150 ปีที่ผ่านไปของหมู่บ้านท่าขี้เหล็กใหญ่ อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ แทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ภายใน 4 ปี ความเป็นอยู่ของคนที่นี่ดีขึ้น ในแบบที่ “ขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ” หวังไว้กับบ้านเกิดของตัวเอง
ด้วยพลังศรัทธาบวกกับความสร้างสรรค์ กลายเป็นจากกราฟิตี้ “พญานาค” น่ารัก ประจำบ้านแต่ละหลัง ที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ได้ขยายวง มีรูปปั้น “พญานาค” อีกหลายจุดแล้ว
ที่คือผลงานสไตล์ “เรียบแต่ไม่ง่าย” ที่หลายคนรู้สึกได้จากผลงานการออกแบบแบรนด์หมู่บ้าน ที่ผ่านมือของเขา
ทุกช่วงเวลาในชีวิตของคนเรามีความสำคัญ ตั้งแต่จุดเริ่มการเดินทาง และสิ่งที่ได้พบเจอระหว่างทาง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านไป จะบอกเราได้ว่า ในวันข้างหน้าเราจะทำอะไร และเป็นอะไรอีกได้บ้าง
เหมือนอย่าง “ขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ” ที่เติบโตมาในแบบที่ไม่ต่างจากเด็กในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยท้องนา ด้วยกิจกรรมวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ว่ายน้ำเล่นในคลอง แต่เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็เข้ามาที่กรุงเทพมหานคร ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเลือกเดินทาง และออกแบบชีวิตของตัวเองในช่วงกว่า 25 ปีที่ผ่านมา
...
ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาเลือกเรียนคณะบริหารธุรกิจ (การตลาด) จากนั้นเลือกทำงานที่แรกในชีวิตคือ เป็นพนักงานขาย บริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย แล้วออกมาทำงานที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาที่เป็นบริษัทเล็กๆ ของญี่ปุ่น ได้เรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่การดูแลลูกค้า หรือเออี (Account Executive : AE) จนถึงการเงิน บัญชี วางบิล เก็บเช็ค
ส่วนจุดเปลี่ยนสำคัญคือ การเรียนรู้จากสิ่งที่ชอบในการเป็นฟู้ดสไตลิสต์ โดยได้ความรู้จากการขอเป็นลูกศิษย์ และติดตามครูโต “หม่อมหลวงจิราธร จิรประวัติ” อยู่ประมาณ 2 ปี แล้วออกมาเป็นฟรีแลนซ์เขียนคอลัมน์ให้กลุ่มนิตยสารอาหาร และตกแต่งบ้าน นาน 7 ปี และยังเรียนรู้เรื่องการสร้างแบรนด์ จากการศึกษาตำรา และอ่านหนังสือเพิ่มเติมมากมาย จนพร้อมเปิดธุรกิจรับเป็นที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ ภายใต้ชื่อบริษัท ขาบ สตูดิโอ สร้างชื่อในเวทีระดับโลกหลายรายการ นานต่อเนื่อง 14 ปี โดยเฉพาะรางวัลกูร์มองต์ อวอร์ดส (Gourmand Awards) ซึ่งเปรียบเหมือนรางวัลออสการ์อาหารโลก
ผลจากความสนใจ และความมุ่งมั่นของเด็กคนหนึ่งจาก จ.บึงกาฬ วันนี้หลายคนรู้จักเขาไม่เพียงแค่เป็นนักปรุงและพัฒนาสูตรอาหาร นักเขียนคอลัมน์อาหาร ฟู้ดสไตลิสต์ นักออกแบบตำราอาหาร แต่ยังเป็นนักออกแบบสร้างสรรค์ นักพัฒนาชุมชนยั่งยืน และอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งด้วย
ตัดภาพมาที่หมู่บ้านท่าขี้เหล็กใหญ่ อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย หลังแยกพื้นที่ออกมาจากจังหวัดหนองคาย ที่ผ่านมา ที่นี่มีช่วงเวลาคึกคักเป็นพิเศษคือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ที่ผู้คนเดินทางมาชมบั้งไฟพญานาค ส่วนวิถีชีวิตปกติคือ การทำนา และทำสวนยาง ตามที่รัฐบาลในอดีตโปรโมตให้ปลูกยางกันมากๆ แต่ช่วงหลังราคายางตกลง จึงแทบจะไม่ได้ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้ดีขึ้นอย่างที่สร้างฝันไว้
“ผมเกิดที่นั่น การที่ผมทำงาน ทำธุรกิจในกรุงเทพฯ ออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก มีผลงานมากมายในประเทศ และต่างประเทศ และผมมองว่าคนเราต้องสร้างประวัติศาสตร์ เพราะว่าวันนี้เราคุยกัน แต่พรุ่งนี้เราอาจไม่ได้คุยกัน เพราะเราอาจต้องตาย
เมื่อผมมีความรู้ มีความสามารถเฉพาะ มีความชอบเรื่องศิลปะร่วมสมัย ผมต้องเอาบางอย่างออกมา เพื่อขับเคลื่อนในเชิงสร้างสัญลักษณ์บางอย่าง ก็ลงมือทำในพื้นที่ตาบอดห่างไกลความเจริญ อย่างที่หมู่บ้านผม เป็นพื้นที่ยากจน อับสัญญาณ อยู่ห่างจากแม่น้ำโขง ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่ทุ่งนา มีความแห้งแล้ง แต่ผมเปลี่ยนสิ่งนี้ ที่ผมมองว่าสร้างประวัติศาสตร์ได้”
การลงมือทำของ “ขาบ สุทธิพงษ์” ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จนวันนี้ที่หมู่บ้านท่าขี้เหล็กใหญ่ และ อ.โซ่พิสัย มีเสน่ห์ในแบบที่หากในสถานการณ์ปกติ ไม่มีโควิด-19 ระบาด จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนรุ่นใหม่ไปเยือนไม่ขาดสาย โดยมีพญานาคที่ไม่ควรอยู่แค่ที่วัด หรือสถานที่ราชการเท่านั้น แต่ยังสามารถอยู่ตามผนังบ้าน โรงเรียน ที่ชุมชนอย่างตลาด ที่ตอนนี้มีกว่า 100 แห่งแล้ว
...
