ช่วงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินหน้าบุกทลายเครือข่าย "เมจิก สกิน" ที่ขายสารพัดสิ่งที่แอบอ้างสรรพคุณว่า ขาว ใส หุ่นดี รักษาได้... แต่สุดท้าย หลายผลิตภัณฑ์กลายเป็นเรื่องการหลอกลวง โฆษณาเกินจริง ซึ่งความผิดที่เกิดขึ้น หลายกรรม หลายวาระ...
คนที่ได้เห็นข่าวและไม่เคยใช้อาจจะไม่รู้(ซึ้ง) แต่สำหรับผู้เดือดร้อนที่หลงเชื่อ ทั้งใช้ผลิตภัณฑ์ หรือตัวแทนในการขายสินค้า กลับต้องระทมทุกข์จากการสูญเสียเงิน สูญเสียโอกาส หรือรับผลกระทบจากผลข้างเคียงต่างๆ จากที่ได้เห็นหน้าฉากดูดี อู้ฟู่
รายงานพิเศษชิ้นนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยจาก “เหยื่อ” เครือข่าย “เมจิก สกิน” ซึ่งเธอทั้งสองอยู่ในฐานะ “เครือข่ายที่ค้าขายสินค้า” และ “ลูกค้า” ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของตนเอง
...
อวดรวยอู้ฟู่ ไลฟ์สดเงินเท่าภูเขา คนดังรีวิว จุดเริ่มชักนำเข้าวงจร
“นภัทร ทยุติชยากร” คือหนึ่งในผู้เสียหายที่ได้รับแจ็กพอต 2 เด้ง คือ นอกจากจะเสียเงินที่ลงทุนนับแสนบาทแล้ว ยังได้ทิ้ง “หลักฐานความทุกข์” คือ สินค้าที่คล้ายเป็น “กองขยะ” กองอยู่ในบ้านแล้ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ ยังต้องมาเจ็บป่วยจากการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง โดยแอบอ้างว่า “รักษาโรคสะเก็ดเงิน”
สาวผู้เป็นเหยื่อเครือข่ายผลิตภัณฑ์ “เมจิก สกิน” เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นการเข้าสู่วงจรธุรกิจนี้ว่า... “ได้เห็นรีวิวเซรั่มตัวหนึ่งสินค้าในเครือเมจิกสกิน ซึ่งคนที่รีวิวนั้นคือ เน็ตไอดอลคนหนึ่งที่เราชื่นชอบเขามาก ซึ่งในเพจที่รีวิวนั้นก็มีการปักหมุดให้กับผู้ที่สนใจ เราจึงศึกษารายละเอียดตามเขาบอก...
เรายังไม่ได้สมัครเป็นตัวแทนทันทีนะ ถึงแม้จะรู้สึกว่าน่าเชื่อถือเพราะเห็นเน็ตไอดอลคนนี้รีวิว จากนั้นเราก็ได้ไปดูเจ้าของแบรนด์รีวิว ซึ่งเขาพูดว่าเขามีโครงการ “ปั้นรากหญ้าให้เป็นเศรษฐี” เขาก็เล่าชีวิตตัวเองว่าเคยลำบาก แต่เขาอ้างว่าทำแค่ 4 เดือนก็มีบ้านราคานับสิบล้าน มีรถหรูขับ มีเงินเป็นกองๆ โชว์ระหว่างไลฟ์สด..”
