ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ เหตุร้ายในบ้านเมือง สิ่งที่ตามมาคือ สปอตไลต์ทุกดวงของสื่อมวลชนจะมุ่งไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รอบลึกในทุกมิติ แต่... ก็มีหลายครั้งหลายหน เกิดผลกระทบด้านจิตใจ หมิ่นเหม่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จนประชาชนตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ “สื่อมวลชน” ว่ามีจริยธรรมเพียงพอหรือไม่ และเมื่อเกิดปัญหาจะร้องเรียนเอาผิดกับใคร...
เมื่อวาน (11 ต.ค.) มีการแถลงข่าวลงนาม MOU เกี่ยวกับ การส่งเสริมกลไกกำกับดูแลกันเอง ขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนในการร่วมมือกันรับเรื่องร้องเรียนด้านจริยธรรม โดยมุ่งหมายให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน “จัดการดูแลกันเอง” หากมีเรื่องร้องเรียนด้านจริยธรรมเกิดขึ้น
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2554 ที่เริ่มมี กสทช. ก็จะมีการใช้อำนาจเพื่อกำกับดูแลเนื้อหาที่เผยแพร่บนโทรทัศน์ แนวทางที่ทำมาโดยตลอด จะเน้นการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยเฉพาะส่วนเนื้อหา “ต้องห้าม” ตามมาตรา 37 พ.ร.บ.ประกอบกิจการเสียงกิจการโทรทัศน์ 2551 ว่าด้วยเนื้อหาที่ไม่สามารถออกอากาศได้ ประกอบด้วย
1.เนื้อหาที่ว่าด้วยการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
2.เนื้อหามีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3.มีการกระทำเข้าข่ายลามกอนาจาร
4.มีผลกระทบทำให้เกิดการเสื่อมทรามทางจิตใจ หรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
...
หากมีเรื่องร้องเรียนเข้ามา กสทช. ก็จะใช้เกณฑ์ต่างๆ ในการตีความ ว่าเข้าหลักเกณฑ์เหล่านี้หรือไม่ ซึ่งทุกเรื่องที่ร้องเข้ามา จะต้องตีความ ว่าเข้าข่าย “ส่งผลกระทบร้ายแรง” หรือไม่...
คณะกรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ อธิบายว่า จากการทำงานที่ผ่านมา ก็มีบางเรื่องที่ถูกร้องเรียน ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรง แต่ด้วย กสทช. พยายามใช้อำนาจตามที่มี บางเรื่อง อาจจะมีการตีความเกินขอบเขต ซึ่งการตีความในระดับสากล จะมีการแบ่งระดับออกเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อหาที่มีความผิดกฎหมาย และ เนื้อหาที่ผิดจริยธรรม ซึ่ง เนื้อหาที่ผิดจริยธรรม ไม่ใช่เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย
เราถูกตั้งคำถามว่า เนื้อหาที่ “ผิดจริยธรรม” ใคร...จะเป็นคนตัดสิน
ในหลักสากล จะมีองค์กรวิชาชีพ หรือ องค์กรกำกับดูแลในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งองค์กรของรัฐ ก็คือ กสทช. กำกับดูแล ซึ่งที่ผ่านมา ก็เกิดปัญหา เพราะอาจจะใช้อำนาจทางปกครองมากเกินไป เช่น การลงโทษด้วยการตักเตือน, ปรับ หรือ พักใช้ใบอนุญาต
ทั้งนี้ สังคมที่มีอารยะ องค์กรของภาคเอกชน จะต้องมีบทบาท “องค์กรสื่อ” ก็ถือเป็นสถาบันที่มีบทบาทในสังคม เพราะเป็นผู้กำหนดวาระข่าวสารในสังคม ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ในฐานะนักวิชาชีพ ก็มีความต้องการที่จะดูแลบทบาทของตัวเอง โดยมีภาครัฐข้องเกี่ยวน้อยที่สุด ยกเว้นเรื่องร้ายแรง
“ด้วยเหตุนี้ องค์กรวิชาชีพ และองค์กรที่ต้องกำกับดูแลกันเอง จึงจำเป็นต้องแสดงบทบาท กำกับดูแลกันเอง โดยจะมีกระบวนการ (คล้ายกับ กสทช.) คือ รับเรื่องร้องร้องเรียน มีกระบวนการให้ผู้ที่ถูกร้องเรียนมาชี้แจง โดยใช้หลักจริยธรรมในการพิจารณา แต่สิ่งที่ต้องทำให้รู้ คือต้องทำให้เข้มแข็ง ทั้งนี้ กสทช. เองก็ยังมีการตรวจสอบ มอนิเตอร์หลังออกอากาศ”
