เศรษฐา ทวีสิน บุคคลที่ถูกร่ำลือว่าจะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในโควตาพรรคเพื่อไทย หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ในฐานะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย เศรษฐา ก็มักมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองอยู่เป็นระยะ และจนถึงล่าสุดกับทีมข่าวไทยรัฐกรุ๊ป
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แม้จะเป็นนักธุรกิจ แต่ก็มองเห็นปัญหาของสังคม อย่างปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่ต้องแก้ไขในหลายมิติ รวมไปถึงหนี้นอกระบบ นอกเหนือจากปัญหาปากท้อง รายได้ของคนไทย ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจที่มีวิกฤติมากมาย
“ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาที่หยั่งรากลึก ที่เป็นห่วงปัจจุบันคือปากท้อง คนรวย รวยมาก คนจน จนมาก ถ้าปัญหายังถ่างไปเรื่อยๆ รากฐานการเดินไปข้างหน้าของประเทศก็จะเดินไปลำบาก ซึ่งต้องแก้หลายมิติ อย่างทางสังคม เศรษฐกิจ ระบบสาธารณสุข ที่เข้าถึงไม่เท่ากัน เรื่องการศึกษา ที่ชนชั้นสูงมีโอกาสเลือกเข้าโรงเรียนไหนก็ได้ แต่มีเด็กล้านกว่าคนที่สุ่มเสี่ยงตกในระบบการศึกษา”
ทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ คือ ต้องแก้อย่างบูรณาการ ไม่ใช่เฉพาะหน้า ทั้งทางด้านการคลัง โดยเฉพาะเรื่องภาษีบางประเภท ซึ่งภาษีถือเป็นเครื่องมือด้านการการคลังที่นำมาซึ่งความเสมอภาคด้านสังคม คนมีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก ใครใช้ทรัพยากรมากก็จ่ายภาษี และรัฐควรกลับไปทบทวนภาษีบางประเภท อย่างภาษีความมั่งคั่ง ภาษีมรดก ภาษีลาภลอย ถึงเวลาที่รัฐต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง
...
ส่วนทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตนั้น มีความเกี่ยวโยงกันทั้งด้านสังคม และการเมือง ซึ่งประเทศไทยถึงเวลาพอดีที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป แนวคิดคือใครชอบคนที่ทำงานปัจจุบันก็เลือกเขา ถ้าไม่ชอบก็เลือกอีกพวกที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดยส่วนตัวแล้วอยากได้รัฐบาลแบบไหนนั้น มองว่าสำคัญที่สุดคือเรื่องปากท้อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ รัฐบาลต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าทำสิ่งที่บางกลุ่มชอบ
นอกจากนี้ยังมองเรื่องการแสดงความคิดเห็น ที่ทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าก็แสดงความคิดเห็นได้ และอยากให้นักธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่มีบารมีด้านเศรษฐกิจ ออกมาแสดงความคิดเห็นบ้างในเชิงสร้างสรรค์ และฟังเสียงคนรุ่นใหม่ด้วย ไม่ใช่เห็นต่างแล้วผลักไสไล่ส่งกัน
ติดตามความเห็นจาก เศรษฐา ทวีสิน เพิ่มเติมได้จากเวทีสัมมนา ตื่นฟื้นฝัน ไทยรัฐ ฟอรั่ม 2022 (Thairath Forum 2022) วันที่ 19 ต.ค.นี้ เวลา 14.00 น. ผ่านช่องทาง Facebook และ YouTube ไทยรัฐออนไลน์.