ไม่ทันไรก็มีเงินเข้า แม่ข่ายชักชวน ยกระดับชั้น
คุณนภัทร ยอมรับว่าเธอหลงเชื่อโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบตัวยา หรือ ผลิตภัณฑ์แม้แต่น้อย จากนั้นก็ได้ติดต่อ “แม่ข่าย” ซึ่งแม่ข่ายก็เสนอให้เธอเข้ามาสมัครเป็นตัวแทน โดยให้ข้อเสนอว่า... หากเป็นระดับวีไอพีแล้ว หากมีใครสมัครหลังจากนี้เขาก็จะส่งคนเหล่านั้นมาเป็นลูกทีมเรา ซึ่งลูกทีมก็จะมารับของจากเราต่อไปเป็นทอดๆ เพราะเขาจะไม่เน้นขายปลีก
รู้สึกเฉลียวใจบ้างหรือไม่ เพราะระบบที่ใช้คล้ายกับ “แชร์ลูกโซ่” คุณนภัทร กล่าวว่า ไม่ได้เฉลียวใจเลย เพราะเรามั่นใจในแบรนด์ เพราะทราบว่าเป็นแบรนด์ดัง มีสินค้าขายในท้องตลาด อีกทั้งยังเห็นว่า “เฟิร์น” (เจ้าของเมจิก สกิน ที่ถูกจับ) เขารีวิวอ้างว่ามีโรงงานผลิตกว่า 150 ล้านบาท จึงไม่คิดว่าจะมีปัญหาตามมา จึงตัดสินใจสมัครในระดับ VIP ในราคา 30,000 บาท
เมื่อโอนเงินเขาก็ดึงเข้ากลุ่ม..แต่ก็ยังไม่ได้สินค้า โดยอ้างว่าโรงงานผลิตไม่ทัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน “แม่ทีม” ซึ่งเป็นระดับดีลเลอร์ เขาก็เสนอให้เราสมัครเพิ่มขึ้นเป็น VIP GOLD เพื่อจะได้สินค้าเพิ่มขึ้นจะได้พอขาย ซึ่งจะรับได้ 1,000 ซอง โดยค่าสมัครก็เพิ่มขึ้น
...
ระหว่างที่รอของ เขาก็ส่งลูกข่ายมาให้เรา โดยต่อจากเราอีก 4-5 คน “คิดในใจ...คือก็ดีนะแบบนี้ พอของมา เราส่งต่อเราก็ได้กำไรแล้ว” จากนั้นเขาก็เสนอให้เราเลื่อนระดับเป็น Super สามารถสั่งซื้อได้ 5,000 ซอง โดยเราจะเสียค่าสมัคร 135,000 บาท
หลังจากนั้นเกือบเดือน...เรามีลูกทีมเกือบ 40 คนแล้ว ซึ่งลูกทีมทุกคนที่สั่งของก็จะโอนเงินมาไว้ที่เรา พอของมาส่ง เราก็กระจายให้ลูกทีมทั้งหมด โดยในลอตแรกที่ขาย เราได้กำไรเกือบ 50,000 บาท (ไม่รวมทุน) ทั้งที่ได้ของเพียง 3,000-4,000 ซอง
“ตรงนี้แหละ คือเหตุจูงใจที่ใครๆ ก็อยากเข้ามา..”
...
ระทมทุกข์ เมื่อลูกชายลองใช้ โรคสะเก็ดเงินเห่อหนัก
เราเองเห็นรายได้... จึงสมัครเพิ่มเป็น Super VIP โดยสามารถซื้อได้ 10,000 ซอง ค่าสมัครประมาณ 270,000 บาท ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่อง...ลูกชายได้รับผลกระทบจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างว่าช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน เดิมทีไม่เป็นมาก เป็นแค่บริเวณแขน ข้อศอกเท่านั้น..
“พอลูกชายใช้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเขาเป็นแบบเซรั่ม เราก็คิดว่าคล้ายโลชั่น ลูกชายและคุณยายที่ทาให้เขาก็ทาแบบลูบไปทั้งแขนทั้งขา และ ก็ที่ตัว ปรากฏว่าพอใช้ไปแล้วก็ยิ่งอักเสบ แค่ใช้วันแรกก็เริ่มมีแผลแดงๆ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร ก็ใช้ต่อถึง 5 วัน เท่านั้นแหละลุกลามทั่วทั้งตัว ลูกชายต้องทนทรมานมาก เรานำเรื่องนี้ไปถาม “แม่ทีม” คนขายเซรั่มตัวนี้ เขาก็อ้างว่าเป็นเอฟเฟกต์ เหมือนกับเห่อขึ้นมาก่อนแล้วมันจะค่อยๆ หยุด แต่ไม่ใช่เลย เมื่อใช้ต่ออาการกลับยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ กระทั่ง 2 สัปดาห์ต่อมา ลูกบอกว่า “แม่ไม่ไหวแล้ว” ทั้งแสบและคันและลามไปเรื่อยๆ เดิมทีแผลเริ่มแห้งแล้ว แต่พอใช้แล้วแผลกลับเละกลายเป็นเปื่อยยุ่ย...”
