ตอนที่ 14
รุจวิ่งหาพลางตะโกนเรียกอารยาท่ามกลางไฟป่าที่ลุกลามน่ากลัว เขาเชื่อว่าอารยาต้องอยู่บริเวณกองไฟตัดสินใจวิ่งฝ่าเข้าไป ได้ยินเสียงอารยาครางเบาๆ เขาพุ่งเข้าไปช้อนร่างเธออุ้มวิ่งออกมา
อารยาซบกับอกเขาอย่างหมดแรง เพราะสำลักควันไฟ หายใจไม่ออก พอรุจอุ้มวิ่งออกมาพ้นแนวไฟ เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่บอกเขาว่า “น้อยสำลักควันไฟค่ะ”
“มีบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” รุจถามพลางดูที่แขนขาพัลวันด้วยความห่วงใย อารยามองอย่างซึ้งใจ จนครู่หนึ่งเขาบอกรีบไปเถิดอีกไม่ไกลแล้ว อารยามองไปเห็นจักรยานของเขาเค้เก้อยู่เลยบอกว่า
“คุณรุจขี่รถไป น้อยจะเดินตามไป”
รุจมองขวับด้วยสายตาเป็นประกายประหลาด เห็นเธอ หนาวสั่นจึงถอดเสื้อตัวเองคลุมให้ อารยายกมือไหว้ขอบคุณ จากนั้นรุจให้เธอซ้อนท้ายจักรยานแล้วถีบไปอย่างเร่งรีบ
อารยาโอบกอดเอวรุจไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
รุจปั่นจักรยานมาจนถึงทางเข้าบ้านไร่รวงผึ้ง ความมืด ทำให้มองเห็นเส้นทางไม่ถนัด จักรยานพุ่งชนหินก้อนใหญ่ ที่ขวางทางอยู่จนจักรยานล้ม อารยาร่วงพลั่กลงไปกองกับพื้น ส่วนรุจล้มทับจักรยาน พอลุกขึ้นได้เขาร้องเรียกอารยาถาม ว่าเจ็บมากไหม
“เจ็บมาก” อารยาเดินกะเผลกเข้ามา เธอพยายามจะไปพร้อมเขาแต่เจ็บขาจนเดินแทบไม่ไหว สุดท้ายตัดสินใจบอกให้เขาไปก่อน ตนจะตามไปเอง
ooooooo
ภคินีเป็นห่วงพี่ชายรํ่าร้องให้หมอทินกรช่วยผ่าตัดให้ ทินกรบอกว่าตนเป็นหมอฝึกหัดทำไม่ได้ น้าสังวาลย์ปลอบใจว่าเดี๋ยวอารยาคงมาแล้ว
“ไม่มา น้องรู้ อารยาโกรธน้อง เขาไม่มาหรอก หรือ ไม่พระศัลย์ฯโกรธแทนลูกสาว...ไม่มา”
“พระศัลย์ฯโกรธแทนลูกสาวเป็นไปได้ แต่อารยาโกรธคุณน้องเป็นไปไม่ได้” น้าสังวาลย์มั่นใจ ทำให้ภคินีโกรธน้าสังวาลย์หาว่าเข้าข้างอารยา ไล่ว่ารักอารยาก็ไปอยู่กับอารยา เลย แล้วบอกหมอทินกรให้พาตนไปหาพี่ชาย สั่งให้อุ้มไปเดี๋ยวนี้เลย
หมอทินกรดูอาการของภาคินัยด้วยความเป็นห่วงเกรงว่าหมอจะมาไม่ทัน ยิ่งเมื่อน้าสังวาลย์บอกว่าคงติดไฟไหม้ ป่าอยู่ ทินกรก็ยิ่งกังวลถามว่าใครจะไปตามได้ไหม
“ไม่ต้องไปตามหรอกครับ” เสียงรุจดังเข้ามา ทุกคน หันมองต่างดีใจเหมือนฟ้ามาโปรด
รุจในสภาพมอมแมมที่ขมับมีบาดแผลเลือดไหลย้อย น้าสังวาลย์ถามถึงอารยา เขาบอกว่า
“เราเกิดอุบัติเหตุตรงทางเข้าไร่ อารยาเจ็บครับ เร่ง ให้ผมมาก่อน จะเดินตามมาทีหลัง”
น้าสังวาลย์บอกว่าเดี๋ยวจะออกไปดูอารยาเอง ส่วนรุจ ก็ถามถึงคนเจ็บว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อฟังทินกรเล่าแล้ว สีหน้า เขาเครียดขึ้น
พอดีน้าสังวาลย์รับอารยาเข้ามา ภคินีเห็นสภาพอารยาแล้วถามอย่างเป็นห่วงว่าทำไมเป็นแบบนี้ พลางก็ชื่นชมอารยาว่าช่างดีเหลือเกินที่พาหมอรุจมาได้
อารยาเล่าถึงสภาพการเดินทางที่ต้องฝ่าไฟป่ามาอย่างยากลำบาก ทำให้ภคินียิ่งสะเทือนใจ ส่วนรุจขอไปทำ ความสะอาดตัวแล้วจะไปตรวจภาคินัย
“เชิญค่ะ อารยาด้วย ไปทำความสะอาดตัวเองซะด้วย” น้าสังวาลย์บอก
ooooooo
รุจเข้าไปล้างหน้าล้างมือในห้องนํ้า อารยายืน คอยอยู่หน้าห้อง เขาร้องถามว่ามีปลาสเตอร์ปิดแผลไหมขออันหนึ่ง เมื่ออารยาหามาให้เขาปิดแผลเองไม่ถนัด เธอจึงเข้าไปช่วยปิดให้ มองหน้ากันในระยะใกล้ชิดแล้วต่างก็เมินไปทางอื่นเขินๆ
ที่ห้องภาคินัย กลายเป็นห้องผ่าตัดไปชั่วคราว รุจลงมือ ตรวจอย่างเคร่งเครียด โดยมีทินกรคอยเป็นผู้ช่วย หลังจากตรวจชีพจรเปิดม่านตาดูแล้ว รุจพูดกับทินกรสองสามคำก่อนเดินออกไป
เขาไปคุกเข่าตรงหน้ารถเข็นของภคินีบอกเธอว่า หมอผู้ช่วยกำลังเตรียมเครื่องมือ เล่าขั้นตอนการผ่าตัดแล้วปลอบใจภคินีว่า
“ภคินีไม่ต้องห่วงนะครับ หมอรับรองว่าจะทำสุดฝีมือ” เธอถามว่าพี่ชายไม่ตายใช่ไหม “ไม่ตาย หมอจะตายก่อนถ้าคุณภาคินัยต้องตาย”
ภคินีใจหายเอามืดปิดปากรุจไว้ไม่ให้พูดต่อ อารยาเดิน มาเห็นพอดี เธอชะงักหน้าเสียหันหลังเดินกลับไป ส่วนภคินีขอร้องรุจอย่าพูดอย่างนั้นอีกตนไม่อยากฟัง รุจรับปากว่า
“ไม่พูด ต่อจากนี้ไม่มีอะไรที่ต้องพูดแล้ว”
ooooooo
รุจลงมือผ่าตัดเมื่อกลางดึก โดยมีทินกรเป็นผู้ช่วย จนกระทั่งเช้าก็ยังไม่ออกมา
ที่หน้าห้องนอนภาคินัย ภคินีนั่งรถเข็นคอยฟังข่าวอยู่ จนหลับไปคารถ น้าสังวาลย์กับฝ้ายคำต้องช่วยกันพาไปนอนที่ห้องนอน ส่วนน้องฝาแฝดก็หลับไปที่เก้าอี้หน้าห้องนั่นเอง
จนสว่าง รุจออกจากห้องผ่าตัด น้าสังวาลย์โผเข้าไปถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาพยักหน้าบอกว่าเรียบร้อย น้ายิ้ม อย่างโล่งใจ ขอบคุณเขาครั้งแล้วครั้งเล่า รุจเหลือบมองอารยา ที่ฟังอยู่อย่างตั้งใจ พอรู้ว่าภาคินัยปลอดภัย เธอถึงกับนํ้าตาคลอ รุจสะบัดหน้าไปอย่างขุ่นใจ
