หลังจากที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้นำเสนอเล่ห์กลผีน้อยในการแฝงตัวไปทำงานที่เกาหลีแล้วในตอนที่ 1 (Training สร้างตัวตน เปิดเล่ห์กลผีน้อย บินขายแรงงานแดนโอปป้า) มาถึงรายงานพิเศษชิ้นนี้ หน่วยงานภาครัฐทั้ง กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ตำรวจท่องเที่ยว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จะมีวิธีป้องปราม และบทลงโทษกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?

นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เคยให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึงปัญหาการลักลอบเข้าไปทำงานแบบผิดกฎหมายของคนไทยในประเทศเกาหลี ว่า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน มีคนไทยอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ประมาณ 90,000 กว่าคน ในจำนวนนี้ เป็นแรงงานที่ผิดกฎหมาย ประมาณ 60,000 กว่าคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา และในปี 2558 คนไทยถูกปฏิเสธการเข้าประเทศ สูงถึง 20,000 คน และในปี พ.ศ. 2559 สูงถึง 30,000 คน

...

กรมการจัดหางาน ไข 5 วิธี ทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย

สำหรับเจ้าภาพงานนี้ คงหนีไม่พ้น “กรมแรงงาน” ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายโอวาท ทองบ่อมะกรูด ผู้อำนวยการกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ได้เริ่มอธิบายให้เข้าใจถึงขั้นตอนการไปทำงานอย่างถูกกฎหมายว่า...

ประเทศไทยมีแรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ ยอดสะสมเวลานี้ 100,000 กว่าคน โดยในแต่ละปีจะมีแรงงานไทยเดินทางออกนอกประเทศไปทำงานหลายหมื่นคน ซึ่งจะมี พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 โดยจะกำหนดไว้ว่า การไปทำงานต่างประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมายมี 5 วิธี ดังนี้

1. การไปทำงานต่างประเทศโดยการจัดส่งของรัฐ โดยรัฐบาลไทยได้ทำ MOU กับประเทศต่างๆ ไว้หลายประเทศที่ส่งแรงงานในลักษณะรัฐต่อรัฐ เช่น จะมี ไทย-เกาหลี ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-อิสราเอล ไทย-ไต้หวัน

2. การไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางานที่จดทะเบียนแบบถูกต้องตามกฎหมาย โดยมี 134 บริษัทที่จดทะเบียนว่า ประกอบธุรกิจจัดส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะต้องมีหลักประกันวางไว้ที่กรมการจัดหางาน 5 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าประกันในกรณีที่รับค่าบริการจากคนงานมาแล้วและส่งไปไม่ได้ หรือส่งไปแล้วคนงานเกิดปัญหาในต่างประเทศ เช่น ไม่ได้ทำงานตามสัญญา หรือทำงานไม่ตรงตามสัญญาจ้าง แล้วขอกลับมา และร้องทุกข์ที่กรมการจัดหางาน โดยจะให้บริษัทคืนค่าบริการแก่คนงาน หากไม่คืนจะหักหลักประกัน 5 ล้านที่วางไว้กับกรมฯ ให้กับคนงาน หลังจากนั้น จะเรียกให้บริษัทมาใส่หลักประกันให้ครบ 5 ล้านดังเดิม

3. คนงานไปทำงานด้วยตัวเอง โดยสามารถติดต่อกับนายจ้างในต่างประเทศได้ เช่น มีญาติอยู่ที่ต่างประเทศ และนายจ้างจะทำสัญญาจ้างจากประเทศต้นทาง ทำสัญญาจ้างมาให้คนงานไทย ซึ่งสัญญาฉบับนี้ จะต้องเป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในบ้านเขา โดยผ่านการรับรองเอกสารจากสถานทูตไทยในประเทศนั้น หรือ สำนักงานแรงงานไทยในประเทศนั้น ก่อนส่งสัญญาจ้างฉบับนั้นมาให้คนงานที่เมืองไทย และคนงานก็จะนำสัญญาฉบับนี้ไปยื่นขอวีซ่าเพื่อไปทำงาน

...

