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยนายสมชาย ตรีณาวงษ์ นายอำเภอลำลูกกา และคณะสงฆ์ ได้ร่วมประชุมหารือเรื่องดังกล่าว แต่ไม่ได้ยินยอมให้สื่อมวลชนเข้ารับฟังการประชุม

.........

อ่านบทความที่น่าสนใจ:

...