“คุณหมอเทวดา เธอเป็นหมอเทวดาจริงๆ รอแต่ภคินี เท่านั้น ภคินีหาย บ้านนี้จะมีความสุขที่สุด” น้าสังวาลย์ฝาก ความหวังทั้งหมดไว้กับรุจ
เมื่อรุจเข้าไปก้มกระซิบบอกภคินีว่าพี่ชายปลอดภัยแล้ว เธอดีใจจนร้องไห้กอดคอรุจไว้อย่างลืมตัว อารยามองภาพนั้นด้วยสีหน้าหม่นหมองอยู่เงียบๆ
รุจบอกน้าสังวาลย์ที่เตือนให้เขานอนพักเสีย เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนว่า ตนจะนอนสัก 3 ชั่วโมงแล้วให้ปลุกเพราะต้องรีบกลับไปที่โรงพยาบาล แต่พอเขาเอนตัวนอนใน ห้องรับแขกก็ได้ยินเสียงอารยาเดินเข้ามา เธอเอาผ้าห่มมาให้
อารยาคลี่ผ้าห่มคลุมให้แล้วจะออกไป รุจจับมือเธอ ไว้ถามว่าจะไปไหน พลางดึงเข้าใกล้จนหน้าเกือบสัมผัสกัน อารยาพยายามขืนตัวร้องขอว่าอย่า ทำให้รุจปล่อยมือทันที จนเธอเซไป
“ไปซะอารยา ไปให้พ้นหน้าฉัน” เห็นอารยายังนิ่ง เขาลุกพรวดขึ้น “ฉันบอกให้เธอออกไป อีกประเดี๋ยวฉันก็จะไปเหมือนกัน ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะอยู่ขวางเธอกับภาคินัย”
“คุณรุจพูดสิ่งที่คุณคิดตลอดเวลา ไม่รับรู้เลยว่าจริง หรือไม่จริง”
“อารยา...ไม่มีเรื่องไหนไม่จริง เรื่องจริงคือฉันรักเธอ เรื่องจริงคือเธอไม่ได้รักฉัน เธอรักภาคินัย ไหน...เธอบอก มาสิว่าเรื่องไหนไม่จริง” พูดแล้วจ้องหน้ารอคำตอบ เห็นอารยา นิ่ง เขาบอกเธอว่าไปได้แล้ว เธอยังนิ่ง เขาเสียงดัง “ฉันบอกให้ เธอไปจากห้องนี้ หรือเธอจะให้ฉันเป็นคนไปเสียเอง”
อารยาลุกขึ้นเดินออกไปอย่างเสียใจ รุจจึงนอนลงสีหน้า ขุ่นเคืองใจ
ooooooo
ก่อนที่รุจจะกลับไปโรงพยาบาล อารยาทำอาหารกลางวันให้เขาทาน เป็นของโปรดที่เขาทานแล้วเอ่ยขอบใจอารยาที่ยังจำได้ เธอพูดอย่างจงใจให้ เข้าถึงหัวใจเขาว่า
“น้อยจำทุกอย่างของคุณรุจได้”
รุจมองเธอนิ่งก่อนบอกว่าตนจะกลับแล้ว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน เขาบอกน้าสังวาลย์ว่าตนจะมาดูภาคินัยอีกไม่น่า จะเกิน 3-4 วัน ขอโทษน้าสังวาลย์ ที่ต้องรีบไปเพราะที่โรงพยาบาล มีหมอประพัฒน์เพียงคนเดียว
นายเอิ้นยิ้มให้รุจรายงานว่าตนเปลี่ยนแบตเรียบร้อยแล้ว ระหว่างนั้นหูเขาแว่วได้ยินน้าสังวาลย์บอกอารยาว่า
“ชาลีจะมาจ้ะอารยา ดีใจไหม”
เสียงบอกข่าวชาลีของน้าสังวาลย์รบกวนความรู้สึกรุจ แม้จนถึงโรงพยาบาลก็ยังไม่อาจสลัดทิ้งได้ แต่เมื่อเดินเข้าตัวตึกก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงพยาบาลกำลังโต้เถียงกับพระศัลย์ฯ เสียงดัง
เหตุเพราะก่อนนี้ พระศัลย์ฯถูกเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ไปรุมต่อว่าตำหนิที่เป็นหมอ แต่ไม่ไยดีกับคนป่วยที่มารอรับการรักษามากมาย เมื่อเสาวรสออกมาเถียงแทนพ่อเลยถูกด่า พระศัลย์ฯทนไม่ได้ยอมออกจากห้องไปตรวจคนไข้ แต่ทำอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะกลับ เสาวรสอ้างว่าไม่ใช่หน้าที่และด่าพวกพนักงานว่าไม่เห็นใจคนแก่บ้างรึไง
รุจยืนฟังอยู่ทนไม่ได้ แหวกวงเข้าไปบอกพวกพนักงาน ว่า “ฉันมาแล้ว” พวกพนักงานพากันดีใจ หมอประพัฒน์เดินมาบอกว่าเร็วเข้าเถอะ รีบมาช่วยกันเพราะคนไข้มากเหลือเกิน
เสาวรสพูดเย้ยว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยกับความดี ผิดมนุษย์ที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปรักษาคนเจ็บแล้วให้เขาแย่งคู่รักตัวเองไป”
“เธอไม่มีวันรู้จักความดีอย่างนั้นในชาตินี้” รุจพูดใส่หน้า พอดีพระศัลย์ฯเดินผ่านไป รุจพูดให้ได้ยินว่า “ผมคิดว่าไม่มี อะไรจะพูดกับท่านอีกแล้ว มีแต่ความเสียใจให้”
“ฉันเสียใจยิ่งกว่าเธอ เชื่อเถอะหมอรุจ” พระศัลย์ฯพูดเสียงแผ่วด้วยสีหน้าอมทุกข์
“ยิ่งท่านเสียใจ ผมยิ่งเสียใจขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว เพราะเท่ากับท่านอ่อนแอไม่สมเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่สมเป็นแพทย์ที่มีมือไว้ช่วยชีวิตคน ท่านได้ใช้เงินทุนของรัฐบาลร่ำเรียนวิชาที่ถือว่ามีเกียรติที่สุดในประเทศนี้ แต่ท่านกลับชดใช้เงินของประชาชนให้กับลูกสาวของท่านเพียงคนเดียว ลูกสาวผู้ไม่มีค่าอะไรเลยของท่าน”
พระศัลย์ฯฟังแล้วอึ้ง เสาวรสลากแขนพ่อไปแต่ปากโต้ตอบรุจอย่างเผ็ดร้อนว่า
“พระศัลยแพทย์ทำงานให้แผ่นดินมามากเพียงพอแล้ว หมอหนุ่มๆเพิ่งจะมาทำไม่เท่าไหร่ อย่าได้บังอาจมาพูดอะไร อย่างนี้ พ่อฉันตอบแทนแผ่นดินเพียงพอแล้ว ที่ให้ทำไปวันนี้เป็นของแถมเพราะมีหมอโง่ๆคนหนึ่งทิ้งงานไปทำอะไรโง่ๆนี่แหละ”
รุจนิ่งไปอย่างสมเพชความคิดของเสาวรส จนหมอ ประพัฒน์มาดึงเร่งให้รีบไป เขาจึงรู้ตัว
ส่วนเสาวรสกับพระศัลย์ฯ ผู้เป็นพ่อ เดินงุดๆออกจากโรงพยาบาลท่ามกลางสายตาและเสียงซุบซิบอย่างสมเพชของพยาบาลและเจ้าหน้าที่
ส่วนที่บ้านไร่รวงผึ้ง...
แม้ภคินีจะมีความรู้สึกดีๆกับอารยามากขึ้นเมื่อเธอไปตามหมอรุจมาผ่าตัดภาคินัย แต่ภคินีก็ยังมีเรื่องรุจค้างคาใจอยู่ จนวันนี้ถามอารยาว่าชอบหมอรุจไหม อารยาตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ตอบอย่างนิ่มนวลว่า
“ชอบสิคะ ท่านเป็นหมอที่เก่งมาก ที่สำคัญท่านจะทำให้คุณน้องหาย ไม่มีอะไรทำให้ดิฉันดีใจเท่า”
“ดีมาก อย่าลืมว่าฉันก็ชอบหมอรุจมากเหมือนกัน” ภคินีกันท่า
ooooooo
ชาลีเรียนจบแล้ว คืนแรกที่กลับบ้านเขาก็บอกแม่ว่าจะขึ้นเชียงใหม่มาหาอารยาและเยี่ยมเยียนภคินี บอกแล้วก็เตรียมกระเป๋าเดินทางมาวางไว้ จนทั้งแม่และ
พี่สาวมองอย่างเป็นห่วง
แล้ววันต่อมาเขาก็มาถึงบ้านไร่รวงผึ้ง อารยาตกใจไม่นึกว่าเขาจะมาเร็วอย่างนี้ ชาลีอ้อนว่าเพราะคิดถึงเธอพอสอบเสร็จก็เก็บกระเป๋ามาเลย อ้อนถามว่าแล้วเธอคิดถึงตนบ้างหรือเปล่า
“ไปหาคุณภาคินัยเลยนะชาลี” อารยาตัดบทเลี่ยงไม่ตอบคำถาม แล้วพาชาลีไปที่ห้องของภาคินัย
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ทั้งอารยาและชาลีใจสลดวูบ เพราะภาคินัยนอนนิ่งคอตกท่าทางน่าสงสาร เขาร้องทักชาลีเสียงแผ่ว ชาลีรีบเข้าไปหาบอกว่าอารยาเพิ่งบอกเรื่องที่พี่ถูกยิง เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
“พี่ปลอดภัยแล้ว ขอบใจชาลีที่ส่งอารยามาให้”
“ผมดีใจ แต่รู้อยู่แล้วว่าส่งคนไม่ผิด อารยาจะทำให้ ทุกคนมีความสุข”
“ใช่ อารยาทำให้ทุกคนที่ไร่รวงผึ้งมีความสุขที่สุด”
ชาลีฟังภาคินัยพูดแล้ว เขารู้สึกถึงส่วนลึกในใจจากคำพูดนั้น
ออกจากห้องภาคินัย อารยาพาชาลีไปเยี่ยมภคินี เขาโผเข้ากุมมือน้องไว้อย่างอ่อนโยน ภคินีดีใจจนน้ำตารื้นบอกข่าวดีว่าหมอรุจจะมาผ่าตัดให้อีก 3 เดือนข้างหน้า หมอรับรองว่าน้องต้องเดินได้
ทั้งสองคุยกันด้วยความรักความคิดถึงและห่วงใยกันอย่างมาก ชาลีหันบอกอารยาว่า
“ภคินีเป็นน้องน้อยของทุกคน”
อารยายิ้มให้ อดแอบสะเทือนใจกับภาพตรงหน้าไม่ได้
ooooooo
ชาลีมีความสุขมาก เยี่ยมภาคินัยและภคินีแล้ว ก็ชวนอารยาปั่นจักรยานไปตามท้องถนนกันอย่างร่าเริงโลดโผน ชวนชมทิวทัศน์ เข้าวัดไหว้พระ จนมาถึงวัดที่อารยากับรุจมาไหว้พระกันวันก่อน เขาถามว่าเคยมาไหม พออารยาบอกว่าเคยมา ชาลีถามอย่างระแวงว่ามากับใคร
เป็นคำถามที่อารยาเดาใจเขาออก เลยปดว่ามากับป้าบัวบานที่กำลังกวาดลานโบสถ์อยู่ ป้าบัวบานรู้จักอารยาอยู่แล้วจึงทักทายกันอย่างคุ้นเคย เลยเป็นข้ออ้างที่ทำให้ชาลีเชื่อสนิทใจ แต่บอกว่า
“ต่อไปนี้ชาลีจะมากับคุณน้อยเอง...นะ...ได้ไหม ชาลี ตามคุณน้อยมาไกลแสนไกลจะไม่ปล่อยให้คุณน้อยมากับใครอีก คุณน้อยต้องมากับชาลีคนเดียว”
ชาลีพูดโดยไม่รู้ว่ารุจยืนมองอยู่ในจุดที่ไม่มีใครเห็น เขาเห็นและได้ยินคำพูดของชาลีทั้งหมด เมื่อชาลีกับอารยาเดินผ่านไป เขาได้แต่มองตามตาปรอยๆ
รุจขับรถของโรงพยาบาลไปที่บ้านไร่รวงผึ้ง เขาต้องนั่งทำใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงลงจากรถไปที่ห้องภาคินัยเพื่อตัดไหมให้ รุจเจอภคินีอยู่กับภาคินัย เขาถามหยอกเธอว่า
“ผมมาตัดไหมให้คุณภาคินัย แล้วต่อจากนั้น ภคินีจะพาหมอไปเที่ยวลำธารที่เคยบอกหมอว่าสวยที่สุดในไร่แห่งนี้ได้ไหม”
“พาไปแล้วหมอต้องเห็นว่าสวยจริงๆค่ะ” ภคินียิ้มหวานทั้งที่น้ำตาเพิ่งแห้ง
เมื่อภคินีพารุจไปชมลำธารแห่งนั้น รุจชมว่าสวยจริงๆ ชมลำธารแล้วชมภคินีว่า
“ภคินีมีนัยน์ตาพิเศษที่เห็นความงามของธรรมชาติมากกว่าใคร”
เธอถามว่า อย่างเขาถ้าให้มาอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าจะมาไหม รุจบอกว่ากำลังคิดว่าจะขอย้ายมาอยู่ที่นี่ อยู่ประจำที่โรงพยาบาลอำเภอ เป็นความตั้งใจจริงแต่ไม่ทราบว่าจะสามารถย้ายได้หรือไม่
ภคินีดีใจมาก บอกว่าต้องได้เพราะหมอขอไปเอง แต่ รุจยังไม่แน่ใจว่าหน่วยงานจะอนุมัติหรือไม่ ภคินีถามอย่างข้องใจว่าทำไมเขาถึงจะไม่อนุมัติ
“เพราะเขาไม่คิดว่าคนต่างจังหวัดจะเจ็บป่วยเท่าคนในเมือง หรือถ้าเจ็บป่วยก็ไม่ต้องรักษามากมายเหมือนคนในเมือง มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างนี้ ในอีกหลายแห่งในโลกนี้”
เป็นคำตอบที่ทำให้ภคินีมองหน้ารุจนิ่งอย่างเลื่อมใสความคิดของเขา
ooooooo
รุจเข็นรถพาภคินีกลับเข้าบ้าน เจอชาลีกับ
อารยากลับจากขี่จักรยานเล่นพอดี ชาลีเข้าไปทักทายรุจ ส่วนอารยาเลี่ยงไปหลังบ้าน ชาลีขอบคุณรุจที่ช่วยพี่ชายตนถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณกับครอบครัวพวกตนมาก ถามว่าต่อไปคือความหวังของภคินีใช่ไหม จะเป็นความจริงใช่ไหม
“หมอรับรอง แต่ถ้าชาลีไม่แน่ใจก็คอยดูต่อไป” รุจตอบเรียบๆ ชาลีรีบบอกว่าแน่ใจที่สุด รุจบอกภคินีว่าวันนี้จะลากลับแล้ว ภคินีหน้าสลดลงถามว่าทำไมกลับเร็ว
“ลืมไปแล้วหรือว่าหมอควรจะกลับไปตั้งแต่สามวันที่แล้ว คอยหมออีก 3 เดือนนะ จะกลับมารับภคินีไปผ่าตัด”
“ค่ะ ภคินีจะคอย คอยทุกลมหายใจ” ภคินียกมือไหว้ มองอย่างอาวรณ์
ชาลีมองสีหน้าแววตาของภคินีอย่างสังเกต...