...
นางนภัทร ได้นำเรื่องนี้ไปถามแม่ทีมอีกครั้ง แม่ทีมก็รับคำอ้างว่าจะไปถามเรื่องให้ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ส่วนลูกชาย จากที่เคยหยุดใช้ยาแผนปัจจุบันก็ต้องกลับไปรักษาแบบเดิม ซึ่งตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว
“ลูกชายเอาครีมตรีชฎาไปหาหมอดู หมอบอกว่า “ครีมพวกนี้ไม่สามารถรักษาโรคได้นะครับ ทำไมคุณแม่เอาไปให้ลูกทา ยาหมอก็ดีอยู่แล้ว แล้วมาทาครีมอะไรก็ไม่รู้” เราเชื่อรีวิวที่ให้มาเพราะมีรูป Before และ After แบบดีมาก และไม่ได้มีแค่รีวิวเดียว มี 4-5 คลิป โดยเซรั่มที่ใช้นั้นมีส่วนผสม แต่ไม่มีเอกสารกำกับยา มีแค่เลขจดแจ้ง แต่ยังไม่มีเลข อย.”
เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ลูกข่ายฟัง กระทั่งมีเด็กคนหนึ่งแนะนำให้ไปติดตามเพจหนึ่งที่ได้ติดตามสินค้าที่มีปัญหาของ เมจิก สกิน ทั้งหมด เมื่อเราเข้าไปดูจึงรู้ว่ามีสินค้าอีกหลายตัวที่มีปัญหา และมีผู้เสียหายอีกจำนวนมาก กระทั่งตำรวจไปบุกจับที่โคราช จากนั้นจึงรวมตัวกันร้องเรียน
สรุปความเสียหายนับแสน บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว
สรุปความเสียหายครั้งนี้ที่ได้รับ อดีตสมาชิก เมจิก สกิน ระดับวีไอพี ยอมรับว่า ตอนนี้มีสินค้าที่ยังเหลือคงค้างมูลค่านับแสนบาท ยังดีที่เขายังคืนเงินในส่วนสินค้าที่ยังไม่ได้รับ กว่า 3 แสน ขณะที่เงินลงทุนในการสมัครสมาชิกนั้นก็ยังได้คืนมาบ้างจากการขายสินค้า เมื่อขอคืนสินค้า เขากลับไม่ยอม และบอกให้เรานำสินค้าตัวใหม่ไปขาย ซึ่งก็เป็นสินค้าที่ค้างสต็อกที่ขายไม่ออก เราจะไปขายใครได้ยังไง และล่าสุดก็ทราบว่าสินค้าตัวใหม่ที่จะให้ ก็เป็นสินค้าที่ถูกเจ้าหน้าที่ไปบุกทลายมา
นางนภัทร เผยว่า คนที่เดือดร้อนเหมือนตน มีประมาณ 300-400 คน ที่มีสินค้าในมือและขายไม่ได้ ส่วนที่ยังไม่ได้สินค้า เงินส่วนนั้นทางบริษัทเขาได้คืนเป็นเงินมาแล้ว แต่...
