เหตุสะพานถล่มในพื้นที่ลาดกระบัง มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บกว่า 7 คน ขณะนี้มีการเคลื่อนย้ายคานปูนออกจากพื้นที่ แต่เหตุการณ์นี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประเมิน 3 ทฤษฎีที่ทำให้สะพานถล่ม เพื่อวางมาตรการในการแก้ไข ทั้งมาตรฐานการก่อสร้าง และแนวทางป้องกันในอนาคต
โครงการก่อสร้างทางยกระดับย่านลาดกระบังพังถล่ม รศ.ดร.วัชรินทร์ กาสลัก นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมสะพานลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุร่วมกับตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลาง และ พนักงานสอบสวน สน.จรเข้น้อย เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุอีกครั้ง นำไปประกอบสำนวนคดี ก่อนจะแจ้งความกับบริษัทผู้รับเหมาต่อไป
การลงพื้นที่ตรวจสอบตลอด 3 วันที่ผ่านมา เพื่อหาสาเหตุยืนยันว่าได้ข้อมูลแล้วส่วนหนึ่ง แต่ต้องรอเอกสารแบบแปลนก่อสร้าง TOR และบันทึกการก่อสร้างประจำวัน เพราะจะสามารถอธิบายได้ว่าในแต่ละวัน วิศวกรคุมงานและคนงานก่อสร้างทำอะไรไปบ้างในช่วงที่เกิดเหตุสะพานถล่ม หากมีการดำเนินการส่งเอกสารทั้งหมดได้เร็ว จะสามารถวินิจฉัยสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ภายใน 7 วัน
...
หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีนี้ได้คือกล้องวงจรปิด และกล้องหน้ารถขณะเกิดเหตุจากพลเมืองดี หากใครมีเพิ่มเติมสามารถส่งเข้ามาได้ และ กทม.ควรสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเดินหน้าก่อสร้างสะพานต่อไป แต่ยังคงไม่ตัดประเด็นการรีบเร่งในการก่อสร้าง เพื่อให้แล้วเสร็จตามสัญญาในปี 2567 นี้ เพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญในการที่จะระบุได้ว่า อาจมีการเปลี่ยนวิธีในการก่อสร้าง เพื่อให้เสร็จเร็วขึ้นหรือไม่ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบทุกด้าน
จากเหตุการณ์สะพานพังถล่มระหว่างการก่อสร้าง ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เผยว่า สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่และซากสะพานที่ถล่มลงมา เพื่อรวบรวมข้อมูลและตั้งสมมติฐานสาเหตุที่เป็นไปได้ในทางวิชาการจากข้อมูลที่ได้รับ นำไปสู่สมมติฐานทฤษฎีการพังถล่มของสะพาน โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก จุดตั้งต้น หรือโดมิโนตัวแรก คือจุดตั้งต้นของการพังถล่ม เนื่องจากการพังถล่มเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง โดยเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่งก่อน แล้วลุกลามไปสู่ส่วนอื่นเป็นทอดๆ จนโครงสร้างทั้งหมดถล่มลงมา สำหรับในประเด็นนี้ คาดว่าน่าจะเกิดจากการพังถล่มของคานสะพานก่อน จากนั้นนำไปสู่การพังทลายของเสาต้นกลาง ทำให้โครงเหล็กเสียจุดรองรับและร่วงลงมา และดึงรั้งให้เสาต้นหน้าหักลงมาในท้ายที่สุด
ประเด็นที่ 2 ข้อสมมติฐานสาเหตุการพังถล่ม ในประเด็นนี้มีการตั้งสมมติฐานไว้เป็น 2 แนวคิด โดยแนวคิดแรกเห็นว่า การวิบัติเกิดขึ้นในขณะดึงลวดอัดแรง ขั้นตอนนี้จะสร้างแรงอัดมหาศาลเข้ากับตัวสะพาน ทำให้เกิดการวิบัติของคอนกรีตที่บริเวณรอยต่อ ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดอ่อน เพราะขณะนั้นคอนกรีตอาจยังพัฒนากำลังรับน้ำหนักไม่เต็มที่ เมื่อรอยต่อพังทลาย ทำให้เกิดการกระจายแรงมหาศาลไปสู่บริเวณอื่นแทน ซึ่งเกินกว่าที่สะพานจะรับน้ำหนักได้ จึงเกิดการพังทลายต่อเนื่องไปในลักษณะคล้ายการล้มของโดมิโน
ส่วนแนวคิดที่เห็นว่า ตำแหน่งจุดรองรับของโครงเหล็ก ที่ตั้งอยู่บนสะพานคอนกรีตอาจจะไม่เป็นไปตามแบบ หรือโครงเหล็กมีการเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ไม่ได้มีการคำนวณ หรือรีบเคลื่อนที่ไปก่อนที่จะดึงลวดอัดแรงครบถ้วน เลยทำให้บางจังหวะ โครงเหล็กไปเหยียบบนปลายยื่นของสะพาน หรือตำแหน่งอื่นที่สร้างแรงดัดมหาศาลในคานสะพาน จนทำให้ทั้งคานและเสาหัก จากนั้นโครงเหล็กจึงร่วงตามลงมา
การสรุปสาเหตุที่แท้จริงว่าจะเป็นตามแนวคิดใด หรือเป็นร่วมกันทั้งสองแนวคิด อาจมีแนวคิดอื่นๆ อีกหรือไม่ ต้องอาศัยหลักนิติวิศวกรรมศาสตร์ โดยเป็นการวิเคราะห์ย้อนกลับจากซากอาคาร แล้วเชื่อมโยงกับข้อมูล ได้แก่ แบบรายการคำนวณขั้นตอนการทำงาน ขั้นตอนการเคลื่อนที่ของโครงเหล็ก ตลอดจนคุณภาพของวัสดุที่ใช้ เช่น คอนกรีต ลวดอัดแรง
...
ประเด็นที่ 3 บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์คือโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ มีความเสี่ยงและอันตรายในทุกขั้นตอนของการก่อสร้าง หลักปฏิบัติทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการก่อสร้างนั้นมีอยู่แล้ว แต่อาจมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้และการตรวจสอบ ในปัจจุบันยังมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ลักษณะนี้อีกมาก การพังถล่มแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้อีก ในเชิงนโยบาย ภาครัฐจึงควรร่วมมือกับภาควิชาชีพ สร้างกลไกการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอย่างจริงจัง เช่น การจัดให้มีคณะผู้ตรวจอิสระ ที่มีความรู้และอำนาจในการเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างต่างๆ
โดยเฉพาะโครงการที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มงวด อีกทั้งต้องเอาจริงกับผู้ที่ย่อหย่อนไม่ปฏิบัติตามหลักวิศวกรรมและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ต้องยึดถือเอาความปลอดภัยของสาธารณะเป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินโครงการ.