ตอนที่ 13
เพียงเดินเข้าถ้ำไปไม่กี่อึดใจ พระศัลย์ฯก็ถอดใจ ขอออกไปรอข้างนอกกับน้าสังวาลย์และเด็กๆ ส่วนเสาวรสก็เกาะภาคินัยไม่ยอมปล่อย
รุจเห็นพระศัลย์ฯถอยออกไป เขาถามอารยาว่าเธอจะว่าอย่างไร อารยาพูดประชดในทีว่ารีบไปเถิด เพราะเสาวรสไปโน่นแล้ว รุจสวนกลับทันควันว่า ไม่ใช่เธอหรือที่อยากไปให้เร็วเพื่อให้ทันใคร
ทั้งคู่ต่อปากต่อคำประชดประชันกันตามประสาของคนที่มีอะไรอยู่ในใจแต่ต่างไม่ยอมรับ จนเมื่อรุจส่งไฟฉายให้อารยา จะให้เธอเดินล่วงหน้าไป เธอไม่ยอมไปคนเดียวเลยถูกรุจกระชากเสียงอย่างไม่พอใจว่า
“เธอจะให้ฉันไปทำไม เพื่อให้เธอแสดงอะไรให้ฉันรู้ และฉันจะได้ไม่มาวุ่นวายกวนใจเธอรึ”
“คุณรุจคิดไปเอง...”
อารยาพูดไม่ทันจบก็ถูกรุจจับไหล่เขย่าอย่างแรง ปากพูดตาจ้องตาเขม็ง
“บอกฉันมาเถอะว่า เธอเตรียมตัวจะอยู่ไร่รวงผึ้ง ในฐานะเจ้าของฝ่ายหญิง”
แม้จะอารมณ์พลุ่งพล่านด้วยความโกรธ แต่ตาต่อตาที่จ้องกันอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้หวั่นไหวไปทั้งคู่ รุจพึมพำ
“อารยา...” ก้มหน้าเข้าหาเธอเหมือนลืมตัว แต่พริบตานั้น อารยาเบี่ยงตัวเดินออกไปทางปากถ้ำอย่างเร็วจนร่างเธอหายไปแล้ว รุจยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ooooooo
ในถ้ำที่ลึกกว่านั้น เสาวรสเกาะภาคินัยจนเขาแทบจะเดินไม่ได้ เขาขอให้เธอเกาะให้น้อยกว่านี้ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันคนนำทาง เสาวรสบ่นออดว่าถ้ารู้ว่าลึกขนาดนี้ตนไม่มาหรอก
ทันใดนั้นภาคินัยร้องบอกว่าเธอเหยียบเท้าเขา เสาวรสขอโทษ เขาจึงส่งไฟฉายให้เธอถือ แล้วก้มลงผูกเชือกรองเท้า ระหว่างนั้นเสาวรสส่องไฟฉายไปรอบๆพลัน ก็ร้องกรี๊ด ไฟฉายตกแสงไฟดับวูบ
ภาคินัยตกใจถามว่าเป็นอะไร เธอบอกว่าตัวอะไรก็ ไม่รู้ไฟส่องตามัน แล้วทำเสียงสยองโผเข้ากอดภาคินัยแน่นจนหน้าแนบหน้า
เสาวรสยั่วยวนจนภาคินัยอดใจไม่ได้ตวัดร่างเธอกอดรัดระดมจูบซุกไซ้อย่างลืมตัว
“ยังรักฉันอยู่ใช่ไหมคะ ภาคินัย” เสาวรสกระซิบเสียงแผ่ว ภาคินัยยังลุ่มหลงรสสัมผัสกอดรัดอย่างกระสัน
เสาวรสตอบสนองอย่างแนบสนิท กระซิบบอก“ภาคินัยรักเสาวรส เสาวรสก็รักคุณค่ะเราแต่งงานกันนะคะ”
ภาคินัยหยุดการเคลื่อนไหวในฉับพลัน แต่เสาวรสยังเคล้าเคลียไม่หยุด