4. คนงานทำงานกับนายจ้าง ซึ่งเป็นบริษัทอยู่ที่เมืองไทย และบริษัทส่งคนงานของตัวเองไปทำงานในต่างประเทศ เช่น บริษัทก่อสร้างไทยไปรับงานก่อสร้างที่กัมพูชา แล้วส่งคนงานไทยไปทำงานด้วย โดยที่คนงานมีสถานะเป็นลูกจ้างของบริษัทเมืองไทยอยู่

5. บริษัทในเมืองไทย ส่งพนักงานไปฝึกงานกับบริษัทแม่ในต่างประเทศ เช่น บริษัท ฮิตาชิ หรือ บริษัท ซันโย ในเมืองไทย มีบริษัทแม่อยู่ที่ญี่ปุ่นได้ส่งพนักงานไปฝึกงาน โดยพนักงานมีสถานะความเป็นลูกจ้างในเมืองไทยอยู่

และก่อนจะไปทำงานต่างประเทศ คนงานจะต้องมาแจ้งกับกรมการจัดหางาน หรือ สำนักงานจัดหางานจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เพื่อที่จะได้ช่วยตรวจสอบในเบื้องต้นว่า ไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการออกเอกสารรับรองให้ 1 ฉบับ เรียกว่า จง.12 หนังสือแจ้งการเดินทาง เพื่อเอาหนังสือฉบับนี้ไปแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานที่สนามบิน เพื่อตรวจสอบว่ามีการแจ้งถูกต้องและอนุญาตให้เดินทางได้ ถ้าไม่มีการรับรองจากกรมฯ เวลาผ่านไปที่ด่าน ตม.ก็จะถูกส่งตัวกลับมาที่ด่านตรวจคนหางาน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงก่อน

...

เจ้าหน้าที่สุดมึน! เจอสารพัดวิธี แก๊งผีน้อยตบตา หลอกล่อ จับกุมยาก!

ผอ.กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กล่าวต่อว่า สำหรับกรมการจัดหางาน มีเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานอยู่ภายในสนามบิน 19 จังหวัด 25 ด่านทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ตรวจสอบคนไทยที่จะไปทำงานว่า ได้แจ้งการเดินทางมีเอกสาร จง.12 หรือไม่ หรือคอยตรวจตราภายในสนามบิน

ทั้งนี้ วิธีการสังเกตคนลักลอบไปทำงาน เจ้าหน้าที่จะเข้าไปสอบถามว่า จะไปเที่ยวที่ไหน พักที่ไหน มีตารางนำเที่ยวหรือไม่ ทำไมใช้กระเป๋าใบใหญ่เหมือนไปเป็นเดือนๆ หรือดูบุคลิกแล้วบางคนจบ ป.4 มีอาชีพทำนา เงินในบัญชีไม่มีเลย พูดภาษาไม่ได้ แล้วมีใครพาไปหรือไม่ ถ้าไปคนเดียวจะไปเที่ยวได้อย่างไร ซึ่งพฤติการณ์เหล่านี้ก็บ่งบอกแล้ว่าไปทำงาน แต่ปัจจุบันนี้ ระงับได้ยากขึ้น เพราะคนกลุ่มนี้มีวิวัฒนาการตบตาเจ้าหน้าที่ เช่น....

1. ให้ความรู้กับผีน้อย - คนที่ชักชวนไปที่เรียกว่า “สายนายหน้า” จะมีการให้ความรู้กับคนงานเหล่านี้ หากเจ้าหน้าที่ถามจะต้องตอบแบบนี้ ให้ถือคู่มือการท่องเที่ยวประเทศนั้นไป ส่วนกระเป๋าไม่ต้องใช้ใบใหญ่ เอาไปแค่ 3-4 ชุดพอ แล้วไปซื้อเอาข้างหน้า ไม่อย่างนั้นจะเป็นข้อผิดสังเกตของเจ้าหน้าที่

...