ooooooo
เมื่อชาลีไปนั่งที่มุมบ้าน รุจเดินเข้าไปขอบใจเขาที่ทำให้ได้มาพบอารยา ชาลีตอบตรงๆว่าถ้าไม่ใช่ อยากให้มารักษาภคินีตนก็คงไม่บอก ซึ่งรุจก็ตอบอย่างเข้าใจความคิดของชาลีว่า
“ก็เป็นธรรมดา ชาลีรู้ว่าอารยาออกจากรุจิโรจน์เพราะไม่ชอบฉัน จึงไม่สมควรจะบอกฉันว่าเขาหนีไปไหน ไม่เป็นไร ทุกคนต้องยอมรับความจริง”
“ครับ” ชาลียกมือไหว้ “ผมฝากให้หมอช่วยไปดู
คุณแม่และพี่หนูนาด้วย บ้านนั้นไม่มีผู้ชาย”
“รับรอง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น ผมดีใจกับคุณด้วยที่มาพบอารยา คุณคงคิดถึงเขามาก” เมื่อชาลีบอกว่าตนคิดถึงมากที่สุด รุจบอกเขาก่อนลุกไปว่า “ผมมีเรื่องจะพูดกับอารยานิดหน่อยก่อนกลับ ขอตัวนะชาลี”
ชาลีมองตามรุจไปอย่างไม่สบายใจนัก
รุจเดินไปหาอารยาที่อยู่อีกมุมหนึ่งนอกบ้าน เขาไปยืนเผชิญหน้าเธอ ต่างมองกันด้วยสายตาที่หวั่นไหว ก่อนที่รุจจะสลัดความรู้สึกพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามแบบฉบับของตัวเองว่า
“อารยา ฉันรู้ว่าพูดไปคงได้คำตอบอย่างเดิม แต่ฉันก็จะพูด ฉันไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีถือตัว มีแต่...มีแต่ความรู้สึก มีแต่หัวใจ...อารยา กลับรุจิโรจน์ของเราเถอะนะ” พูดแล้วมองหน้าเธอคอยคำตอบ
“คุณรุจคะ รุจิโรจน์ เป็นที่ที่อยู่ในความคิดของน้อยทั้งหลับทั้งตื่น ถึงไม่กลับไป ใจน้อยก็อยู่ที่รุจิโรจน์ตลอดเวลา...แต่น้อยจะไม่มีวันทำให้คุณรุจมัวหมอง อดีตของน้อยจะทำให้คุณรุจเสื่อมเสีย ใครไม่รู้ แต่น้อยรู้”
“ถึงใครรู้ฉันก็ไม่แคร์ อารยา...ฉันรักเธอ เธอไม่เห็นว่าความรักของฉันจะล้มลงทุกอย่างหรือ”
“ต่อไปในเวลาข้างหน้า คุณรุจจะไม่คิดอย่างนี้ คุณรุจมองหน้าน้อยทุกวันทุกคืน คุณรุจจะเห็นลูกแม่อัมพา แม่เลี้ยงของคุณ ภรรยาของท่านนายพลผู้มีเกียรติสูงยิ่ง แต่มีประวัติที่น่าบัดสี”
น้ำเสียงอารยากล้ำกลืน ขมขื่นจนรุจฟังแล้วอึ้ง เธอไหว้ลา รุจจับมือเธอที่พนมอยู่ ต่างมองตากันนิ่ง ก่อนที่รุจจะหันหลังเดินจากไป
อารยาขยับจะเดินตาม แต่ต้องหยุดยับยั้งความคิดนั้น ได้แต่ยืนน้ำตารื้นอยู่ตรงนั้น...
เมื่อไปส่งรุจที่หน้าเรือน เธอวิ่งตามรถรุจไปบอกเขาว่า
“น้อยคิดถึงป้าๆทุกคน โปรดบอกด้วยว่าน้อยคิดถึงที่สุด”
“รุจิโรจน์มีทุกอย่างที่เธอคิดถึง แต่เธอไม่กลับไป เป็นเพราะเธออาลัยอาวรณ์ที่นี่มากกว่า...ใครกันหรืออารยา... ใคร? ภาคินัย หรือชาลี”
อารยางงงัน ยืนอึ้งกับคำถามของเขา จนรถแล่นไปเธอก็ยังยืนมึนอยู่อย่างเดียวดาย...
