ปัจจุบันแพ็กเกจทัวร์ท่องเที่ยวประเทศเกาหลีมีราคาถูกมากกกกกก จ่ายเงินเพียงแค่หมื่นนิดๆ ก็สามารถบินไปตามรอยโอปป้าได้แล้ว นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ ‘ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์’ ไล่ล่าหาเหตุผลจนนำมาสู่การสรุปปัญหาที่เกิดขึ้นได้ 2 ข้อหลักๆ ก็คือ 1.การจัดทัวร์ตัดราคากัน และที่สำคัญที่สุด 2.ลักลอบเป็นผีน้อยไปขายแรงงาน โดยผู้ที่จะมาให้ข้อมูลในประเด็นดังกล่าวนี้เป็นแหล่งข่าวจากกลุ่ม "WatchDogGroup" เฝ้าระวังทัวร์เถื่อน จะมาแชร์ประสบการณ์ที่พบเจอให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ได้ทราบ และยังเปิดเผยเทคนิคที่เหล่าผีน้อยใช้กันด้วย
“คุณเคยเจอมั้ย? ถูกพาไปแวะร้านของฝาก ร้านช็อปปิ้งต่างๆ จนแทบหมดตัว”
เริ่มแรกแหล่งข่าวก็ถามอย่างรู้ใจถึงประสบการณ์ต่างแดนที่หลายคนมักพบเจอ พร้อมอธิบายต่อว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวไม่ได้สนใจเรื่องโปรแกรมการเที่ยวแล้ว แต่จะมุ่งตรงไปที่เรื่อง “ราคา” เสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องมาด้วยสื่อสังคมออนไลน์ อินเทอร์เน็ต ไกด์บุ๊ก เปิดกว้างมากขึ้น ขณะที่บางคนไปเที่ยวบ่อยจนรู้เรื่องราวและสถานที่ทั้งหมดแล้ว บริษัททัวร์จึงไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่กางราคาให้นักท่องเที่ยวดูแค่นั้น
ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่บริษัททัวร์สู้กันอยู่คือเรื่องของ “ราคา”
...
“แต่ทัวร์ราคาถูกนั้น มาจากไหนล่ะ?”
ก็มาจากทุนที่บริษัททัวร์มี ยิ่งมีเงินในกระเป๋าเยอะก็ยิ่งเอาไปกว้านซื้อตั๋วเครื่องบินแบบเหมาจำนวนมากๆ เพื่อให้ได้ราคาถูก เช่น สายการบินเกาหลีโลว์คอสต์ตัดตั๋วไว้ 3,000 ใบต่อ 1 ปี จะได้ราคาตั๋วราว 5,000-7,000 บาท ก็สามารถมาตั้งราคาทัวร์ได้ต่ำกว่าราคาทั่วไป จูงใจนักท่องเที่ยวได้
ส่วนกำไรมาจากไหน ก็มาจากประโยคที่ตั้งคำถามนั่นแหละ! ในเมื่อราคาทัวร์นั้นถูกแสนถูก สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องเจอคือ “การพาลงร้าน” แวะร้านขายของฝาก ขายขนม ขายสมุนไพร ขายรูป และอีกมากมาย เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ค่าคอมมิชชั่น” นั่นเอง และธุรกิจแบบนี้ก็มีอยู่แทบทุกประเทศเลยด้วย
แต่...หากเป็นหน้าฝน ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเกาหลี บริษัททัวร์ทำอย่างไรกับตั๋วเครื่องบินที่เหลือ เพราะคืนตั๋วก็ไม่ได้?
