“เศรษฐา ทวีสิน” เปิดใจเฉลยข้อความในทวิตเตอร์ “ผมอยู่เพื่อไทยครับ” หมายถึงอะไร ย้ำยังไม่ตกลงว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่
หลังมีการรีทวีตกันสนั่นโลกทวิตเตอร์ ลุกลามไปถึงโซเชียลมีเดียอื่นๆ และสื่อมวลชนเองก็รายงานข่าวกันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันว่า “เศรษฐา ทวีสิน” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ในฐานะประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยอมรับแล้วว่าจะอยู่พรรคเพื่อไทย จากข้อความที่ “เศรษฐา ทวีสิน” ทวีตประโยคเดียวที่ว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ”
ล่าสุด “เศรษฐา ทวีสิน” ได้เปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจลงเล่นการเมือง และอธิบายว่าข้อความในทวีตที่ว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ” นั้นหมายถึง “ผมอยู่เพื่อประเทศไทยนะครับ” แต่ก็ยอมรับว่า ถ้าลงเล่นการเมือง ก็จะอยู่พรรคเพื่อไทยแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ตัดสินว่าจะลงเล่นการเมืองแน่นอนหรือไม่
...
“ความจริงผมต้องวงเล็บคำว่า (ประเทศ) แต่ถ้าผมจะลงเล่นการเมือง ก็อยู่พรรคเพื่อไทยครับ” เศรษฐา ทวีสิน กล่าวย้ำกับไทยรัฐออนไลน์
ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ยังไม่ขอพูดถึง
สำหรับความเป็นมาของกระแสข่าวนี้ มาจากกรณีที่เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ บัญชีของ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ชื่อว่า Srettha Thavisin @Thavisin ได้โพสต์ภาพโปร์ไฟล์พร้อมกับข้อความว่า “6-8 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไปผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก”
จากข้อความดังกล่าว ทำให้มีผู้สนใจ มีผู้กดไลค์ ส่งต่อข้อความ และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นคนหนึ่งเขียนว่า “ถ้าท่านมาอยู่เพื่อไทย ผมเลือกเพื่อไทยครับ” และ “เศรษฐา ทวีสิน” ตอบกลับว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ”
หลายคนอาจสงสัยว่า เศรษฐา ทวีสิน คือใคร ความจริงแล้วในแวดวงนักธุรกิจ ปัจจุบันอายุ 59 ปี เขาเป็นที่รู้จักอย่างดีเพราะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แบรนด์แสนสิริ ที่ประสบความสำเร็จ หากวัดจากผลประกอบการล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ผ่านมา แสนสิริมีรายได้รวมทั้งสิ้น 8,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 หรือ 1,626 ล้านบาท เมื่อเทียบจาก 7,229 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564 สำหรับกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 102 หรือ 640 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
"เศรษฐา ทวีสิน" ถือหุ้นในแสนสิริ 661,002,734 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 4.44 ของหุ้นทั้งหมด หากคิดเป็นมูลค่าประมาณ 925 ล้านบาท (ราคาปิดตลาดหุ้นละ 1.40 บาท ณ วันที่ 18 พ.ย. 2565)