2. เช็กอินออนไลน์ - โดยปกติเจ้าหน้าที่ด่านจะคอยตรวจแถวหน้าเคาน์เตอร์เช็กอินในสนามบิน แต่ปัจจุบันมีการ “เช็กอินออนไลน์” ไม่ต้องไปเช็กอินหน้าเคาน์เตอร์แล้ว และสามารถเดินเข้า Gate ได้เลย ตรงนี้จึงเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่ด่านที่ไม่สามารถควบคุมได้เลย แต่ก็ได้ประสานงานทาง ตม.กรณีที่มีเบาะแสทั้งชื่อ-นามสกุล แต่ผ่านเข้าไปขึ้นเครื่องก็จะให้ ตม.ประสานสายการบินนำตัวออกมา

3. ต่อเครื่องที่ประเทศอื่น - คนกลุ่มนี้ยังใช้วิธีตบตา ซื้อตั๋ว 2 ต่อ เช่น จาก กทม.ไปลงฮ่องกงก่อน แล้วต่อเครื่องไปลงอินชอน เกาหลี หรือ จาก กทม.ลงมาเลเซีย และต่อเครื่องไปเกาหลี เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือว่า หากจะไปทำงานทำไมไม่บินตรงไปเลย จะแวะต่อเครื่องประเทศอื่นให้เสียเวลาทำไม แต่ในความเป็นจริง คือ หลบเลี่ยง ยอมลงทุนเยอะ

4. ออกประเทศผ่านด่านหนองคาย เพื่อขึ้นเครื่องที่ลาว ก่อนมุ่งตรงไปเกาหลี - ก่อนที่ออกจากไทยที่ด่านหนองคาย เจ้าหน้าที่คิดว่า คงจะข้ามฝั่งไปเที่ยว แต่ที่ไหนได้ กลับใช้เป็นเส้นทางผ่านเพื่อไปขึ้นเครื่อง โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ตรวจสอบทางด่านที่หนองคาย และเจ้าหน้าที่เคยไปสังเกตดู พบว่า ทั้งลำมีแต่คนไทยที่ไปเกาหลี ไม่มีคนลาวเลย ซึ่งคนพวกนี้ก็จะหาวิธีหลบเลี่ยงต่างๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ยากขึ้น

สถิติกรมการจัดหางาน ระงับเดินทาง พันกว่ารายต่อปี บินไปเกาหลีครองแชมป์

ข้อมูลจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ระบุว่า...

สถิติในปี 60 ระงับการเดินทาง รวมทั้งสิ้น 1,136 คน

สำหรับ 5 ประเทศที่มีคนงานไทยลักลอบไปทำงานมากที่สุด

อันดับ 1 ประเทศเกาหลี ระงับการเดินทาง 700 คน
อันดับ 2 ประเทศบาห์เรน ระงับการเดินทาง 628 คน
อันดับ 3 ประเทศมาเลเซีย ระงับการเดินทาง 118 คน
อันดับ 4 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระงับการเดินทาง 22 คน
อันดับ 5 ประเทศอินเดีย ระงับการเดินทาง 12 คน

ส่วนสถิติตั้งแต่เดือน ม.ค. - เม.ย. 61 ระงับการเดินทาง รวมทั้งสิ้น 902 คน

สำหรับ 5 ประเทศที่มีคนงานไทยลักลอบไปทำงานมากที่สุด

อันดับ 1 ประเทศเกาหลี ระงับการเดินทาง 626 คน
อันดับ 2 ประเทศบาห์เรน ระงับการเดินทาง 127 คน
อันดับ 3 ประเทศมาเลเซีย ระงับการเดินทาง 69 คน
อันดับ 4 ประเทศรัสเซีย ระงับการเดินทาง 11 คน
อันดับ 5 ประเทศคาซัคสถาน ระงับการเดินทาง 10 คน