เมื่อเสาวรสขอคำตอบ ภาคินัยดันร่างเธอออกไป ถามว่าแต่งงานหรือ มองหน้าเธอนิ่ง พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ผมไม่เคยรักคุณ เราจะไม่แต่งงานกัน”
“อะไรนะ”
“ผมไม่เคยคิดว่าเราจะแต่งงานกัน”
เสาวรสเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดในพริบตา เธอต่อว่าตำหนิเขาอย่างรุนแรงที่กอดจูบตนอยู่หยกๆ ยังบอกว่าไม่ได้รัก หาว่าเขาปันใจให้ “นังผู้หญิงคนนั้น...อารยาใช่ไหม”
ภาคินัยฉุนขาดตวาดถามว่าอารยาเกี่ยวอะไรด้วยไปจิกหัว เรียกเขาอย่างนั้นทำไม ทำให้เสาวรสยิ่งโมโหคราวนี้ด่าว่า เขาเองนั่นแหละหน้าโง่ รักนังเด็กคนนั้นทั้งที่ไม่รู้หัวนอน ปลายตีน
เสาวรสเป่าหูภาคินัยและใส่ไฟอารยาว่า อารยาอยู่บ้าน เดียวกับรุจมานานมากแล้วใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มสาวที่
อยู่บ้านเดียวกัน จนกระทั่งโพล่งออกมาว่า
“นังเด็กคนนั้นมันเป็นเมียหมอรุจ หมอรุจตามคนของเขา มาด้วยความหึงหวง ฉันจะบอกให้”
พอเห็นภาคินัยตะลึงงัน เสาวรสตัดบทว่าไม่เชื่อก็ ตามใจ ให้ดูเอาเองก็แล้วกัน บอกให้เขาพาตนออกจากถ้ำ อุบาทว์นี้ได้แล้ว ตะคอกถามว่าไฟฉายอยู่ไหน ทั้งที่ตัวเอง ทำหล่นไปเมื่อครู่นี้แท้ๆ
ooooooo
การไปเที่ยวถ้ำครั้งนี้ กลายเป็นหนุ่มสาวทั้งสี่ ยิ่งบาดหมางกันมากขึ้น เสาวรสหึงภาคินัย รุจจับผิด อารยากับภาคินัย และภาคินัยระแวงรุจกับอารยา เมื่อกลับมาถึงบ้านไร่รวงผึ้ง อารมณ์ของสองหนุ่มก็ยัง กรุ่นระแวงกันอยู่
ส่วนเสาวรสฮึดฮัดหุนหันสั่งอินตาให้ขับรถพาตนกลับไป โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ เมื่อพระศัลย์ฯถามว่าเราต้องค้างที่นี่ อีกคืนหนึ่งไม่ใช่หรือ เธอก็แว้ดใส่ว่า
“คุณพ่ออยากค้างก็ค้างไป ลูกกลับ!” แต่พอเข้าไป ในบ้านเห็นอารยากำลังชงกาแฟให้ภาคินัยอยู่อย่างใกล้ชิด ก็เดือดปุดก้าวพรวดๆขึ้นชั้นบน หันมาสั่งพระศัลย์ฯที่เงอะงะ ตามไปติดๆว่า“คุณพ่อ ไปเก็บ
ของเร็วๆล่ะ”
ooooooo
ดื่มกาแฟแล้วภาคินัยขึ้นไปหาภคินีที่ห้อง เสาวรสเปิดประตูพรวดเข้าไป พอเขาหันมอง ก็ถูกเธอ ตบหน้าเพียะ แล้วตะคอกใส่หน้าขณะที่ภาคินัยยังยืน งงๆอยู่ว่า
“สาแก่ใจคุณล่ะสิ คุณแก้แค้นฉันใช่ไหม”