ooooooo
เมื่อรุจกลับไปถึงบ้านรุจิโรจน์ พวกแม่ๆพากันวิ่งมารับด้วยความดีใจ ตื้นตันใจโผเข้ากอดรุจน้ำหูน้ำตาไหล แม่พินเป็นคนถามขึ้นว่า
“คุณหนูขา...คุณน้อยล่ะคะ ไม่ได้กลับมาด้วยหรือคะ”
ขณะเดินเข้าบ้านนั้น แม่ๆที่เดินล้อมหน้าล้อมหลัง ยังถามไถ่กันให้แซด จนรุจถามว่าพวกแม่ๆรู้หรือว่าตนไปพบอารยา ตนไม่ได้บอกใครสักคน แม่ละม่อมบอกว่าคุณนายพนาเวสบอกเพราะเห็นพวกตนร้อนใจที่เขาหายไป แม่พร้อมลอยหน้าเข้าไปบอกอ้อนๆว่า
“กินไม่ได้นอนไม่หลับผอมล้ง...ผอมลงทุกวัน”
แม่ละม่อมกับแม่พินเหล่แม่พร้อมอย่างหมั่นไส้ รุจมองทั้งสามแม่ถามขำๆว่าใครหรือที่ผอมลง แม่พร้อมบอกว่าตนเอง
“ผอมลงน่ะสมควรแล้ว น้ำหนักตัวมากจะเป็นอันตรายกับกระดูก แม่ม่อมเริ่มปวดเข่าแล้วใช่ไหมจ๊ะ แม่พิณปวดคออาจจะก้มหน้าเย็บผ้ามากไป แม่พร้อมก็เจ็บข้อมือข้างขวานี่บ่อยๆเพราะควงตะหลิวทำกับข้าว ก็แสดงว่ากระดูกมีปัญหา”
รุจจาระไนอาการของแม่แต่ละคนอย่างละเอียดจนแม่ๆทั้งสามร้องพร้อมกันว่า
“โถ...คุณหนู ห่วงแต่แม่ๆ” แม่ละม่อมมองทำตา ละห้อยถามว่าแล้วตัวเองล่ะ รุจถามว่าตนเป็นอะไร แม่พิณตอบหน้าตายว่า
“กระดูกไม่เป็นไร แต่หัวใจไม่ดี”
“ทำไมไม่รับคุณน้อยกลับมาด้วย” แม่พร้อมถามต่อ รุจอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มอ่อนโยนตอบเสียงมั่นคงว่า
“อารยาสบายดี มีงานดูแลคนเจ็บที่รักและดีต่ออารยา มาก แม่ๆไม่ต้องห่วง เขาปลอดภัยในที่ที่ดีที่สุด”
สายๆ วัฒนาก็มาที่บ้านรุจิโรจน์ คุยกับรุจที่ท่าน้ำ ฟังเรื่องราวจากเขาแล้วถามว่าทำไมไม่บอกอารยาว่าเขารักเธอ รุจมองขวับอย่างแปลกใจ วัฒนายืนยันว่าตนรู้ ย้ำถามว่าบอกหรือเปล่า
“บอกไม่รู้กี่หน ผมยังแปลกใจในความอดทนของผม ผมบอกและขอให้เขากลับมากับผมจนวินาทีสุดท้าย” วัฒนาทำหน้าแปลกใจ ถามว่าทำไมอารยาไม่กลับก็เธอรักเขา รุจ ตอบเสียงขื่นๆว่า “ไม่จริงหรอกหนูนา เขารักใครผมไม่รู้ แต่ไม่ใช่ผม”
“ฟังนะคุณรุจ ตื่นจากหลับเสียที น้อยไม่ได้รักชาลี ฉันไม่รู้ว่าพี่ภาคินัยจะชอบน้อยหรือเปล่า ถึงชอบ น้อยก็ไม่ ชอบพี่ภาคินัย น้อยรักคุณค่ะ ปริ้นซ์มัมมี่ รักมานานแล้วด้วย”
รุจฝืนหัวเราะบอกวัฒนาว่าจนกว่าตนจะได้ยินจากปากอารยาเองถึงจะเชื่อ
“รักน้อยจริงๆแล้วกันคุณรุจ แล้วความรักจะทำงาน ของมันเอง...เชื่อฉัน”
รุจมองหน้าวัฒนานิ่งก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ขอบคุณ”
ooooooo
บริเวณน้ำตกที่เชียงใหม่ ชาลีกับอารยายังคงพากันท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานเหมือนตอนเด็กๆ แต่วันนี้ความรู้สึกของชาลีไม่ใช่เด็กแล้ว เขาบอกรักอารยา เธอยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน จนเขาถามว่าได้ยินไหม
“ได้ยิน...ได้ยินว่า ชาลีบอกว่าชาลีรักคุณน้อย”
ชาลีโล่งใจ ยิ้มสดชื่นถามว่า “แล้ว...คุณน้อยจะตอบชาลีว่าไง”
“ตอบว่า น้อยก็รักชาลีเหมือนกัน” ชาลียิ้มดีใจถามว่าจริงนะ แต่แล้วก็หน้าถอดสีเมื่ออารยาตอบอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “จริงสิ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าใครถามน้อยว่าใครคือเพื่อนสนิทที่น้อยรักมากที่สุด น้อยตอบได้ ทันทีว่าคือชาลี”
“คุณน้อย...ชาลีบอกว่าชาลีรักคุณน้อยแบบคู่รักนะ แบบที่จะแต่งงานอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
“ชาลีจ๋า...ลองแยกแยะให้ชัดๆนะ เราเป็นเพื่อนกัน ชาลีนึกภาพออกใช่ไหม เพราะเราเห็นกันมานานเหลือเกินเกือบเท่าอายุเรา แต่ถ้าจะนึกว่าเราคือสามีภรรยากัน น้อยบอกตรงๆว่าน้อยนึกไม่ออก ชาลีนึกออกหรือ”
ชาลีหันข้างให้อารยาอย่างไม่อยากให้เห็นน้ำตาตัวเอง แต่พออารยาพูดจบเขาหันมา อารยาครางเบาๆว่าอย่าทำอย่างนี้ ชาลีกลั้นน้ำตาบอกว่าตนก็ไม่อยากร้องไห้เลย แต่...ขอวันเดียว ขอแค่วันเดียว พรุ่งนี้ตนจะเหมือนเดิม อารยาสะเทือนใจจนน้ำตาคลอไปด้วย
ชาลีหัวเราะประชดตัวเอง บอกว่าไม่ได้คาดว่าเธอจะตอบเป็นอย่างอื่น แต่ก็ตัดสินใจทำใจแข็งบอกว่ามันก็คงต้องถึงจุดนี้เข้าสักวัน อารยาบอกชาลีด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยความปรารถนาดีว่า
“ชาลี...ชาลีจะเป็นเพื่อนรักน้อยจนตาย”
ทั้งสองจับมือกันมั่นเหมือนสัญญาใจ
เมื่อชาลีเล่าเรื่องนี้ให้ภคินีฟัง เธอถามว่าอารยาไม่รักเขาแล้วรักใคร ชาลีเองก็ไม่ทราบ ภคินีระแวงว่าจะเป็นรุจแต่ไม่พูด หันมาปลอบใจชาลีว่าคนอย่างเขามีผู้หญิงอีกมากมายอาจจะสวย อาจจะดีกว่าอารยาด้วย ชาลีถามยิ้มๆว่าถ้าไม่มีจะให้ทำยังไง
“มีค่ะมี” ภคินียืนยัน แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน และจะพบกันเมื่อไร สองพี่น้องเลยหัวเราะกันขำๆ
ooooooo
เมื่อเสาวรสไม่เหลือใครแล้ว เธอบากหน้าไปหา ภาคินัยอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วายแสดงความร้ายกาจ
น้าสังวาลย์ไม่ให้ขึ้นไปหาภาคินัย เพราะเขากำลังพักผ่อนก็ไม่ฟัง เดินผ่านอารยาก็ด่าว่าซ้ำยังตบหน้าฉาดใหญ่ อารยาไม่ตบตอบ แต่บอกว่าถ้าโดนตบอีกที เธอไม่อยู่เฉยแน่ เสาวรสจ้องจิกอารยาแล้วเดินฉับๆขึ้นไป
ภาคินัยมองเสาวรสอย่างเหยียดหยัน บอกว่าตนตาบอดถึงได้รักเธอ เขารู้ว่าเธอเป็นคนปองร้ายตน เสาวรสไม่โต้ตอบแต่หัวเราะเยาะว่า ผู้ชายสามคนรุมทึ้งผู้หญิงคนเดียวน่าสมเพชมาก
ภาคินัยสุดจะทนให้เสาวรสมาพูดเยาะหยันเขาบอกให้ใครที่อยู่ข้างนอกมาจับเสาวรสโยนออกไปที แล้วนึกได้ตะโกนเรียกชาลี ชาลีพุ่งเข้ามาแต่แล้วก็ชะงักอย่างรังเกียจ ภาคินัยเลยบอกชาลีให้เรียกเมืองคำมาก็ได้ ให้มาช่วยกันลากเสาวรสโยนออกไปที
อารยากับน้องฝาแฝดอยู่หน้าบ้าน เห็นเสาวรสถูกคนงานลากถูลู่ถูกังออกมา อารยามองหน้าเศร้า ชาลีถามว่าสงสารเขาหรือ
“แม่สอนว่าคนล้มอย่าข้าม เขาล้มเขาก็เจ็บอยู่แล้ว” อารยาตอบเสียงแผ่ว
ooooooo
แม้จะยอมรับการตัดสินใจของอารยา แต่รุจก็ทำใจไม่ได้ ยิ่งเมื่อนึกถึงเหตุผลที่เธอบอกว่า เพราะประวัติของแม่เธอจึงไม่ต้องการสร้างความอับอายให้เขาอีก ทำให้รุจพุ่งความไม่พอใจไปที่อัมพา
เมื่อเดินมาเห็นรูปอัมพาที่แขวนอยู่ เขาทนใจตัวเองไม่ได้ เข้าจับรูปกระชากลงมาแล้วเหวี่ยงสุดแรงไปตกที่เก้าอี้นวมใหญ่ แรงกระแทกทำให้มุมรูปเปิดอ้าออก มีของบางอย่างหลุดกระเด็นออกมา
รุจจ้องเขม็งห่อของที่กระเด็นออกมา พอเปิดออกดูเขา ตะลึงงัน มันคือห่อเครื่องเพชรและเครื่องทองทั้งหมดของ ตระกูลที่หายไป ทั้งยังมีจดหมายลายมืออัมพาฉบับหนึ่งด้วย
รุจเรียกแม่ๆทั้งสามและท่านขุนฯมาพบกันที่ห้อง แปดเหลี่ยม เอาเครื่องเพชร เครื่องทองทั้งหมดมาวางเรียงกันต่อหน้า แล้วเขาก็อ่านจดหมายของอัมพาให้ทุกคนฟัง...
