“Open Connect Balance” ธีมหลักที่ประเทศไทยภูมิใจนำเสนอต่อชาวโลกในเวทีการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย 1. เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ (Open) หมายถึงการเปิดกว้างทางการค้าและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ผ่านการขับเคลื่อนเขตการค้าเสรี 2. สร้างการเชื่อมโยงทุกมิติ (Connect) หมายถึง หลังการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จะมีการฟื้นฟูการเดินทางที่สะดวกและปลอดภัยผ่านการจัดตั้งกลไกการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่ออำนวยความสะดวกและรื้อฟื้นการเดินทางข้ามพรมแดนในภูมิภาคอย่างปลอดภัยไร้รอยต่อ และ 3. สร้างสมดุลรอบด้าน (Balance) หมายถึง การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่เน้นสร้างสมดุลในทุกด้านมากกว่าสร้างกำไรผ่านการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีแง่มุมใดที่น่าสนใจ และคำถามสำคัญไปกว่านั้น มันจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ด้วยฝีมือรัฐบาลไทย วันนี้ “เรา” ไปร่วมรับฟังบทวิเคราะห์ในประเด็นเหล่านั้นกับ ดร.วิศาล บุปผเวส ที่ปรึกษา TDRI

ดร.วิศาล บุปผเวส ที่ปรึกษา TDRI
ดร.วิศาล บุปผเวส ที่ปรึกษา TDRI

...

“การที่ประเทศไทยได้ขับเคลื่อนธีมหลักคือ Open Connect Balance ในการประชุมเอเปก 2022 ในความเห็นส่วนตัว ต้องยอมรับว่าเป็นแนวความคิดที่ดีทั้งสิ้น แต่ประเด็นก็คือ...จะมีการนำไปปฏิบัติได้ดีมากน้อยแค่ไหนเพียงใด? ผมก็หวังว่าคงจะไม่เป็นเพียงแค่ Lip service เท่านั้น เพราะเวลาพูดมันพูดง่าย แต่เวลาไปทำจริงๆ มันก็มักจะมีปัญหาว่า ไม่ค่อยได้ทำกันจริงๆจังๆ แล้วก็เวลาทำ ก็มักจะไปทำแบบผิดๆพลาดๆ คนคิดอย่างหนึ่ง คนทำเป็นอีกคนหนึ่ง อีกทั้งคนที่ทำ ก็มักจะไม่ทำตรงกับที่คนคิด ได้คิดเอาไว้ ประเทศไทยเราเป็นแบบนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ...อะไรก็ตามที่เรานำเสนอในการประชุมเอเปกครั้งนี้ ถือเป็นข้อผูกพันธ์ ที่เราจะต้องทำให้ได้ในส่วนของเราด้วย” ดร.วิศาล เริ่มต้นการสนทนา กับ “ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์”

คำถามคือ...เราจะทำกันจริงหรือไม่ แล้วถ้าจะทำ ทำเป็นหรือไม่? :

Open Connect Balance :

สำหรับประเด็นการนำเสนอในการประชุมเอเปกครั้งนี้ ดร.วิศาล กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ต่อไปว่า ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าทุกอย่างดีหมดไม่มีข้อท้วงติงใดๆและทุกภาคส่วนก็คงเห็นตรงกัน แต่ประเด็นสำคัญคือ ประเทศไทยจะทำจริงๆได้แค่ไหน? จะทำอย่างไร? จะมีระบบจูงใจให้เกิดพฤติกรรมในด้านภาคเอกชน ภาคการเกษตร และภาคบริการ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน? รวมถึงจะทำอย่างไรให้ธุรกิจเหล่านั้นเป็นธรรมชาติไปกับเป้าหมายที่วางไว้

“แต่จนถึงตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นเลย เพราะเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน นอกจากจะไม่ชวนให้เกิดแรงจูงใจแล้ว ยังสวนทางกับเป้าหมายหรือผลลัพท์ทางเศรษฐกิจที่คาดหวังไว้ด้วยซ้ำไป”

Balance :

ความพยายามชูประเด็นเรื่องการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งดูจะเป็นประเด็นหลักที่รัฐบาลไทยพยายามผลักดันในการประชุมเอเปกครั้งนี้ ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า ในทางปฏิบัติยังห่างไกลจากแนวนโยบายนี้ หากย้อนกลับไปพิจารณามาตรการจูงใจต่างๆ ของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI จะพบว่าค่อนข้าง “ย้อนแย้ง” กับ นโยบาย BCG พอสมควร