คำตอบง่ายๆ สำหรับบริษัททัวร์ที่ไร้จรรยาบรรณ นั่นก็คือ เอาตั๋วไปขายให้เหล่าผีน้อยที่ต้องการไปขายแรงงานในดินแดนโอปป้านั่นเอง
หมายความว่า บริษัททัวร์รู้เห็นเรื่องผีน้อยอย่างนั้นหรือ? ทีมข่าวตั้งคำถาม
แหล่งข่าวในวงการธุรกิจท่องเที่ยว ตอบว่า แน่นอน! สิ่งที่บริษัททัวร์มักอ้างอยู่เสมอว่า “ไม่สามารถคัดกรองได้ว่า ลูกค้าคนไหนจะเที่ยวหรือจะโดดทัวร์” แล้วถามหน่อยว่าโปรแกรมทัวร์ของบริษัททัวร์เหตุใดถึงไปอยู่ในกลุ่มหางานเกาหลีได้ ถ้าจะบอกว่ามีคนก๊อบปี้ไปแปะไว้ในกลุ่มเหล่านี้ แล้วเหตุใดถึงไม่แจ้งความ เพราะมันจะส่งผลเสียกับบริษัททัวร์ของคุณ
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่บริษัททัวร์ไม่มีเอี่ยว ไม่รู้เรื่อง!
เพราะเชื่อว่าคนที่คลุกคลีการทำทัวร์ต้องมองออกอยู่แล้วว่า คนไหนไปเที่ยวจริงๆ คนไหนโดดทัวร์ไปขายแรงงาน เพราะของแบบนี้ดูได้ไม่ยาก และยังเชื่อว่ามีการรู้เห็นกันระหว่างนายหน้าและบริษัททัวร์ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนต่างที่ผีน้อยจะต้องจ่ายอาจจะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับพนักงานบริษัททัวร์ ผู้ที่ถือใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยวด้วย
“ขอยกกรณีเคสหนึ่ง ทั้งกรุ๊ป 70 คน เป็นผีน้อยล้วนๆ เลย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขอดูใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว ปรากฏว่ามีให้! จึงขอดูบัตรผู้นำเที่ยว ปรากฏว่าก็มีให้อีกเช่นกัน ทำถูกกฎหมายทั้งหมด สุดท้ายกรุ๊ปนี้ก็หลุดไปถึงเกาหลี ไปเข้าด่าน ตม.ผ่านไปได้ นี่จึงเป็นปัญหาว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้เลยทั้งที่รู้อยู่ว่าไปขายแรงงานแน่นอน” กลุ่มเฝ้าระวังทัวร์เถื่อน พูดด้วยความเหนื่อยใจ
บริษัททัวร์-ไกด์ ทำแบบนี้ไม่เสียเครดิตหรืออย่างไร? ทีมข่าวตั้งข้อสงสัย
หนึ่งในกลุ่ม WatchDogGroup เฝ้าระวังทัวร์เถื่อน อธิบายว่า บริษัททัวร์ หรือผู้นำเที่ยวคงไม่ถึงขั้นติด Black List เพราะว่ายังสามารถเข้า-ออกประเทศเกาหลีได้ หรือคงไม่ถึงขั้นหมายหัวว่า หัวหน้าทัวร์ บริษัททัวร์นี้ พาแรงงานเถื่อนลักลอบเข้าประเทศ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่หัวหน้าทัวร์มักจะไม่เซ็นรับรองให้กับลูกทัวร์ แต่สามารถพูดรับรองได้ และหาก ตม.เกาหลีให้เซ็นก็จะไม่มีใครเซ็นชื่อรับรองกัน เพราะความเสี่ยงสูง และบางคนก็รู้ว่าในกรุ๊ปมีคนโดดแน่ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้าทัวร์เป็นเพียงลูกจ้าง หากลูกทัวร์ร้องเรียนขึ้นมา เพราะเสียเงินค่าทัวร์ไปแล้ว คนที่ซวยก็คือหัวหน้าทัวร์
...