การสร้างแบรนด์หมู่บ้าน จนหลายคนจดจำว่า เป็นหมู่บ้านพญานาคนั้น นับเป็นความสำเร็จจาก “พลังศรัทธาเรื่องพญานาค” ที่มีอยู่แล้ว และที่สำคัญคือการสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมจากคนในหมู่บ้าน
“สิ่งที่คิดตอนเริ่มต้นคือ ที่นี่ต้องเป็นพญานาคกราฟิตี้ที่น่ารัก มีบริบทเชื่อมโยงกับบ้านแต่ละหลังด้วย เราจะวาดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เจ้าของบ้านต้องอนุญาตก่อน และต้องถามว่าอาชีพหลัก อาชีพเสริม และความเชื่อคืออะไร เมื่อได้แล้ว ก็เอาสิ่งนี้ออกมานำเสนอประเด็นว่าพญานาคอยู่กับอะไร เช่น พญานาคตัดผม เป็นการเล่าเรื่องว่าเจ้าของมีอาชีพตัดผม พญานาคขายลอดช่อง ก็แปลว่าเจ้าของบ้านขายลอดช่อง
เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขามีตัวตนอยู่กับเรา เจ้าของออกมากับผม กราฟิกตี้ที่วาดเป็นแค่การนำเสนอเท่านั้น เราต้องเคารพเจ้าของบ้านแต่ละหลัง สะท้อนตัวตนเขาเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อมีตัวตนสิ่งที่เกิดขึ้น คือความง่ายในการร่วมมือกับสิ่งที่ต้องทำต่อไป”
...
นอกเหนือจากนั้น อีกหนึ่งผลงานที่นำไอเดียการออกแบบมาใช้จนสามารถสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน คือกระเป๋ารูปทรงต่างๆ ที่ถักสานมาจากต้นคล้า ที่เดิมปลูกต้นคล้าแล้วเอามาทำกระติ๊บข้าวเหนียว ขายกันได้อย่างมากไม่เกิน 100 บาท ตอนนี้พอนำดีไซน์มาใช้ สามารถขายได้ราคาหลายร้อย หรือในระดับราคาสี่พันบาท ก็ทำได้แล้ว และแม้เวลานี้จะไม่มีนักท่องเที่ยวมา เพราะโควิด-19 ระบาด แต่ก็มียอดการสั่งซื้อทางออนไลน์บ้าง ทำให้ปีที่แล้วมีรายได้รวมกันประมาณ 1.3 ล้านบาท จากเดิมรายได้แค่หลักหมื่นเท่านั้น
ขาบ สุทธิพงษ์ ยังได้เปิดบ้านของตัวเอง ที่มีอายุกว่า 70 ปีแล้ว เป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต เพื่อสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนพื้นถิ่น โดยจะมีไกด์ตัวน้อยๆ ลูกหลานของชุมชนมาแนะนำ เล่าเรื่องให้นักท่องเที่ยวได้ฟังกัน และยังเปิดให้จิตอาสา คนรุ่นใหม่เข้ามาฝึกงาน เรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชน เพื่อให้มีความเข้าใจบริบทของสังคมที่หลากหลายอีกด้วย จนได้รับรางวัล กูร์มองต์ เวิล์ด (Gourmand World) รางวัลเกียรติยศชนะเลิศ ประเภทสาขาสถาบันเพื่อสาธารณะ
...
ความเปลี่ยนแปลงในเวลานี้จึงไม่เพียงแค่ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดเขาสัมผัสได้ว่า ชาวบ้านมีความสุขมากขึ้น และที่เหนือความคาดหมาย ที่นี่ยังจุดประกายให้หลายชุมชนในประเทศไทยอยากพัฒนาท้องถิ่นของตัวเองแบบนี้บ้าง โดยมีทั้งการมาขอคำปรึกษา ขอคำแนะนำ เพื่อสร้างแบรนด์หมู่บ้านให้อีกด้วย
นี่คือแผนและเป้าหมายที่เขาผลักดันที่เรียกว่า โลคอล (Local) สู่เลอค่า คือการทำให้ชุมชนที่มีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว นำมาสร้างสรรค์ต่อให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล สิ่งที่ได้รับไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” ที่ค่อยๆ สัมผัสได้.
ผู้เขียน : สุกรี แมนชัยนิมิต
กราฟิก : Sriwon Singha