“ในแต่ละปี มีคนไทยไปต่างประเทศปีละ 300,000 คน ในกลุ่มที่ระงับได้ 1,000 กว่าคน เป็นคนที่เชื่อว่าจะไปทำงานจริงๆ ดังนั้น จำนวนสถิติที่ไปทำงาน เชื่อว่ามีมากกว่านี้ แต่อาจจะหลุดตาไปบ้าง เพราะเจ้าหน้าที่น้อย พอเข้มงวดที่ด่านสุวรรณภูมิมากๆ ก็จะหลบไปที่ด่านดอนเมือง พอเข้มงวดด่านดอนเมืองก็ย้ายไปที่ด่านเชียงใหม่ เหมือนวิ่งไล่แมวจับหนู” ผอ.กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กล่าวอย่างเหนื่อยใจ

คนล้มอย่าข้าม! จับได้-ถูกส่งกลับ ปรับไม่เกิน 5,000 แต่ไม่ซ้ำเติมคนเดือดร้อน?

ในส่วนของบทลงโทษ นายโอวาท เผยว่า หากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางาน พบบุคคลมีพฤติกรรมส่อว่าจะไปทำงานแบบผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่มีอำนาจระงับการเดินทางในครั้งนั้นทันที แต่ครั้งต่อไปก็สามารถเดินทางได้ เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดว่า ห้ามเดินทางเป็นระยะเวลากี่วัน ส่วนบทลงโทษอื่นนั้น ไม่มี เนื่องจาก ยังไม่ได้มีการเดินทาง และการกระทำความผิดยังไม่สำเร็จ

แต่หากเป็นกรณีที่เดินทางไปแล้ว และไปถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจากประเทศปลายทาง และส่งตัวกลับมาในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองและลักลอบทำงาน จะมีบทกำหนดโทษสำหรับคนงานไทย คือ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กรมฯ ไม่ได้ใช้มาตรานี้กับคนงาน เพราะกลายเป็นว่า คนงานเดือดร้อน ถูกส่งกลับมาแล้ว จึงไม่อยากซ้ำเติม

จ่อจับมือ กต.ไม่ออกพาสปอร์ต หากถูกส่งตัวกลับกรณีลักลอบทำงา

นายโอวาท ยังได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาด้วยว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ใช้มาเกือบ 40 ปีแล้ว ทำให้ตอนนี้อยู่ในระหว่างแก้ไขกฎหมาย ประกอบกับกรมการจัดหางานกำลังอยู่ในช่วงหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ ว่า...

ในกรณีที่คนงานถูกระงับการเดินทาง หรือ คนงานที่ลักลอบไปทำงานต่างประเทศแล้วถูกส่งกลับมา ทางกระทรวงการต่างประเทศจะมีมาตรการไม่ออกพาสปอร์ตให้เป็นระยะเวลา 2 หรือ 3 ปี เป็นไปได้หรือไม่..?

เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ระงับการเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้คนงานก็หาวิธีการไปใหม่อยู่ดี

เตรียมแก้ระเบียบ! โฆษณาชวนทำงานต่างประเทศ ต้องขออนุญาตก่อน ไม่เว้นคนทั่วไป

นอกจากนี้ ในประเด็นการโฆษณาเชิญชวนให้คนไปทำงานต่างประเทศในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งตามกฎหมาย การโฆษณาอนุญาตให้เฉพาะบริษัทจัดหางานที่ส่งคนงานไปถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น จึงจะโฆษณาได้ แต่ว่าการโฆษณาต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงแรงงานกำหนด

ดังนั้น จึงเป็นข้อยกเว้นว่า ถ้าบุคคลธรรมดา หรือ บุคคลทั่วไปโฆษณา จะไม่มีบทกำหนดโทษ ขณะนี้ อยู่ระหว่างแก้ไขระเบียบใหม่ ว่า ต่อไปหากใครโฆษณาถือว่าเป็นความผิด ต้องขออนุญาตกรมการจัดหางานในการตรวจสอบก่อน