และที่น่าสนใจอีกประเด็นคือ บริษัททัวร์บางแห่งใช้วิธีการเก็บเงินประกันจำนวน 5,000-10,000 บาท กับลูกทัวร์ (เฉพาะ) คนที่น่าสงสัยว่าจะลักลอบไปทำงานที่เกาหลี เพราะหากโดดทัวร์จะถูกยึดเงินประกันทันที ซึ่งเงินตรงนี้ถามว่าใครเป็นคนได้ไป บริษัททัวร์ที่เมืองไทยหรือที่เกาหลี นอกจากนี้การเรียกเก็บเงินประกันไม่ได้เรียกเก็บทุกคน นั่นแปลว่า บริษัททัวร์ก็ดูออกใช่หรือไม่ว่าลูกทัวร์คนไหนแอบไปทำงาน...?
ล้วงลับขั้นตอน-กลเม็ด เตี๊ยมความน่าเชื่อถือ ส่งผีน้อยเข้าแดนกิมจิ
มาถึงตอนนี้ แหล่งข่าววงในได้แชร์ประสบการณ์ที่พบเจอเกี่ยวกับเส้นทางส่งแรงงานไทยเข้าไปทำงานในประเทศเกาหลี ว่า จุดเริ่มต้นการไปทำงานในเกาหลีเริ่มมาจากคำบอกเล่า การพบเห็นเพื่อน คนใกล้ชิด แนะนำว่าได้เงินดี เดือนหนึ่งรับทรัพย์หลักหมื่น หลักแสนบาท
“ถ้าถามว่ามันเยอะมั้ย ถ้าสำหรับคนต่างจังหวัดจบ ม.3 หรือ ม.6 เงินก้อนนี้ก็ถือว่าไม่น้อยเลย แต่ก็มักจะแลกมาด้วยอะไรมากมาย เช่น ในเมื่อเขาจ่ายค่าแรงคุณแพง เขาก็จะใช้งานคุณหนัก ไม่หยุดไม่หย่อน บางทีไม่ให้พัก ไม่สบายก็ถูกหักเงิน ลางานก็อดได้เงิน เจ็บป่วยจะไปหาหมอก็ไม่ได้ เพราะค่ารักษาที่นั่นแพง และยังเสี่ยงโดนตำรวจจับด้วย”
...
และการหางานก็มาจากสื่อสังคมออนไลน์ที่ตั้งกลุ่มประกาศหาคนไปทำงานที่เกาหลี โดยจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ งานนวด (แอบตำ) ก็หมายถึง ขายบริการนั่นแหละ! รวมทั้งประเภทรับจ้างทั่วไป โรงงานอุตสาหกรรม การเกษตร ทำสวนทำไร่ ฟาร์มสัตว์ พวกงานหนักๆ ซึ่งคนเกาหลีมักจะไม่ทำ
โดยชาติที่ไปขายแรงงานก็จะเป็นคนเอเชีย พม่า กัมพูชา เวียดนาม รวมถึงไทยด้วย ยิ่งช่วงเดือน ก.ค. - ส.ค. จะมีเรื่องแรงงานลอบเข้าไปทำงานที่เกาหลีอีกเยอะ เพราะว่าเป็นช่วงเก็บเกี่ยว
เมื่อได้งานตรงใจแล้วก็ติดต่อตาม Contact ที่ทิ้งไว้ในประกาศ ผีน้อยบางคนไม่มีข้อมูล ไม่มีความรู้ ก็ถูกบุคคลที่เป็น “นายหน้าในเมืองไทย” บางครั้งก็ดีลกับ “นายหน้าที่เกาหลี” ซึ่งจะมีทั้งเป็นลักษณะของแท็กซี่ หรือ นายหน้าจริงๆ รับงานมาจากเถ้าแก่ เช่น เคยไปส่งแรงงานให้ที่ฟาร์มนี้ โรงงานนี้ และรู้จักกันในวงจรนี้ จึงติดต่อมาที่นายหน้าตามคุณสมบัติแรงงานที่อยากได้ จากนั้นก็ติดต่อมาที่นายหน้าคนไทย เพื่อหาคนส่งไปให้กับเถ้าแก่
...