“อาภรณ์มีค่าทั้งหมดนี้เป็นของประจำตระกูลรุจิโรจน์ จงทำใจให้เข้มแข็ง อย่าให้ความโลภอยู่เหนือกว่า นำไปคืนให้คุณรุจทันทีที่ลูกพบ แม่เอามาเก็บไว้ตรงที่ลูกพบนี้ เพราะมีเหตุจำเป็น มิฉะนั้นมันจะต้องถูกรีดไถจนวอดวายดังเช่นสมบัติของแม่ที่ลูกควรจะได้เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว แต่แม่ใช้มันเพื่อล้างความอายให้ลูกน้อยของแม่ แต่สมบัติพวกนี้แม่จะไม่ยอมให้ใครไป เพราะจะทำให้เราเป็นหนี้กรรมกับทายาทรุจิโรจน์ เมื่อแม่ตายไปเขาคงคืนรูปแม่ให้ลูกไป อย่าเห็นกับความยั่วยวนของแสงเพชร จงถือความสัตย์ซื่อให้แม่ด้วยการคืนเจ้าของและความเจ็บแค้นทั้งหลายก็จะสิ้นสุดไป”
พอรุจอ่านจดหมายจบ แม่ๆทั้งสามก็ครางออกมา อย่างแสนสงสารอัมพา ท่านขุนฯถามว่าอัมพามีเรื่องอะไร แต่หนหลังที่ต้องอับอาย แม่พินบอกว่านายชิดที่มาเอาของของอัมพาไปจนหมดนั่นแหละ
แม่ละม่อมสงสัยว่าอัมพาเป็นเมียนายชิดได้อย่างไร แม่พร้อมบอกว่ารู้แต่เพียงว่าอัมพาไม่เต็มใจ ส่วนรุจยังทำใจไม่ได้กับความจริงที่เพิ่งรู้ เขาไปยืนที่หน้าต่าง มองไปข้างนอกก่อนหันมาบอกทุกคนว่า
“ฉันผิดคนเดียว ผิดตั้งแต่ต้น เพราะอคติ เพราะเข้าใจผิด เพราะความโกรธแค้นที่ไร้เหตุผล สมน้ำหน้าตัวเอง” รุจหัวเราะเยาะหยันตัวเองอย่างขมขื่น ท่านขุนฯขอให้รุจไปบอกอารยา ย้ำว่าอารยารักเขา
“อีก 3 เดือนฉันจะพบอารยาอีก ถ้าอารยารักคนอื่นไปแล้ว หรือถ้าเขายังยึดมั่นเหตุผลว่า เรื่องอดีตของแม่จะทำให้ ฉันอับอายขายหน้า ฉันคงจะอยู่เหมือนคนตายไปตลอดชีวิต”
แม่ๆ และท่านขุนฯต่างสะเทือนใจกับความจริงที่เพิ่งเปิดเผย ส่วนรุจ ทั้งเสียใจ เศร้า และเครียด...
ooooooo
เสาวรสกลับพระนคร พาพระศัลย์ฯหิ้วกระเป๋า กลับเข้าบ้าน พระศัลย์ฯถามว่าทำไมกลับมาบ้านนี้อีก ไม่กลัวหรือ เพราะเสี่ยขู่ถึงตายนะ
เสาวรสตวาดว่าเราไม่มีที่ไป และเมื่อเสี่ยมาหลายครั้งแล้วไม่พบก็คงไม่มาอีก กระนั้นพระศัลย์ฯก็ยังกลัว เพราะนอกจากเสี่ยแล้วยังมีคดีของอินตาอีก กลัวอินตาถูกจับแล้วซัดทอด
เสาวรสตวาดว่าถ้าพ่อกลัวขนาดนี้ก็อย่าเป็นพ่อลูกกันเลย แล้วก้าวฉับๆเข้าบ้าน พระศัลย์ฯเลยเงียบ ยืนคอตก
ooooooo
3 เดือนต่อมา รุจกลับมาผ่าตัดภคินี จากนั้นช่วยดูแลการทำกายภาพบำบัดประคองเธอหัดเดินทั้งภาคินัยและภคินีต่างดีใจเป็นล้นพ้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ได้ชีวิตใหม่เพราะมือหมอรุจแท้ๆ
วัฒนาตามมาที่เชียงใหม่ด้วยความตั้งใจที่จะมาเกลี้ยกล่อมอารยาให้กลับไปบ้านรุจิโรจน์ กระทั่งบอกอารยาตรงๆว่า รุจรักเธอพูดย้ำหมายให้อารยาตัดสินใจว่า
“ตอนนี้มันสามเส้าสี่เส้ากันอยู่ ตัดสินใจเสีย คนอื่นๆ เขาจะได้จัดการชีวิตเขามั่ง มันพันพัวกันไปหมดแล้ว”
คุยกับอารยาแล้ววัฒนาลุกเดินไป เห็นรุจยืนมองอยู่ เธอมองบอกเขาด้วยสายตาว่าคุยให้แล้ว จากนั้นรุจก็เดินเข้ามาหาอารยาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเธอ แต่ขอให้ไปในที่ที่สวยงามกว่านี้ได้ไหม อารยาจึงบอกให้ตามตนไป
เมื่อถึงมุมสวยในไร่รวงผึ้ง รุจเอาจดหมายของอัมพาให้เธออ่าน พออ่านจดหมายของแม่จบ อารยาร้องไห้น้ำตาทะลักทลายออกมาสะอื้นจนแทบขาดใจด้วยความสงสารแม่ คร่ำครวญเมื่อนึกถึงแม่ว่า
“แม่เป็นทุกข์มานานแค่ไหนก็ไม่รู้ ตลอดมาแม่คงกลัว กลัวคุณลุง กลัวคุณรุจจะอับอายขายหน้า มิน่าน้อยเห็นแม่นั่งร้องไห้คนเดียว บางครั้งแม่สะดุ้งสุดตัวเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง คุณรุจ น้อยสงสารแม่ แม่มีทุกข์จนตาย...”