โอด เจ้าหน้าที่ด่านตรวจฯไม่พอ ฝากถึงผีน้อย “คนไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี!”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางาน นายโอวาท อธิบายว่า ทางด่านสุวรรณภูมิมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ เข้าเวรผลัดหนึ่งมีเพียง 3-4 คน ขณะเดียวกัน ไฟลต์ตรงไปประเทศเกาหลีต่อวัน 17 เที่ยว จึงใช้วิธีการบูรณาการกับตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ให้ช่วยตรวจสอบ และส่วนหนึ่งมีเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปสมทบกับเจ้าหน้าที่ด่าน ในกรณีที่มีเบาะแสว่าจะมีลักลอบไปหลายคน ซึ่งที่ผ่านมาเคยระงับได้ครั้งหนึ่งเกือบเหมาลำ

ดังนั้น เรื่องอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ด่าน ถ้ามีเพิ่มเติมในส่วนนี้ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“ถึงคนงานที่จะไปทำงาน ถ้าจะไปขอให้ไปแบบถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายคุ้มครอง อยู่แบบถูกต้อง มีใบอนุญาตทำงาน มีสวัสดิการรักษาพยาบาล สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ว่า...เรามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เข้าไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากไปแบบผิดกฎหมาย ก็จะไม่ได้รับสิทธิอะไรเลย ถูกกดดันเพราะผิดกฎหมาย การสื่อสารมีอุปสรรค การหางานทำกลายเป็นงานที่ถูกบังคับ สุดท้ายก็กลายมาเป็นภาระและส่งผลเสียต่อประเทศไทย” ผอ.กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ฝากทิ้งท้าย

บริษัททัวร์โดนด้วย! รู้เห็น จัดหาคน บินค้าแรงงานต่างประเทศ

สำหรับในส่วนของบริษัททัวร์ที่รู้เห็นเป็นใจ เป็นนายหน้าจัดหาแรงงานไทยส่งไปทำงานต่างประเทศอย่างผิดกฎหมายนั้น พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ บช.ทท. กล่าวถึงบทลงโทษว่า...

หากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวรู้เห็น หรือจัดหาให้มีการพาคนงานไปทำงานในต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท

และตามกฎหมาย มาตรา 24 ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยว หรือนักท่องเที่ยว หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท

“การที่บริษัททัวร์พาคนงานไปโดดทัวร์ ทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยเสียหาย และคนทั่วไปที่จะเดินทางไปเที่ยวประเทศเกาหลีต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด เข้าประเทศได้ยากขึ้น ทั้งที่บางคนตั้งใจไปเที่ยวจริงๆ แต่ต้องมาเสียหาย จากการกระทำของคนกลุ่มนี้ ร่วมกันระหว่างคนที่จะไปทำงานกับบริษัททัวร์บางส่วนที่ร่วมมือกัน” ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ให้ความเห็น

ตรวจจับยากกว่าให้ความรู้? ตร.เสี่ยง โดนร้องเรียนหากหลักฐานไม่แน่น

ในมุมของตำรวจท่องเที่ยว พ.ต.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องการพิสูจน์ทราบเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เปิดบริษัท แต่ไปเปิดในเฟซบุ๊ก พาเที่ยวตามปกติ จึงมองว่าการประชาสัมพันธ์ให้คนได้ทราบว่า การไปทำงานผิดกฎหมายในต่างประเทศอันตราย ขณะที่ กฎหมายมีช่องให้ไปอย่างถูกต้อง โดยมีคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถให้ตรงกับงานที่ไปทำ

ไม่ใช่คิดว่าอยู่ประเทศไทย งานไม่มี เงินเดือนน้อย ก็จะไปตายเอาดาบหน้า มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดทุกคน!