และนายหน้าบางคนก็อาจจะเป็นคนงานเก่าที่เคยไปทำมาแล้ว และถูกจับโดนส่งกลับ หรือว่ากลับเอง จึงมองว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร โดยจะติดต่อกับบริษัททัวร์ และมาชาร์จเพิ่ม หรือถ้าคนที่เก่งหน่อยก็จะจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พักให้ด้วย ซึ่งราคาทั้งหมดขึ้นอยู่กับนายหน้า เช่น เดินทางพร้อมคณะทัวร์ รวมค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก โดยจะมีการตกลงให้โอนเงินเลยครึ่งหนึ่ง หรือว่าโอนก่อนทั้งหมด
ทำพาสปอร์ต ยื่นขอวีซ่า! กลเม็ดสร้างความน่าเชื่อถือให้ผีน้อย
ต่อมา การทำพาสปอร์ต ซึ่งพาสปอร์ตของพวกผีน้อยเหล่านี้ เล่มจะใหม่มาก! อาจจะทำมาแล้วไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนบิน หรือเต็มที่ทำล่วงหน้าไม่เกิน 3 เดือน และหลังจากได้พาสปอร์ตเรียบร้อย จะต้องส่งไปให้นายหน้า
เพื่อตกแต่งตัวตนของผีน้อยด้วยการ “ขอวีซ่าท่องเที่ยว” ประเทศอื่นๆ เช่น จีน เนปาล อินเดีย ฯลฯ เนื่องจากเป็นประเทศที่ต้องยื่นขอวีซ่า โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือว่า บุคคลดังกล่าวได้ถูกตรวจสอบจากประเทศที่ต้องยื่นขอวีซ่าแล้ว แต่จะต้องบวกค่าใช้จ่ายการทำวีซ่าเพิ่มไป อย่างประเทศจีน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3,000 บาท
ดังนั้น หนังสือเดินทางของเหล่าผีน้อยก็จะไม่เป็นพาสขาว เพราะว่ามีวีซ่าท่องเที่ยวประเทศอื่นติดมาด้วย ซึ่งจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากกว่า
นัดแนะเทรนด์นิ่งก่อนบิน! ปรับบุคลิก เทคนิคตอบคำถาม
ขั้นตอนต่อมา นายหน้าจะมีการนัดแนะกันรวมตัวกันหนึ่งคืนก่อนบิน พร้อมจองที่พักให้ โดยในระหว่างหนึ่งวันจะมีการเทรนด์นิ่งให้กับเหล่าผีน้อยว่า ตม.จะถามอะไรบ้าง ต้องตอบแบบไหน โดยจะมีเอกสารประกอบให้ รวมทั้งเทรนด์การเช็กอิน โหลดกระเป๋า เดินเข้าเกต ที่สำคัญคือ ต้องปรับบุคลิกตัวเอง ถึงขนาดที่ว่า พาไปซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ทอง (ปลอม) เพื่อให้ดูมีฐานะ
“ถ้ามาแบบบ้านๆ ชาวไร่ ชาวนา อาจจะไม่ผ่าน ตม.ได้ ดังนั้นทุกคนต้องลงทุนเพื่ออนาคตของตัวเอง พอถึงเวลาก็บินตามปกติ ยิ่งถ้าเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ ผีน้อยพวกนี้จะไม่ขึ้นไปชั้น 4 เพราะเวลาเข้าไปนั้น ไปกันเยอะ และเป็นที่สังเกตง่ายว่า แต่ละคนเสื้อผ้า หน้าผมใหม่เอี่ยมทุกอย่าง ยิ่งกระเป๋าเดินทางจะเป็นประเภทคล้ายๆ กัน ทรงเดียวกัน แต่ต่างสีกัน ลักษณะคนกลุ่มเดียวกันจะเหมือนกันทั้งหมด ไม่เหมือนกับนักท่องเที่ยวทั่วไป” ผู้คลุกคลีในวงการท่องเที่ยว ชี้จุดสังเกต