แต่อารยาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่จึงไปเกี่ยวข้องกับนายชิดที่เป็นนักเลงหัวไม้เหี้ยมโหดคนนี้ได้ เธอร้องไห้อย่างหนัก สะอื้นเฮือกๆ รุจสงสารจนทนไม่ได้โอบร่างเธอไว้แนบอกอย่างปลอบโยน ในยามนี้ อารยาซุกตัวในอ้อมแขนเขาอย่างรู้สึกอบอุ่นเป็นที่พึ่ง
ooooooo
จนเมื่ออารยาค่อยคลายโศก ทั้งสองเดินมาด้วยกัน รุจเอ่ยขอโทษที่ตนทำไม่ดี พูดไม่ดี กิริยาไม่ดีกับเธอตลอดมา อารยาเองก็ขอโทษเขาที่ชอบเถียงทำไม่ดีพูดไม่ดีคิดไม่ดีกับเขาเหมือนกัน สุดท้ายต่างพูดอย่างใจตรงกันว่า “หายกัน”
แต่พอรุจชวนกลับรุจิโรจน์พร้อมกัน เธอกลับปฏิเสธ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เพราะชาลีและไม่ใช่เพราะภาคินัย ทั้งยังมองเขาด้วยความรัก จนรุจเต็มตื้นขึ้นในหัวใจ ต่างมองกันอย่างเปิดเผยความรู้สึก แล้วอารยาก็เดินเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
รุจถามถึงเหตุผลที่เธอยังไม่ยอมกลับรุจิโรจน์ เธอบอกว่าเพราะเรื่องของแม่ยังไม่หมด แม่ยังถูกตราหน้าว่ามีชู้ แม้รุจจะบอกว่าเขาไม่แคร์ แต่อารยาแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้าง สุดท้ายรุจบอกว่าเขาจะย้ายมาอยู่เชียงใหม่ เธอก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก
“เธอหนีฉันไม่พ้นหรอกอารยา เธอต้องเป็นของฉันคนเดียว” รุจพูดอย่างมั่นใจว่าความรักจะทำให้อารยาใจอ่อนลงได้
ooooooo
แต่ในที่สุด เรื่องทั้งหมดก็คลี่คลาย เมื่อนายชิดที่ป่วยใกล้ตายสำนึกบาปจะขออโหสิกับรุจและอารยา ยายจ้วนยอมประสานงานให้ จนนายชิดไปที่เชียงใหม่จากการช่วยเหลือของหมอประพัฒน์จึงได้พบกับทั้งสองคนที่เรือนพักของโรงพยาบาล
นายชิดมาสารภาพบาปและขออโหสิเล่าความหลังทั้งหมดให้ฟังว่า...
“เรื่องมันเกิดขึ้นที่เมืองเหนือนี่แหละ อัมพายังเด็กอยู่แท้ๆ แค่ 16 ปี มาพักตากอากาศ ฉันทำงานเป็นกุลีเห็นเข้า ก็อยากได้เขาเหลือเกิน เขาสวยจริงๆ...”
นายชิดเล่าว่า ตกกลางคืนเขาสุมไฟรมยาเข้าไปในห้องพักจนทุกคนหมดสติแล้วอุ้มอัมพาไปจน 9 เดือน ผ่านไปอัมพาท้องแก่ และเมื่อคลอดเธอก็หิ้วกระเป๋าออกจากบ้านพักของป้า โดยทิ้งชาญลูกชายที่เพิ่งคลอดไว้
ต่อมาคุณหญิงเจ้าของบ้านก็อุ้มชาญมาให้ ชิดรับลูกกอดไว้ในอ้อมอกแล้วคิดในใจว่า แม่มันใจร้ายทิ้งลูกได้ลงคอ ชิดนิ่งไปนิดหนึ่งจึงเล่าต่อว่า...
“คุณหญิงให้ฉันสาบาน ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับแม่อัมพาอีก แต่ฉันกลับสาบานกับตัวเองในวันนั้นด้วยว่า ฉันจะจองล้างจองผลาญอัมพาไม่ให้มีวันจบสิ้น ฉันตามหาจนรู้ว่า อัมพามาเป็นเมียนายพล ต่อจากนั้น ฉันก็เริ่มรีดไถ ขู่เข็ญ บีบเขาจนแทบจะตายคามือ”
แล้วนายชิดก็สรุปอย่างสำนึกบาปว่า
“อัมพาหมดตัวเพราะฉัน แต่ฉันไม่ใช่ชู้ หมอรุจอย่าเกลียดอัมพาต่อไปเลย แล้วหันไปพูดกับอารยาว่า แม่ของเธอเป็นคนประเสริฐสุด เขารักเธอยิ่งชีวิต ฉันจะตายในไม่ช้า ขออโหสิกับคุณทั้งสองคน ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันรับกรรมของฉันแล้ว” ชิดยกมือไหว้ทั้งรุจและอารยา เอ่ยขอโทษก่อนจะเดินลากสังขารที่ทรุดโทรมจากไป
ooooooo
กลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้านไร่รวงผึ้ง รุจ
บอกอารยาว่าความจริงปรากฏดังนี้แล้วเธอก็ควรกลับบ้านรุจิโรจน์พร้อมตนได้แล้วใช่ไหม อารยายังสับสนกับเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้นั่งนิ่งอยู่ รุจบอกว่าจะเข้าไปลาพวกภาคินัย ถามอีกครั้งว่าเธอเปลี่ยนความตั้งใจเดิมแล้วหรือยัง อารยายังสับสนอยู่
รุจใจร้อนผ่าวเข้าใจว่าเธอยังยืนกรานความตั้งใจเดิม พูดอย่างมีอารมณ์ว่าเป็นอันว่าจบกันเสียที พลางหยิบซองเงินเดือนให้เธอทั้งหมด 3 เดือน บอกว่าต่อไปก็จะไม่บังคับให้เธอรับเงินพินัยกรรมอีก
“รับเงินของเธอไป แล้วขอให้มีความสุขกับ...คนที่เธอเลือก”
อารยามองอย่างตัดพ้อ แล้วจึงเดินตามเขาไป โดยรุจไปลาภคินีซึ่งเธอถักเสื้อไหมพรมไว้ให้เขาเพื่อเตือนใจให้คิดถึงคนไข้คนนี้ แล้วหันไปลาภาคินัย เขาเชิญมาที่นี่อีกถ้ามีเวลา เพราะทุกคนคิดถึงและยินดีต้อนรับเสมอ
“ขอบคุณนะครับ...ผมฝากอารยาด้วย” รุจแข็งใจพูด เมื่อภาคินัยยินดีรับรองว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด รุจหันไปถามอารยาว่า “มีอะไรจะสั่งถึงแม่ทั้งสามคนบ้าง หรือท่านขุนฯ...” เมื่ออารยานิ่งอยู่เขาตัดบท “ไม่มี...แน่ละ รุจิโรจน์ย่อมไม่อยู่ในความรู้สึกของเธอนานแล้ว ฉันควรจะรู้ดี ลาก่อนอารยา เราจะจากกันตลอดไป”
พูดแล้วรุจเดินผ่านเธอไป ภคินีสะอื้นออกมาดังๆ ภาคินัยเดินไปโอบกอดน้องแล้วเข็นรถน้องเข้าห้อง ชาลียังมองอารยานิ่งอยู่ เห็นเธอหน้าซีดเผือดเขาเดินไปแตะแขนรุนเบาๆ กระซิบบอก “ไป”
อารยาวิ่งออกมาดูรุจที่กำลังจะขับรถออกไป เธอวิ่งย้อนกลับเข้าบ้านไปอย่างเร็ว รุจมองตามอย่างสิ้นหวัง...