“หลายคนที่เป็นลูกข่ายของเรา สิ้นเนื้อประดาตัว บางคนไปกู้หนี้ยืมสินมา บางคนขาดส่งบ้านและรถ แบงก์ก็มาทวง รถจะถูกยึด คนที่โดนเยอะที่สุด คือผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ จ.ชลบุรี เพราะมีสินค้าในบ้านเยอะ ซึ่งเรื่องนี้ไม่รู้ใครเป็นคนบอก แต่เชื่อว่าคนที่เกี่ยวข้องจะเป็นวงในของเมจิก สกิน แต่ผู้หญิงคนนี้เขาใช้บ้านเป็นโกดัง ซึ่งเจ้าของตัวจริงมาฝากไว้ เมื่อตำรวจมาจับก็ถูกดำเนินคดีด้วย เราก็ต้องไปช่วยประกันตัวเขาออกมาเพื่อสู้คดีในศาล”
ต้องขอบคุณท่าน รอง ผบ.ตร. (พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา) ท่านบอกกับพวกเราว่า ตอนนี้กำลังไล่ตามยึดเงินของบริษัทนี้ ซึ่งตอนนี้ได้เงินมาแล้วแค่ 19 ล้าน ซึ่งความเป็นจริงนั้น เขามีเงินมาก ไม่ใช่แค่หลักสิบล้าน เท่าที่รู้คือ น่าจะมีเงินเป็นหมื่นล้าน! เพราะที่โชว์เงินสดก็น่าจะมีนับพันล้านแล้ว เขายังมีรถหรูอีก 38 คัน ซึ่งแต่ละคันราคาเป็นสิบล้าน จอดอยู่ในบ้าน มีรถคันหนึ่งราคาเกือบ 50 ล้าน เราไปตามเช็กคนจดทะเบียนซื้อรถหรูก็พบชื่อเขาและสามีเป็นผู้ซื้อรถ
ในช่วงท้าย นางนภัทร ได้กล่าวอย่างน่าสนใจว่า คนที่เข้ามาในธุรกิจนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากการเห็นรีวิวของเน็ตไอดอล และดาราชื่อดัง เพราะคนทั่วไปเขาเชื่อมั่นกับบุคคลเหล่านี้ หากบุคคลเหล่านี้มารีวิวหรือเป็นพรีเซ็นเตอร์ เขาก็ย่อมเชื่อมั่นว่าสินค้าที่รีวิวนั้นเป็นของดี ถามว่าเวลารับงานของผู้มีชื่อเสียง เขาไม่เช็กสินค้าเลยเหรอ เรื่องแบบนี้เชื่อว่าเขาเช็ก แต่พอมีความผิดเกิดขึ้นมา ดาราแต่ละคนกลับมาพูดว่า “ไม่รู้เรื่อง..” การพูดแบบนี้เป็นการพูดแบบไม่มีความรับผิดชอบ เพราะทุกคนเป็นคนของประชาชนแล้ว พูดว่าไม่รู้ก็จบเหรอ บางคนพูดว่า “กินเอง ใช้เอง” แต่พอถึงเวลาบอกแค่รับจ้าง ทำแบบนี้มันถูกต้องหรือไม่..”
แม่ค้าเมจิก สกิน ก็โดน ลองใช้ผลิตภัณฑ์ในเครือ ผลกลายเป็นฝี เสี่ยงมะเร็ง
ขณะที่ "รชนัน ทรงจันทร์" อายุ 33 ปี หรือ คุณแก้ม แชร์ประสบการณ์ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามให้ฟังด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตนเป็นตัวแทนขายสินค้าของ เมจิก สกิน แต่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วเกิดปัญหานั้นคือ ครีมอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นสินค้าเครือข่ายเดียวกัน สาเหตุที่ใช้เพราะเห็นเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กโพสต์ขาย โดยระบุว่า ตุ่มหนังไก่ กลิ่นตัว หาย รักแร้ขาว รวมถึงทาแก้ท้องลายได้ด้วย ก็เลยซื้อมาลองใช้เอง...
“เริ่มแรกเราทาที่หน้าท้อง และรักแร้ ซึ่งเมื่อใช้ได้ 3 วัน ที่หน้าท้องที่ทานั้นเกิดฝี ตอนนั้นก็เลยหยุดใช้ที่บริเวณหน้าท้อง แต่ก็ยังใช้ที่รักแร้ต่อ ปรากฏว่า ใช้ได้อีกไม่กี่วัน รู้สึกว่ามีตุ่มอะไรสักอย่างขึ้นที่รักแร้ข้างซ้าย (ถนัดขวาจึงทารักแร้ข้างซ้ายเยอะ) ก็เลยหยุดใช้..จากนั้นคุณหมอก็บอกว่าเป็นฝี”
เมื่อมีอาการบวมจึงหยุดใช้ทันที แต่อาการบวมก็ยังไม่ลด และเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งวันที่ 7 “ฝีแตก” ออกมาเลย แก้มเจ็บปวดมากๆ แก้มต้องรักษาด้วยการหาหมอและเย็บถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกผ่าเอาหนองออกมา แต่พอไม่กี่วัน ฝีแตกอีก เพราะเวลาทำงานเราจะใช้แขนทั้ง 2 ข้าง จึงเกิดการเสียดสี ฝีจึงแตกออกอีก เราจึงต้องไปเย็บอีกครั้งหนึ่ง...