พอไปถึงที่ประเทศเกาหลี เข้าด่าน ตม. คนไหนถูกสงสัยก็จะเชิญไปสอบถามภายในห้อง ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็จะตอบคำถามได้ว่า จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เพราะมีโปรแกรมทัวร์อยู่ในมือ รวมทั้งได้รับการเทรนด์มาอย่างดิบดีด้วย
เมื่อผ่านด่าน ตม.เกาหลีสำเร็จก็จะส่งไลน์หากัน โดยจะมีการตั้งไลน์เฉพาะกลุ่ม ส่งข้อความและรูปให้ดูว่าผ่านแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วการถ่ายรูปยืนยันก็เป็นเครดิตให้นายหน้าว่า ลูกค้าตัวเองสามารถผ่าน ตม.ได้แล้ว
เบ็ดเสร็จต้นทุนการลักลอบไปค้าแรงงานในประเทศเกาหลี ราคาตำ่สุด 25,900 บาทต่อคน สูงสุด 35,900 บาท และเคยได้ยินมาว่าถึงหลักแสนบาทก็มี โดยราคาขึ้นอยู่กับนายหน้าด้วย บางทีคนพวกนี้ไม่ใช่บริษัททัวร์ แต่เอาโปรแกรมทัวร์ แบนเนอร์ ซึ่งอยู่ในเพจของบริษัททัวร์ต่างๆ ไปลงเป็นของตัวเอง ทำว่าตัวเองเป็นคนทำทัวร์ก็เกิดความน่าเชื่อถือ และซื้อทัวร์จากบริษัทในราคา 16,900 บาท ไปขาย 25,900 บาท ส่วนต่างก็จะเป็นค่านายหน้าเต็มๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไร แค่ประสานกับบริษัททัวร์ว่าจองกี่คนแค่นั้น หรือแบ่งส่วนแบ่งให้กับบริษัททัวร์
“เคยมีเคสสามีภรรยาชาวไทย 2 คน เสียค่าทัวร์แสนกว่าบาท ซึ่งราคาเต็มที่ก็ 3 หมื่นกว่าบาท ที่เหลือก็โดนหักค่านายหน้า และพอไปถึงไม่ได้เป็นอย่างที่โฆษณาไว้ ทำให้เขาไม่มีงาน ลำบาก ก็เลยซื้อตั๋วให้เมียกลับไทย เพราะทัวร์บินกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนสามีก็หาเช้ากินค่ำ โดนเบี้ยวเงินทำงาน จนสุดท้ายสามีผูกคอตายข้างถนน
ฉะนั้น งานทุกอย่างที่เกาหลีมีจริง แต่ 70% ต้องเดินทางไปถึงที่ประเทศเกาหลีก่อน และไปรองานอย่างน้อยมาราว 30% ที่บินไปถึงแล้วมีคนมารอรับที่สนามบิน ดังนั้นคนที่ไปถึงแล้วมีคนมารับจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หลักแสนบาทก็มี”
ไขปมเหตุ ไฉนคนไทยถึงไม่ขายแรงงานแบบถูกกฎหมาย
สำหรับแรงงานที่ไปอย่างถูกกฎหมายนั้น แหล่งข่าวเผยว่า มีแน่นอน โดยต้องไปเรียนหลักสูตรขั้นพื้นฐาน อ่านออก เขียนได้ สื่อสารได้ หลังจากนั้นก็ไปขึ้นทะเบียนทั้งเป็นแรงงานไร้ฝีมือหรือมีฝีมือ จากนั้นเมื่อขึ้นทะเบียนเสร็จก็ต้องรอคิวให้ทางเกาหลีเรียกตัว ซึ่งนี่แหละคือส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกผีน้อยไม่รอ เพราะว่ามันช้า ขณะที่บางคนผ่านมา 2-3 ปีแล้วยังไม่ได้ไป
เมื่อถามว่าทำไมเรียกแรงงานถูกกฎหมายช้า ก็คล้ายกับเมืองไทยที่จ้างแรงงานต่างด้าว เพราะไม่ต้องมีสวัสดิการ ประกันสังคม ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ นานา และที่สำคัญ “โกง” ได้ด้วย คนไทยไม่กล้าแจ้งความหากโดนโกงค่าแรง เพราะว่าถ้าแจ้งไปก็โดนจับอยู่ดี เป็นแรงงานเถื่อน เว่อร์วีซ่า สุดท้ายก็โดนแบนห้ามเข้าประเทศ และถูกส่งกลับบ้าน ใครล่ะจะยอมแลก?