“ผมมองว่าการตรวจจับทำยากมากกว่าการให้ความรู้ประชาชน ระบบทุกอย่างใช้วิจารณญาณ หากไปโดนนักท่องเที่ยวจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็เดือดร้อน ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายมันไม่ 100% และในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวก็จะพยายามประชาสัมพันธ์ไม่ให้กระทำแบบนี้ และการปฏิบัติงานก็คงต้องตรวจเรื่อยๆ ซึ่งในส่วนของตำรวจท่องเที่ยว มีหน้าที่ตรวจกรุ๊ปทัวร์ที่สนามบินอยู่แล้ว และหากทางจัดหางานสงสัยใคร สามารถเรียกไปตรวจได้เลย จึงเกิดการร่วมมือกันขึ้นครับ” ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กล่าว

ตม.แจง สกัดผีน้อยไม่ได้ หากไม่มีหมายจับ หรือ หนังสือห้ามออกนอกประเทศ

ด้าน พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผบก.ตม.2 ให้ข้อมูลว่า ในส่วนของ ตม.นั้น ดูแลในส่วนของการเดินทางเข้า-ออกประเทศ หากไม่มีหมายจับ หรือหนังสือห้ามออกนอกประเทศ ตม.จะไม่สามารถไปห้ามคนที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศไทย เพราะเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล

ทั้งนี้ เมื่อคนไทยถูกส่งกลับประเทศทาง ตม.เกาหลี จะระบุถึงสาเหตุของการปฏิเสธห้ามเข้าประเทศว่า อยู่เกินวีซ่า แต่จะไม่บอกว่าลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ขณะที่ ประเทศไทยจะระบุชัดเจนว่า สื่อสารไม่ได้ ไม่มีเงินติดตัวมา ไม่ได้จองโรงแรม ไม่มีตั๋วกลับ และจะขึ้น Black List ห้ามเข้าประเทศ

และสำหรับกฎหมายของ ตม.ไทยจะไม่มีบทลงโทษสำหรับคนไทยที่ไปลักลอบทำงานแล้วถูกส่งตัวกลับมา เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดในประเทศเกาหลี ซึ่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของประเทศดังกล่าว

เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาในส่วนของ ตม.นั้น พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ อธิบายว่า เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ต้องประสานงานกัน ซึ่งต้องถามทางประเทศเกาหลีว่า จะมีมาตรการอะไรมาแก้ไขปัญหานี้ หากคนที่เคยโดนจับแล้ว ขึ้น Black List ห้ามเข้าประเทศกี่ปี หากครบกำหนดและจะเดินทางไปต่อ ก็เป็นสิทธิ์ของทาง ตม.เกาหลี ว่าจะพิจารณาให้เข้าหรือไม่ เพราะมีข้อมูลโชว์อยู่ว่าเคยติด Black List และได้เคยพูดคุย หารือกันหลายรอบแล้ว สำหรับเรื่องคนงานไทยไปลักลอบทำงานที่เกาหลี แต่ก็ไม่สามารถชี้นำให้มีนโยบายเหมือนอย่างประเทศไทยได้

รายงานพิเศษข้างต้นนี้ เป็นแนวทางตามข้อกฎหมาย และความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แล้วคุณล่ะ คิดเห็นหรือมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรกับเรื่องนี้?
ลองแชร์กันมาหน่อย...

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Training สร้างตัวตน เปิดเล่ห์กลผีน้อย บินขายแรงงานแดนโอปป้า (ตอน 1)

เหลืออด บริษัททัวร์แฉเอง ลูกค้าไทยเกินครึ่ง แฝงตัวโดดกรุ๊ปทำงานเกาหลี

โอปป้า ตม. พูด-ฟังไทยได้ ไขคำตอบ ดราม่า เกาหลีใต้ อคติกีดกันคนไทย

มาเอง คราวนี้ต้องจบ! ฟังแจงทุกมุมดราม่าแบบละเอียด จากสถานทูตเกาหลีใต้

ฟื้นตำนานรักแท้ที่เกาหลี มรสุมชีวิตรุม ลูกเป็นมะเร็ง แฟนโรคหัวใจกำเริบ