“เสาวรส ถ้าพูดถึงความรัก ผมอาจจะมีให้ไม่เท่าเดิม แต่ผมยังมีความรู้สึกดีๆให้คุณเสมอ ผมดีใจมากที่เห็นคุณ มาเที่ยวที่นี่ คุณจะได้เห็นว่าผมเตรียมอะไรไว้ให้คุณบ้าง”
ภาคินัยพูดไม่ทันขาดคำก็ถูกเธอตบเข้าอีกเพียะ พูดใส่หน้า
“แล้วคุณก็สะใจที่ได้พูดใส่หน้าฉันว่าคุณไม่ต้องการแต่งงานกับฉัน”
ภาคินัยยังใจเย็น พยายามให้เธอทบทวนความสัมพันธ์ ที่ผ่านมา ถามว่าตนแสดงอุปนิสัยกับเธอไว้อย่างไร เธอยังคิดว่า ตนสะใจได้ลงคอหรือ
“แน่นอน ฉันจะไม่ลืมเลยว่าคุณปฏิเสธฉัน ปฏิเสธแบบ ไม่ได้คิดสักวินาทีเดียวด้วยซ้ำ ปฏิเสธฉันเพื่อไปเลือกนังเด็ก หน้าจืดชืด ไม่มีน้ำยา คุณหยามฉัน เห็นนังเด็กไม่มีหัวนอน ปลายตีนดีกว่าฉัน เลือกมันมาแทนที่ฉัน”
“แทนที่คุณจะว่าคนอื่น คุณเอาเวลาไปพิจารณาตัวเองดีกว่า” ภาคินัยเตือนสติ เธอตวาดถามว่าทำไม ภาคินัยชี้แจงอย่างใจเย็นว่า “แล้วคุณจะเห็นคำตอบทั้งหมดว่ามันไม่ใช่แก้แค้น ไม่ใช่หยามเหยียด ไม่ใช่สะใจ แต่ผมไม่แต่งงานและไม่มีวันแต่งงานกับคุณ เพราะตัวคุณนั่นแหละ คุณดูตัวเองยังไม่ออกเลยเสาวรส”
เสาวรสมองเขาตาค้าง อึ้งสนิทอย่างคาดไม่ถึง ภาคินัยนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อที่ทำให้เธอยิ่งคลั่งแค้นแสนสาหัสว่า
“ถ้าคุณจะแต่งงานกับผม เพราะคุณรักผมจริงๆ เชื่อเถอะเสาวรส ป่านนี้เราแต่งกันไปเรียบร้อยแล้ว”
“จำไว้ จำคำพูดของคุณไว้ วันหนึ่งจะทำให้รู้ว่าเสียใจที่พูดอย่างนั้น” เสาวรสจ้องจิกเขา หันหลังปิดประตูปังใส่หน้าเมื่อออกไป
ooooooo
ตกเย็น ภาคินัยไปคุยกับรุจที่ยืนชมทิวทัศน์ไร่รวงผึ้งอยู่ เข้าไปถามตรงๆว่า อารยาเคยอยู่บ้านเดียวกับเขาใช่ไหม รักกันใช่ไหม
รุจยอมรับว่าอยู่บ้านเดียวกัน แต่เรื่องรักกันนั้น เขาปฏิเสธบอกว่าตนเป็นผู้ปกครองอารยา ด้วยความประสงค์ของแม่เธอที่ตายไปแล้ว ภาคินัยหน้าคลายเครียดลงทันที พึมพำว่าถ้าเช่นนั้น คนที่บอกตนคงเข้าใจผิดมาก
“คนคนนั้นใส่ร้าย หรือไม่ก็พูดจากลั่นแกล้ง” รุจพูดเหมือนจะรู้ว่าภาคินัยฟังมาจากใคร
ภาคินัยเอ่ยปากขออารยาแต่งงาน รุจในฐานะผู้ปกครองจะอนุญาตหรือไม่ รุจแสงตาวาบขึ้นแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกที่ตัวเองก็จับไม่ได้ แต่ถามภาคินัยด้วยนํ้าเสียงปกติว่า บอกอารยาแล้วหรือยัง
“ยังครับ แต่เชื่อว่า...”
