ประเทศไทยจะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้อย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ยังมีปัญหาสั่งสม และซ้ำเติมด้วยการลงทุนใหม่เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจขาดตอน ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยลงทุนต่ำกว่าที่ควรเป็น จะมีก็แต่เพียงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพื่อช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพื่อช่วยให้ไทยเข้าสู่ช่วงฟื้นฟูหลังโควิดผ่านพ้นไปได้อย่างแข็งแกร่ง
กรณีดังกล่าว กระทรวงคมนาคม ถือเป็นกระทรวงหลักในการดูแลการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคของประเทศ โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวยืนยันว่า “แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่เราไม่ได้หยุดหรือชะงักการลงทุนในโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายคมนาคมของประเทศ เพราะเห็นความจำเป็นที่จะต้องเตรียมการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับการค้า และการลงทุนใหม่ๆ จากต่างประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ การขนส่ง ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
...
นอกจากนั้น ยังมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ยกระดับการใช้ชีวิตและคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการไหนที่สามารถดำเนินการได้ เราก็เร่งดำเนินการต่อเนื่อง ส่วนโครงการไหนยังทำไม่ได้ทันที ก็ศึกษาข้อมูลเตรียมไว้เพื่อให้ดำเนินการได้ทันทีในอนาคต”
ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานคู่ขนานกัน ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อให้เกิดโครงข่ายคมนาคมที่สมบูรณ์ของประเทศไทย และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งแต่ละโครงการมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก ขณะที่หลายโครงการเป็นการลงทุนต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนระยะกลางและยาวที่จะลงทุนในอนาคต
เช็กความคืบหน้ารถไฟฟ้าเมืองกรุง 14 สาย
เริ่มต้นจากการอัปเดตความคืบหน้ารถไฟฟ้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล 14 สาย (สี) ระยะทาง 554 กิโลเมตร ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 6 สาย 11 เส้นทาง ได้แก่
-สายสีเขียว 4 เส้นทาง คือ หมอชิต-สมุทรปราการ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ และสนามกีฬาแห่งชาติ-บางหว้า
-สายสีน้ำเงิน 2 เส้นทาง บางซื่อ-หัวลำโพง หัวลำโพง-บางแค
-สายแอร์พอร์ตลิงก์ 1 เส้นทาง พญาไท-สุวรรณภูมิ
-สายสีม่วง 1 เส้นทาง บางใหญ่-เตาปูน
-สายสีทอง 1 เส้นทาง กรุงธนบุรี-คลองสาน
-สายสีแดง 2 เส้นทาง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน
ขณะที่มีอีก 4 สายที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะเปิดใช้บริการได้ในเร็วๆ นี้ คือ
-สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี เปิดบริการ ก.ค. 2566
-สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และแยกรัชดา-ลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน เปิดให้บริการ มิ.ย.2565
-สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ส่วนนี้คาดว่าจะเสร็จเดือน ธ.ค.2568 และช่วงสุดท้าย แอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง จะเปิดให้บริการ ปี 2570
ส่วนสายที่อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุน และเปิดประมูล มีอีก 4 สาย ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป คือสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์ สายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก ตลิ่งชัน-ศาลายา และตลิ่งชัน-ศิริราช และสายสีแดงเข้ม รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และบางซื่อ-หัวลำโพง ขณะที่สายที่ยังต้องรอต่อไปในอนาคต คือ สายสีเขียวอ่อน สีฟ้า สีเทา และสีน้ำตาล
ปี 2565 เปิดหวูดรถไฟทางคู่ 1,111 กิโลเมตรทั่วไทย
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปรางรถไฟทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง และโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเชื่อมโยงตะวันออกสู่ตะวันตก เหนือสู่ใต้ และยังรองรับการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ซึ่งกระทรวงคมนาคม ได้วางแผนการลงทุนเพื่อพัฒนารถไฟทางคู่ในโครงข่ายทางรถไฟ ทั้งในส่วนของรางรถไฟเดิม และการก่อสร้างเส้นทางใหม่ ดังนี้
ในปี 2565 ก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะแรกจะแล้วเสร็จทั้งสิ้น 1,111 กิโลเมตรทั่วประเทศ รวมทั้งการเดินหน้าก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ระยะทาง 678 กิโลเมตร เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ (323 กิโลเมตร) และเส้นทาง บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม (355 กิโลเมตร) ขณะที่ระยะถัดไปจะเสนอขออนุมัติโครงการทางคู่ระยะที่ 2 อีก 7 โครงการ ระยะทางรวม 1,483 กิโลเมตร ทำให้เมื่อรวมกันแล้ว ประเทศไทยจะมีเส้นทางรถไฟทางคู่มากกว่า 3,200 กิโลเมตร ทั่วประเทศ
...