ยกตัวอย่างเช่น การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจชายแดน ที่มีมาตรการจูงใจโดยให้ผู้ลงทุนสามารถนำ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าขนส่งมาหักภาษีได้ 2 เท่า ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเป็นการเปิดทางไปสู่การสนับสนุนให้นักลงทุนสามารถใช้ทรัพยากรเหล่านั้นได้ฟรีๆ แถมให้รางวัลเพิ่มให้อีกหนึ่งเท่าตัว ซึ่งเป็นการจูงใจให้ใช้ทรัพยากรอย่างเกินจำเป็นใช่หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น คำถามสำคัญ คือ “คุณคิดว่านักลงทุนเหล่านั้นจะตั้งใจประหยัดการใช้ทรัพยากรได้จริงหรือ?”

...

“เขาจะประหยัดทำไม ในเมื่อยิ่งใช้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งหักภาษีได้มาก คุณว่าจริงไหม?”

นอกจากนี้ ไทยควรพยายามปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเลิกทำในสิ่งที่ไม่เก่ง แล้วไปทำในสิ่งที่เก่ง และเพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ภาครัฐกลับไปยืดอายุการยกเว้นภาษีรายได้นิติบุคคลแก่นักลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน คำถามสำคัญสำหรับประเด็นนี้ คือ “คุณคิดว่านักลงทุนเหล่านั้นจะกระตือรือล้นที่จะปรับเปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบันหรือไม่?”

“เขาจะต้องไปปรับเปลี่ยนทำไม ในเมื่อไม่มีแรงจูงใจหรือแรงกดดันที่จะทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยน เขาก็อยู่แบบนั้นของเขาไปจนกว่าจะใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้จนกว่าจะมีทางเลือกใหม่ที่มีผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงต่ำกว่า ฉะนั้นเราจึงต้องหาเครื่องมือใหม่ๆเพื่อล่อให้เขาปรับเปลี่ยนจริงไหม?”

Open และ Connect :

“กรณีการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) หรือ FTA เวลาศึกษาก็ให้ฝ่ายนักวิชาการเป็นผู้ทำวิจัยพร้อมข้อเสนอแนะได้อย่างเต็มที่ แต่พอถึงเวลาไปเจรจากับประเทศคู่ค้าเข้าจริงๆก็กลับไม่ยอมเปิดเสรีภายใต้ FTA นั้น กับใครได้ง่ายๆ เช่น พยายามลดภาษีศุลกากรแต่น้อยๆ ทำให้มีผลในการเปิดเสรีการค้าน้อยมากและช้าเกินควร”

...

ที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะมีการทำความตกลงเขตการค้าเสรีจำนวนมาก เรียกว่าไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่หากลองไปวิเคราะห์ตามข้อมูลที่มี ณ ปัจจุบัน จะพบว่า “ไทยแทบไม่ได้ลดกำแพงภาษีเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลง FTA เลยก็ว่าได้” โดยสินค้าตัวไหนที่ประเทศคู่เจรจาเก่งกว่า ผลการเจรจามักจะไม่ค่อยมีการยอมลดกำแพงภาษี ยังคงปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ โดยรอเวลานานกว่าจะลดภาษีอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่กลับกันสำหรับกรณีสินค้าที่ประเทศคู่เจรจา ไม่เก่งในการผลิตสินค้าใด เราก็ยินยอมลดภาษีศุลกากรให้ประเทศนั้น

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ ผลการทำความตกลงการค้าเสรีของไทย ทำให้ไทยมีโครงสร้างภาษีศุลกากรแตกต่างกันระหว่างชนิดสินค้า ระหว่างประเทศคู่ค้า และระหว่างกรอบความตกลงการค้าเสรีต่างๆ

สิ่งที่มักเกิดขึ้นตามมา คือ ภาระในการตรวจปล่อยสินค้าให้ตรงตามข้อผูกพัน คำถามสำหรับประเด็นนี้คือ “เมื่อเป็นแบบนี้ประเทศไทยจะได้อะไรจากการทำ FTA?"

ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากการมีโครงสร้างภาษีศุลกากรที่ซับซ้อนเช่นนี้ หากไม่ได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์อาจจะไม่เข้าใจ ว่ามันจะสร้างการ “บิดเบือน” การค้า “แทนที่จะได้ซื้อของจากผู้ผลิตที่เก่ง ก็จะซื้อน้อยกว่าที่ควร เพราะมีการตั้งกำแพงภาษีที่ทำให้สินค้ามีราคาแพงกว่าที่ควร และซื้อจากประเทศที่ไม่เก่งมากกว่าที่ควร เมื่อเป็นแบบนี้ คำถามสำคัญ คือ ตกลงประเทศไทยได้หรือเสีย?”

“อาจเป็นความเข้าใจผิดว่า การลดภาษีศุลกากรเป็นการเสียประโยชน์ของประเทศ ความจริงคือ ภาครัฐมีรายได้จากภาษีศุลกากรลดลง ผู้ผลิตในประเทศที่ไม่เก่งเสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศ

...

ผู้บริโภคในประเทศได้ประโยชน์ คือ ได้สินค้าคุณภาพดีขึ้นและราคาถูกลง ผลลัพธ์โดยรวมของประเทศได้ประโยชน์สุทธิใช้ทรัพยากรในประเทศมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและประชาชนได้รับสวัสดิภาพสังคมสูงขึ้น

การปกป้องกันผู้ผลิตในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยอ่อนแอลง เพราะนอกจากเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรแล้ว ยังเป็นผลให้ไม่เกิดการปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่การใช้ทรัพยากรในประเทศที่มีประสิทธิภาพและผลิตภาพสูงขึ้น

“มาตรการทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาเกิดจาก การคิดที่ไม่ละเอียดมากพอ คือคิดแต่ว่าจะจูงใจนักลงทุนแต่ไม่ได้คิดถึงนัยสำคัญที่มีของแต่ละเครื่องมือที่ใช้ ว่าในท้ายที่สุดมันจะนำไปสู่พฤติกรรมอะไร และเป็นพฤติกรรมที่เราพึงประสงค์หรือไม่?”

ด้วยเหตุนี้ “ภาครัฐ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “รัฐบาลและระบบราชการไทย” จะต้องใช้ความละเอียดให้มากขึ้นในการจัดทำขั้นตอนและเครื่องมือทางเศรษฐกิจต่างๆให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ “ผลลัพท์” ตามสิ่งที่ได้เสนอในการประชุมเอเปกครั้งนี้

เอเปก กับ ผลลัพท์เขตการค้าเสรี :

“หากถามว่าเหตุใดเอเปกก่อตั้งกันมาตั้งนานแล้ว จึงไม่สามารถบรรลุเรื่องการทำความตกลงเขตการค้าเสรีเสียที คำตอบของเรื่องนี้ คือ เพราะเอเปกไม่ได้เป็นเวทีสำหรับการมาแลกเปลี่ยนมาตรการทางการค้าการลงทุน ที่จะเป็นตัวชี้วัดของการเปิดเขตการค้าเสรี”

ในความเห็นส่วนตัว เอเปก คือ เวทีของความคิด นโยบายเป็นหลัก ไม่มีการเจรจาต่อรองเรื่องการค้าอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าจะมีเป้าหมายในประเด็นนี้อยู่ก็ตาม เพียงแต่เป็นมันเป็น “เป้าหมาย” ที่ไม่มีการผูกพันธ์ระหว่างกัน และเป็นไปในลักษณะ การกำหนดเจตนารมณ์ด้วยใจ ด้วยวาจา ไม่มีเงื่อนไขหรือข้อแลกเปลี่ยน พอกลับบ้านก็ไม่มีใครทำอะไร ทุกอย่างก็จบ ซึ่งแตกต่างจากการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีต่างๆ ที่มีพันธะผูกพัน (แม้อาจจะผูกพันไว้อย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม) อย่างเห็นได้ชัด "ดร.วิศาล บุปผเวส" ที่ปรึกษา TDRI ให้ความเห็นในท้ายที่สุด...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประชุมเอเปก ถกเศรษฐกิจปนการเมือง จับตาคู่ขัดแย้งกับการวอล์กเอาต์

ประชุมเอเปก กับสิ่งที่ต้องโฟกัส บทบาทของสหรัฐฯ

ไทย จะได้อะไรจากการประชุม เอเปก 2022

เอเปก กับ จุดเด่นและจุดขายที่รัฐบาลไทยควรนำเสนอ

"ปลากุเลาเค็มตากใบ" มีดีอะไร? ทำไมถูกเลือกขึ้นโต๊ะเสิร์ฟผู้นำเอเปก