ถึงวันนี้ได้ทำการรักษามาแล้ว 2 เดือน แต่แขนข้างซ้ายยังคงมีอาการยืดชูสุดไม่ได้ เพราะเวลาชูแขนสุดแล้วจะมีอาการเจ็บจี๊ดๆ เราจึงไม่กล้ายืดแขนสุด
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือแพทย์แจ้งเรามาภายหลังว่า การเกิดอาการในลักษณะนี้ทำให้เรามีความเสี่ยงต่อการเป็น “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” ได้อีก ถึงแม้แผลจะหายแล้ว แต่ที่ยังไม่หายคือ เป็นแผลเป็นที่รักแร้และชูสุดแขนไม่ได้ คุณหมอแนะนำว่าควรจะชูแขนให้ได้สุด ถ้าไม่ทำก็จะไม่สามารถชูได้อีก เหมือนกับเราเป็นคนพิการ
อยากจะถามว่า คนที่เป็นตัวแทนของเขา หรือใครก็ได้จะรับผิดชอบอย่างไร เพราะตอนแรกที่เกิดอาการ เราโพสต์ข้อความและรูปผ่านเฟซบุ๊ก บอกว่าใช้แล้วเป็นอย่างนี้ ตัวแทนเขาก็ออกมาด่าแก้ม ว่าใช้ของปลอม ทำไมคนอื่นไม่เป็น...นู่นนี่ (เสียงสั่นเครือ) แต่ขอถามกลับใครจะรับผิดชอบ
“ตอนที่เกิดเหตุเมื่อ 2 เดือนก่อน คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นฝี แต่ปัจจุบัน องค์การอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศสินค้าที่มีปัญหา ซึ่งพบว่ามีเซรั่มที่เราใช้ด้วย ดังนั้นเราจึงได้ทำเรื่องขอให้หมอระบุว่าเราได้อาการแพ้จากสินค้าตัวนี้ เป็นไปได้หรือที่คนเราจะเป็นฝี 2 ที่ในเวลาใกล้เคียงกันไม่กี่วัน”
ณ ตอนนี้เราคงต้องสู้ เพราะตอนที่เรารักษาตัว เราใช้ประกันของตัวเอง ใช้เงินตัวเอง มีอยู่วันหนึ่ง มีรายการหนึ่งเอาเซรั่มตัวนี้ไปออกรายการโปรโมตสินค้า เราก็โทรไปบอกว่า สินค้าตัวนี้อันตรายนะ แต่...วันนั้นเขายังไม่ถูกจับ เขาก็ไม่สนใจเรา “ไม่เห็นว่าเจ้าของจะถูกจับ” เขาตอบเรากลับมาแบบนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “รักแร้เราเน่า เสี่ยงเป็นมะเร็ง..ใครรับผิดชอบคะ”
ยอมรับโง่เอง...ไม่รู้จักเช็กอะไร ดูแค่โฆษณา สุดท้ายเดือดร้อนหนักทั้งตัวเองและครอบครัว
ตอนนี้พอย้อนกลับมามอง...เรารู้สึกว่า ครั้งนั้นเราหลงเชื่อไปได้อย่างไร ไปเป็นตัวแทนขายได้ยังไง ยอมรับเลยว่าเราโง่...โง่ที่ไม่รู้จักเช็กอะไรเลย ดูแค่ว่าโฆษณาดูดี เจ้าของบริษัทน่าเชื่อถือ เวลาไลฟ์สดขายของ เอาเงินมาวางตรงหน้าเยอะๆ “เขารวยจริงว่ะ ชีวิตดูดีจัง งั้นก็ต้องขายบ้างสิ” ตอนนั้นคิดแค่นั้น..
แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกที่ดีหลงเหลืออยู่แล้ว หากตอนนั้นออกมายอมรับว่าของคุณไม่ดี และคืนเงิน เรายังมีความรู้สึกว่า “ผู้หญิงคนนี้สุดยอด” จะให้ด่าเขาก็คงไม่สำนึก
ผลกระทบที่ว่าไม่ได้อยู่แค่ตัวเราคนเดียว แต่มันไปถึงครอบครัวด้วย ตอนแรกที่มีข่าวทะเลาะกับแฟน เพราะเราลาออกจากงานประจำเพื่อมาขายของในเครือเมจิก สกิน ตอนแรกยอมรับว่าขายดี กลัวกระทบกับงานประจำจึงลาออกมา แต่ตอนนี้กลายเป็นคนว่างงาน ไม่สมัครงานใหม่เพราะกำลังสู้คดีอยู่ กลัวหากไปสมัครงานแล้วจะกระทบกับงานใหม่
“ตอนนี้รู้สึกขยาดกับการขายของออนไลน์... สิ่งที่ทำตอนนี้คือเลี้ยงลูกอยู่บ้าน 2 คน ชีวิตแย่ลงมาก เป็นหนี้สิน โดยเฉพาะพ่อแม่ เพราะเราต้องไปยืมเงินคนอื่น เนื่องจากเราเป็นคุณแม่ลูก 2 จำเป็นต้องกินต้องใช้ พอไม่มีเงินก็ไปหายืมคนอื่น แม่ทีม คนในทีมเราก็หาเงินมาช่วย สุดท้ายพ่อแม่มาช่วยจ่ายให้ กลายเป็นหนี้พ่อแม่กว่า 50,000 บาท...ชีวิตพังจริงๆ ขายของแบรนด์นี้”
ถามดารา เน็ตไอดอล รับผิดชอบมากกว่านี้ได้ไหม..
สุดท้ายอยากฝากถึงผู้เสียหายที่ยังไม่เปิดเผยตัว อยากให้ร่วมกันออกมาแสดงพลังเพื่อปกป้องรักษาสิทธิของตัวเอง ยืนยันว่าเราไม่ได้สมรู้ร่วมคิด บางคนบ้านอยู่ต่างจังหวัด ทุกคนเป็นเหยื่อ บางคนลงทุนหลายแสนมากกว่าเราอีก ออกมาเถอะ ท่านวิระชัย จับแล้ว นอกจากนี้ยังคงฝากไปถึงคนที่ไปว่าจ้างบริษัทนี้ผลิต เช่น ผลิตสบู่ และอื่นๆ เนื่องจากเขามีสินค้ากว่า 200-300 รายการ ซึ่งหลายสินค้าผลิตมาจากที่เดียวกัน แต่ผู้ว่าจ้างผลิตคนละคน
“ส่วนดารา เน็ตไอดอล อยากให้ช่วยรับผิดชอบมากกว่านี้สักนิดหนึ่ง...มากกว่าคำขอโทษ เพราะแฟนคลับของบางคน แค่เห็นคุณถือ ถ่ายรูปคู่ เขาตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โดยทันที”
นี่เป็นส่วนหนึ่งของรายงานพิเศษชุดนี้ ในวันพรุ่งนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะเปิดเผยขั้นตอนการสร้างแบรนด์ครีม สักยี่ห้อหนึ่ง..แท้ที่จริงแล้วยากเย็น หรือ ง่ายดายเพียงไร โปรดติดตาม
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ล้วงเล่ห์ขายครีม EP.2 บริการครบจบที่เดียว รวย หรือซวย หนึ่งโรงงาน หมื่นยี่ห้อ
ล้วงเล่ห์ขายครีม EP.3 สะดวก รวดเร็ว ทันยุค 4.0 ปลดล็อกตั๋ว อย.วันละ 300 รายการ
ล้วงเล่ห์ขายครีม EP.4 กวนครีมใส่สารอันตราย จ่ายตังค์บริษัทเก๋า การันตี 3 วันได้เลข อย.
สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราว หรือประเด็นปัญหาของท่าน มาได้ที่ reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