หน้าที่หนึ่งของ กสทช. คือ การส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับอนุญาตเพื่อสร้างมาตรฐานในการสร้างจริยธรรม จึงเป็นที่มาของการลงนามความร่วมมือกันรับเรื่องร้องเรียนด้านจริยธรรม กับ 3 องค์กรวิชาชีพสื่อ ได้แก่
1. สมาคมสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย)
2. สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
3. สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวว่า ในสมาคม และสภาวิชาชีพสื่อฯ ทั้ง 3 แห่ง จะเป็นการรวมสมาชิกที่มาจากทีวีดิจิทัล ครบทุกแห่ง ซึ่งแต่ละแห่ง อาจจะอยู่ในสมาคมฯ สภาการฯ หรือ สภาวิชาชีพฯ
“ทุกสื่อจะมีตัวแทนใน 3 องค์กรนี้ เพื่อทำความร่วมมือในการรับเรื่องราวร้องเรียนด้านจริยธรรม โดยมีจุดเชื่อมโยงกับ กสทช. คือ ตามมาตรา 40 ผู้ได้รับผลกระทบ (ผู้เสียหาย) จากการออกอากาศ ตามใบอนุญาตของ กสทช. สามารถร้องเรียนเข้ามาที่ กสทช. ได้ และ ตามกฎหมาย กสทช. จะต้องส่งเรื่องให้กับ องค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมา ปัญหาคือ สำนักงาน กสทช. ไม่มีตัวเชื่อมโยง (เพราะไม่รู้จะส่งให้ใคร) เพราะหากส่งให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง มันจะผูกพันกับกฎหมาย เพราะต้องเกิดผลลัพธ์ที่ติดตามได้ เพราะตามกฎหมาย กสทช. ต้องแจ้งผลกับผู้ร้องเรียนด้วย”
...
เมื่อมี 3 องค์กรนี้ ลงนาม MOU ขึ้น โดยจะมีหน่วยงานรับร้องทุกข์ ร้องเรียน กสทช. ก็จะสามารถติดตามผลจาก การร่วมมือครั้งนี้ได้
ดังนั้น หากเป็นเรื่องร้องเรียนในเชิง “จริยธรรม” ทาง กสทช. จะไม่รับพิจารณา จะส่งเรื่องให้กับ 3 องค์กรสื่อฯ ในการจัดการดูแล แต่เมื่อได้ผลการพิจารณาแล้วก็ต้องส่งให้ กสทช. รับทราบ
เมื่อเปิดโอกาสให้สื่อฯ ดูแลกันเอง แบบนี้จะมีบทลงโทษหรือไม่ ศ.ดร.พิรงรอง ยอมรับว่า ไม่มีบทลงโทษจาก กสทช. ผลที่ออกมาจะมีลักษณะบทลงโทษตามองค์กรวิชาชีพสื่อฯ เช่น การตักเตือน หรือจะให้ออกตามแต่บริษัท ซึ่งทาง กสทช. ก็มีแนะนำว่า ควรจะมีการบันทึกผลการวินิจฉัยเพื่อเป็นสถิติ หรือเป็นตัวเตือน...ซึ่งองค์กรวิชาชีพก็กำลังพิจารณากันอยู่
“สิ่งที่เราขออย่างเดียว คือ “เงื่อนของเวลา” หากมีการพิจารณาปมจริยธรรมแล้ว จำเป็นต้องตอบภายในกี่วันโดยมีกรอบระยะเวลาเป็นตัวกำหนด ซึ่งของ กสทช. เอง มีกรอบ 90 วัน ส่วนของ 3 องค์กรวิชาชีพสื่อฯ ก็จำเป็นต้องไม่เกิน 90 วัน”
เมื่อถามว่า จากการร่วมมือนี้ จะมีการ “ช่วยเหลือกันเอง” หรือไม่ จะตรวจสอบอย่างไร ศ.ดร.พิรงรอง กล่าวว่า มันก็เป็นเรื่องลำบาก เพราะการลงนามนี้ทำด้วย “ความเชื่อใจ” จึงจำเป็นต้องให้เกียรติ และให้โอกาส หากไม่มี 3 สิ่งนี้กระบวนการนี้จะเกิดไม่ได้
...
“ส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้มั่นใจ 100% แต่ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็จะถูกโยนมาที่ กสทช. ทั้งหมด” ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ
ทำไมรัสเซียต้องปรับกลยุทธ์ในสงครามยูเครน
วิถีปราบยาบ้า สไตล์ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร มือปราบยุคสงครามยาเสพติด
ฆาตกรคลั่งกราดยิงหนองบัวลำภู ไร้มโนสำนึก อาจป่วยทางจิต
แกะรอยอาชญาวิทยา อดีตตำรวจคลั่ง กราดยิงศูนย์เด็ก “หนองบัวลำภู” สตช.ต้องทบทวน!