ป้องปรามยาก! โอปป้าปิดตาข้างหนึ่งจริงหรือ?
ในฐานะคนที่คลุกคลีกับวงการท่องเที่ยว ให้ความเห็นว่า 60% ที่จะแก้ปัญหาผีน้อยได้ และยิ่งทำให้บริษัททัวร์ไม่มีจรรยาบรรณยิ่งทำ เพราะกลายเป็นว่าเขาเป็นผู้เดียวที่จะสามารถทำได้ ส่วนการแก้ไขให้ต้องขอวีซ่า ก็จะทำให้ผีน้อยถูกสกัดตั้งแต่เมืองไทย แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งสองประเทศมีข้อตกลงกันไว้ว่า สามารถท่องเที่ยวได้ 90 วัน
“ถ้าถามว่า ทางเกาหลีปิดตาข้างหนึ่งไหม มันก็ใช่ ต้องไปมองผลกระทบจากเกาหลีด้วยว่า เขาก็อยากได้แรงงานคนไทย ว่า บ้านเขาไม่ทำงานพวกนี้ ก็ต้องปล่อยผี พอปล่อยเสร็จก็ต้องจับผีกลับบ้าน เพราะถ้าตงฉินจริงๆ ต้องเช็กได้ว่าบริษัททัวร์เข้ากี่คน กลับกี่คน
เช่น บริษัท A เมืองไทยส่งมา 30 คน เดือนนี้ส่ง 30 ครั้ง กลับกี่คน คนหายไปกี่คน แต่รายละเอียดตรงนี้เช็กไม่ได้ อย่างถ้าไปเมืองจีนเป็นวีซ่ากรุ๊ป เข้าเท่าไหร่ต้องออกเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็ติดหมด ออกไม่ได้ แต่เกาหลีไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ได้มีเอกสารอะไร หัวหน้าทัวร์ไม่มีเอกสารรายงานตัว” แหล่งข่าวจาก WatchDogGroup เล่าถึงปัญหา
อย่างไรก็ตาม รายงานพิเศษชิ้นนี้ยังไม่จบ ในตอนหน้าจะตามต่อในส่วนของภาครัฐ ทั้งในเรื่องของวิธีการป้องปราม การแก้ไขปัญหา จะดำเนินการในแนวทางใดได้บ้าง โปรดติดตาม.
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน! ลักลอบทำงานเกาหลี สกัดผีน้อยแค่ระงับเดินทาง? (ตอน 2)
เหลืออด บริษัททัวร์แฉเอง ลูกค้าไทยเกินครึ่ง แฝงตัวโดดกรุ๊ปทำงานเกาหลี
มาเอง คราวนี้ต้องจบ! ฟังแจงทุกมุมดราม่าแบบละเอียด จากสถานทูตเกาหลีใต้
โอปป้า ตม. พูด-ฟังไทยได้ ไขคำตอบ ดราม่า เกาหลีใต้ อคติกีดกันคนไทย
ฟื้นตำนานรักแท้ที่เกาหลี มรสุมชีวิตรุม ลูกเป็นมะเร็ง แฟนโรคหัวใจกำเริบ