และยังมีโครงการคู่ขนานกับโครงการรถไฟทางคู่ กระทรวงคมนาคม คือจะดำเนินโครงการท่าเรือบก (DryPort) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า ตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อขนส่งทางรถไฟได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และตรงเวลา โดยได้จัดแผนแม่บทพัฒนาท่าเรือบกเสร็จแล้ว การท่าเรือแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการศึกษา และจัดทำรายงานการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP)
รถไฟความเร็วสูง มีเส้นไหนบ้าง
อีกโครงการหนึ่งซึ่งเป็นที่จับตาของคนไทยคือ โครงการรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐประกาศมาตลอดว่า จะสามารถช่วยในด้านการค้า การขนส่งและช่วยพัฒนาการท่องเที่ยว กระจายรายได้ในชุมชนเพิ่มขึ้นด้วย
โดยในปี 2565 มี 2 โครงการหลัก ที่กำลังเร่งดำเนินการคือ
1.โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร ความเร็วในการวิ่งรถสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง งบประมาณ 179,412 ล้านบท จะแล้วเสร็จปี 2569
...
2.โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย 356 กิโลเมตร ออกแบบแล้วเสร็จอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA โดยคาดว่าจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในปี 2565 นี้ และกำหนดใช้บริการในปี 2571
สำหรับอีกโครงการได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่าง กำลังเตรียมก่อสร้าง ที่เป็นการร่วมทุนกับเอกชน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างคาดจะเสร็จปี 2571 ส่วนช่วงอู่ตะเภา-ระยอง 40 กิโลเมตร กำลังจัดทำรายงาน การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ยังมีแผนก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเพิ่มเติม ในเส้นทางกรุงเทพฯ-พิษณุโลก 380 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างการหาข้อสรุปรูปแบบการลงทุน แผนระยะกลาง มีเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน เส้น พิษณุโลก-เชียงใหม่ และแผนระยะยาวอีก 2 สาย หัวหิน-สุราษฎร์ธานี 424 กิโลเมตร และสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ 335 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาทบทวนความเหมาะสมในการดำเนินการ
ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมชนบท
สำหรับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ซึ่งจะเป็นเส้นทางเชื่อมโยงแต่ละภูมิภาคของไทย ซึ่งจะช่วยทั้งการกระจายรายได้ และการลดต้นทุนการขนส่งทางถนน โดยเส้นที่กำลังเร่งดำเนินการอยู่ คือ
1.โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง บางปะอิน-โคราช หรือมอเตอร์เวย์ M6 ระยะทาง196 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 81,121 ล้านบาท ขณะนี้เสร็จแล้วประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ จะเริ่มเปิดใช้ในปี 2566 นี้
2.โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี 96 กิโลเมตร ดำเนินการแล้วประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ จะเปิดใช้ปี 2566 นี้เช่นเดียวกัน
...