ooooooo
อารยาเข้าไปเก็บของแล้วรีบมาลาภคินีขอกลับไปรุจิโรจน์ ภคินีถามอย่างเจ็บปวดว่ากลับไปทำไม ภาคินัยถามว่ารุจกับเธอมีเรื่องรักใคร่กันอย่างที่เสาวรสเล่าให้ฟังใช่ไหม อารยาบอกว่าตนจากมาเพราะไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของผู้ใหญ่ สักวันพวกภาคินัยก็จะรู้ทุกอย่าง เธอขอโทษภาคินัยที่รักษาสัญญาไว้ไม่ได้ ภคินีทนไม่ได้ถามโพล่งออกไปว่าเธอรักหมอรุจหรือ
อารยายอมรับเต็มปากเต็มคำว่าตนรักรุจและขอโทษที่ตอนแรกทำเป็นไม่รู้จักกัน ภคินีโกรธจนน้ำตาไหล ชาลีรีบเข้ามาโอบอารยาบอกเบาๆให้รีบไปเสียเดี๋ยวทางนี้ตนจะพูดให้
“ชาลี...เพื่อนรักคนดีของน้อย...ขอบใจเหลือเกิน” พูดจบหันไหว้ภาคินัยแล้วรีบไป
อารยาต้องวิ่งไปไกลจนเหนื่อยจึงเห็นรถของรุจ ซึ่งเขามองจากกระจกหลังเห็นเธอวิ่งมาจึงชะลอรถคอย เมื่อเธอวิ่งไปถึงปรากฏว่าเขาเปิดประตูรถรออยู่แล้ว เธอก้าวขึ้นนั่งอย่างเร็วเขาจึงขับพุ่งไปราวกับจะพาให้ไกลจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ooooooo
ภคินีร้องไห้อย่างหนักจนชาลีถามว่าทำไมถึงรักรุจมากมายอย่างนี้เขาก็แค่เป็นหมอรักษา ภคินีรำพึงรำพันถึงความเอาใจใส่ของรุจ ชาลีบอกเธอว่าหมอก็ต้องดูแลเอาใจใส่คนไข้อย่างนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทำให้ภคินีโกรธไล่ชาลีออกจากห้อง ก่อนออกไปชาลีเตือนสติเธอว่า
“เลิกคิดเลิกฝันถึงหมอรุจ เขารักอารยาและอารยาก็รักเขา ตัดใจเสียวันนี้ แล้วน้องจะไม่เสียใจมากไปกว่านี้” เห็นภคินีชะงัก เขาเดินเข้าไปหา เธอเงยหน้ามอง ชาลีดีใจ หยอกให้ยิ้มว่า “ร้องไห้เสร็จแล้ว เดินให้พี่ดูหน่อย อยากรู้ว่าจะเดินเก่งเหมือนร้องไห้ไหม” ภคินีเลยยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
ส่วนฉลวยที่หลงรักรุจมานาน สุดท้ายรักก็ลงตัวเมื่อหมอกิจจาพูดหยอกแกมหยิกว่า รักคนที่เขารักเราดีกว่า ทำให้ฉลวยได้คิด มองหมอกิจจาอย่างขอบคุณบอกว่า
“ฉลาดที่สุดก็คือรักคนที่เขารักเราดีกว่า”
“ไชโย...ผลของความพยายามของผม คนเราทำอะไรไว้มันก็ต้องได้อย่างนั้น” หมอกิจจาดีใจมากพูดอย่างผู้ชนะว่า “เห็นไหมความดีตอบสนองผมแล้ว”
ส่วนเสาวรส ถูกอินตาซัดทอดว่าเป็นคนจ้างวานให้ทำร้ายภาคินัย ตำรวจตามมาจะจับตัว พระศัลย์ฯทนเห็นลูกถูกตำรวจจับไม่ได้ ออกรับแทนว่าตนเป็นคนจ้างวานอินตาเองเสาวรสไม่เกี่ยวยัดเยียดตัวเองให้ตำรวจจับตน ความเสียสละของพระศัลย์ฯทำให้เสาวรสสะเทือนใจมาก พระศัลย์ฯกำชับลูกก่อนไปกับตำรวจว่า
“อย่าดิ้นรนอีกเลยนะลูก หยุดเถอะนะ ดูแลตัวเองให้ดี ต่อไปนี้อยู่คนเดียว ไม่มีพ่อแล้วนะเสาวรส” พระศัลย์ฯขอตำรวจไม่ต้องใส่กุญแจมือแล้วเดินตามตำรวจไป ยังอดหันมาบอกเสาวรสไม่ได้ว่า “เสาวรส เข้มแข็งอย่างที่เคยเป็น พ่อจะได้ไม่เป็นห่วง” พอหันกลับน้ำตาก็ท้นเต็มตา...
ooooooo
รุจพาอารยากลับมาถึงบ้านรุจิโรจน์ ท่ามกลางความดีใจของแม่ๆทั้งสามและขุนประจญคดีที่จะได้ปิดคดีนี้ได้เสียที ท่านหมายถึงทำตามพินัยกรรมที่ระบุว่าให้รุจแต่งงานกับอารยา
พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่บ้านรุจิโรจน์นั่นเอง แม่ๆทั้งสามแม้จะเรี่ยวแรงร่อยหรอไปตามวัย แต่ทุกคนก็ช่วยกันเตรียมงานอย่างเต็มที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขหลังจากทุกข์ใจกันมานาน
รุจกับอารยาในชุดสวยพากันไปนั่งที่มุมร่มรื่นใกล้ท่าน้ำ รุจถามอารยาว่าเธอกับชาลีเรียกตนลับหลังว่าอย่างไร อารยาบอกว่าเรียกปริ๊นซ์มัมมี่ แต่ชาลีเป็นคนตั้งไม่ใช่ตน
ต่างเคลียร์ใจกัน รุจยอมรับว่าไม่ชอบผู้ชายทุกคนที่สนิทและหัวเราะร่าเริงกับเธอ อารยาก็ยอมรับว่าตนก็ไม่ชอบเสาวรสเหมือนกัน รุจถามดักคอว่าทำไมเธอไม่รักชาลีกับภาคินัย อารยาตอบโดยไม่กล้าสบตาเขาว่า
“ถ้าไม่มีเงาของคนในเคหาสน์สีแดงอยู่ในใจของน้อย บางที...อาจจะ...”
รุจจ้องหน้าถามว่าเงานั้นคือตนตลอดเวลาหรือเปล่า อารยาตอบรับเขินๆ เขาถอนใจยาว
เฮ้อ...ในที่สุด มัมมี่ก็ฟื้นคืนชีพ...” พูดแล้วดึงร่างบอบบางนั้นซบในอ้อมอก กอดไว้อย่างรักใคร่หวงแหน ให้สมกับที่ปรารถนามานานแสนนาน...
ooooooo
–อวสาน–