3.โครงการต่อมา ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (ยกระดับ) บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว หรือมอเตอร์เวย์ M82 วงเงิน 32,220 ล้านบาท อยู่ระหว่างการหาผู้ร่วมทุนในปีนี้ และเปิดให้บริการในปี 2567 และทางพิเศษ พระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอก ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ขณะที่แผนในอนาคต ประกอบด้วย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์ ) หรือ เส้น M6 ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง M9 วงแหวนตะวันตก บางขุนเทียน-บางบัวทอง และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง M7 ช่วงต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างศึกษา และการหารูปแบบผู้ร่วมลงทุน
ขยายสนามบินรองรับนักท่องเที่ยวหลังยุคโควิด
ในกรณีของ “สนามบิน” นั้น นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า “ประเทศไทยจะยังคงเป็น ‘จุดหมายปลายทาง’ของการท่องเที่ยวโลกต่อไป โดยสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ประมาณการนักท่องเที่ยวที่จะเข้าสู่ประเทศไทยว่าจะมีสูงถึง 200 ล้านคนในปี 2574 การพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา และสนามบินอื่นๆ จะช่วยให้ประเทศไทยรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศได้มากขึ้น”
ในการเพิ่มศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคาร SAT -1 รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะเปิดให้บริการ เม.ย. 2565 ลงทุนส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือและส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักหลังที่ 1 ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก รวมทั้งการพัฒนาทางวิ่งเส้นที่ 3 รองรับเที่ยวบิน 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ ปี 2567
ขณะเดียวกันมีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 และหลังที่ 3 ปรับปรุงทางขับ Taxi way เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคนต่อปี ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม วงเงินลงทุน 32,292 ล้านบาท คาดเปิดให้บริการได้ในปี 2570
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา รองรับผู้โดยสาร 15.9 ล้านคนต่อปีในปี /2567 และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 ขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ขยายหลุมจอด และลานจอด รวมทั้งสาธารณูปโภคให้รองรับผู้โดยสารได้ 18 ล้านคนต่อปี คาดเปิดให้บริการได้ในปี 2570
แผนอนาคต “แลนด์บริดจ์ - MR-Map ถนนเศรษฐกิจ”
นอกจากนั้น ยังมีแผนงานในอนาคต ซึ่งในช่วงโควิดกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาศึกษาและปรับเปลี่ยนโครงการให้เหมาะสม และพร้อมจะเดินหน้าในครึ่งปีหลังของปีนี้ คือ แผนแม่บท MR-MAP หรือการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองร่วมกับระบบราง ใน 10 เส้นทางทั่วประเทศ จากเหนือมาใต้ 3 เส้นทาง และตะวันตกมาตะวันออก 7 เส้นทาง ซึ่งจะเป็นการสร้างโครงข่ายการค้า การลงทุนของประเทศ เชื่อมโยงระบบคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งเสริมการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค โดยมีผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินและผลกระทบอื่นต่อประชาชนจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมน้อยลงมาก
โครงการที่สำคัญ และจะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลให้กับประเทศคือ โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน หรือแลนด์บริดจ์ (Landbridge) ชุมพร-ระนอง โดยสร้างท่าเรือระนอง ในฝั่งอันดามัน และท่าเรือชุมพรในฝั่งอ่าวไทย เชื่อมต่อกับทางหลวงพิเศษ MR8 รถไฟทางคู่ รวมทั้งท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
การเดินทางผ่าน Landbridge ชุมพร-ระนอง ดังกล่าว จะลดระยะเวลาการเดินเรือ ผ่านช่องแคบมะละกาลงได้ถึง 4 วัน และจากการศึกษา จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชุมชนในพื้นที่และประเทศไทยประมาณ 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 460,000 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และจะเริ่มดำเนินโครงการในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
นอกจากนั้น ยังมีโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา ต.เกาะกลาง-ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ลดเวลาข้ามฟาก เหลือเพียง 2 นาที จากเดิมการเดินทางข้ามแพขนานยนต์ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ซึ่งจะลดระยะทางการเดินทางจาก 80 กิโลเมตร เหลือระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ
คนไทยได้อะไรจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนคำถามที่ว่า “คนไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกบ้าง” รมว.คมนาคม ระบุว่า เป้าหมาย ของการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐาน คือ “การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน การสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับความสามารถการแข่งขัน ลดต้นทุนค่าขนส่ง และเป็นประตูสู่การค้าการลงทุน”
ในมิติของคุณภาพชีวิตนั้น คนไทยควรมีการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสม มุ่งแก้ปัญหาการจราจรในเมืองใหญ่ และลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งส่วนนี้ โครงการรถไฟฟ้าในกทม.และปริมณฑล โครงการขนส่งมวลชนในเมืองภูมิภาค การสร้างทางด่วนเพิ่มเติม (พระราม 3-วงแหวน กทม.) ในกรุงเทพมหานคร และภูเก็ต (กระทู้-ป่าตอง) และการใช้ระบบ M-Flow การผ่านทางโดยไม่มีไม้กั้น จะเข้ามาตอบโจทย์นี้
ทั้งนี้ สถานีรถไฟฟ้า สถานีรถไฟ สถานีรถโดยสาร ท่าอากาศยาน ท่าเรือ โดยสารสาธารณะจะออกแบบรองรับผู้โดยสารที่เป็นคนพิการ และผู้สูงอายุ
ขณะที่ การสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้ง การเป็นประตูสู่การค้าการลงทุน การขยายทางหลวง 4 ช่องจราจรบนทางสายหลักเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว เกษตรกรรม การก่อสร้างสะพานเชื่อม Missing Link อาทิ เกาะลันตา ทะเลสาบ สงขลา ฯลฯ การก่อสร้าง Motorway สายใหม่ๆ ทางพิเศษเศรษฐกิจ MR-MAP รถไฟความเร็วสูง LandBridge ชุมพร-ระนอง ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่3 Smart Airport (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น ฯลฯ) และท่าเรือสำราญภาคใต้ จะช่วยกระจายรายได้ และเพิ่มพลังการค้าการลงทุน
ส่วนการยกระดับความสามารถการแข่งขัน และต้นทุนค่าขนส่ง การเพิ่มการขนส่งผ่าน รถไฟทางคู่ ท่าเรือบก Dry Port และTruck Terminal ท่าเรือชายฝั่ง ท่าเรือในลำน้ำ เขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก จะเป็นช่องทางใหม่เพื่อลดต้นทุนการขนส่งให้ภาคธุรกิจ
รมว.คมนาคม กล่าวว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง คมนาคม พาณิชย์ เกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงต่างประเทศ ช่วยวางเป้าหมายการพัฒนาทิศทางการค้า การดึงดูดการลงทุน และการยกระดับศักยภาพของประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคม จะดูแลโครงการสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
“หากทิศทางการค้า การลงทุนของประเทศ เป็นอย่างไร กระทรวงคมนาคมก็จะทำหน้าที่เป็นคนเสิร์ฟโครงข่ายคมนาคมเพื่อรองรับการค้า การลงทุนในอนาคตของไทย ขณะเดียวกัน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ก็จะเป็นตัวดึงดูดบริษัทลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาด้วยเช่นกัน”
สรุปโครงการตามแผนปี 2565 ลงทุน 1.4 ล้านล้านบาท
ขณะที่แผนการลงทุนที่สำคัญในปี 2565 จะได้เห็นโครงการลงทุนทั้งทางบก ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ในวงเงินสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว 516,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ 974,000 ล้านบาท สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าสูงถึง 2.24 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1.6 เท่าของเงินลงทุน และหากไม่มีกรณี โควิด-19 มูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นอีก โดยอยู่ที่ 2 เท่าของเงินลงทุน
“ในแต่ละโครงการ ผมร่วมกับทุกคนในกระทรวงคมนาคมพยายามวางเป็น Action plan ไว้ ซึ่งจะทำให้ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐมนตรีคมนาคม แผนในการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มศักยภาพ และยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด” นายศักดิ์สยามกล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนโครงสร้างเพื่อวางโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศทั้งระบบนั้น กระทรวงคมนาคมได้วางไว้เป็นแผนกลยุทธ์ 20 ปี และเมื่อนำมาต่อเนื่องกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ตามแนวทางของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หากทั้งหมดเกิดขึ้นได้ครบวงจร รมว.คมนาคม กล่าวว่า “เราจะเห็นประเทศไทยเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจากวันนี้มาก”
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ติดตามอนาคตคมนาคมไทยพร้อมกันในเวทีเสวนาแห่งปี โดยกระทรวงคมนาคม 20 ม.ค. นี้ ยิงสดที่ไทยรัฐ