“อารยาคงไม่ปฏิเสธ”
“ครับผมหวังเช่นนั้น”
“ถ้าอารยาไม่ปฏิเสธ ผมจะทำได้อย่างเดียวคือ แสดงความยินดี”
พูดแล้วรุจจับมือภาคินัยแสดงความยินดีด้วย อารยาแอบดูอยู่ที่หน้าต่างมองอย่างฉงนกับท่าทางของสองหนุ่ม จนเมื่ออารยาจะเอาอาหารมาให้ภคินี รุจดักเธอที่หน้าห้อง บอกเธอว่า
“ฉันจะกลับโรงพยาบาลเย็นนี้ รุ่งขึ้นจะกลับพระนคร”
“ค่ะ” อารยารับทราบเบาๆ ก้มหน้าลง รุจก้าวเข้าหา มองด้วยสายตาอาวรณ์ แต่พูดด้วยอารมณ์เจ็บปวดแกมประชดว่า
“อยู่ที่นี่มีความสุขมากหรือ ถึงไม่อยากไปไหน”
“ค่ะ”
“มากกว่าที่ที่เคยอยู่”
“ค่ะ”
“ฉันยินดีด้วยกับตำแหน่งนายหญิงเจ้าของไร่รวงผึ้ง” รุจรวบรัด อารยาพยายามจะปฏิเสธ แต่เขาไม่ฟังขัดขึ้นทันที “เธอจะได้ไม่ต้องพบฉันให้เป็นที่รำคาญใจอีก ฉันขอลาเธอเสียในวันนี้”
อารยานิ่งงัน รุจเองพูดแล้วก็นิ่งงันเช่นกัน ต่างจ้องหน้ากันนิ่งนาน
ooooooo
กลับถึงที่พักโรงพยาบาล เสาวรสร้องไห้อย่างหนัก ทั้งอาย ทั้งโกรธ ทั้งแค้นที่ถูกภาคินัยปฏิเสธไม่แต่งงานด้วย พระศัลย์ฯปลอบใจลูกสาวอย่าร้องไห้ เราจะกลับพระนครพรุ่งนี้เลยจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกต่อไป อินตาที่เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่ต้น เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านสองคนมีบุญคุณ ผมจะทำทุกอย่างให้ท่าน ท่านอยากให้ทำอะไร ให้คนที่ดูถูกคุณนายไม่ต้องอยู่ต่อไป”
พระศัลย์ฯตกใจบอกอินตาอย่าพูดบ้าๆอย่างนั้น ไม่มีใครคิดทำอย่างนั้น แต่เสาวรสนิ่งฟังนัยน์ตาเป็นประกายเหี้ยม
เย็นนี้ ขณะที่ภคินีให้พี่ชายอุ้มออกไปทานอาหารที่ระเบียงนั้น ภาคินัยบอกน้องว่าดีใจมากที่เห็นน้องกลับมายิ้มแย้ม พูดคุยอย่างเดิม ภคินีโอบคอพี่ชายหอมแก้มเบาๆ ยิ้มน่ารักก่อนบอกพี่ชายเสียงแจ่มใสว่า
“ขอบคุณค่ะ ชีวิตน้องไม่ต้องมีใคร นอกจากคุณน้า น้องแฝด และพี่ชาย อ้อ...คุณหมอรุจด้วย”
“น้องลืมอารยาแล้วหรือ” ภาคินัยถามยิ้มๆ แต่ภคินีกลับหน้านิ่งไม่ตอบ ทำให้พี่ชายมองอย่างไม่สบายใจ พลันบรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อรุจมาเคาะประตูแล้วเข้ามาหาที่ระเบียง ภคินียิ้มดีใจทันที
อารยาถือถาดอาหารเดินตามรุจเข้ามา ภาคินัยรีบเข้าไปช่วยรับไว้ รุจมองแวบหนึ่งแล้วบอกภคินีว่า
“ทานอาหารเสร็จแล้ว หมอจะลาภคินีแล้วนะครับ คราวนี้ไปจริงๆ” เห็นภคินีหน้าเจื่อนลง รุจพูดให้กำลังใจว่า “อีก 3 เดือนหมอจะมารับภคินี ต่อจากนั้นอีกไม่เกิน 3 เดือน...คุณจะวิ่งได้”
ภคินีดีใจมากถามว่าจริงๆหรือ รุจพยักหน้ายิ้มอ่อนโยนเชื่อมั่น ภคินียื่นมือไปขอมือหมอ รุจส่งมือให้เธอประคองมือเขาไปแนบแก้มยิ้มตื้นตันนํ้าตาคลอ รุจตบหลังมือภคินีเบาๆ ยืนยันว่า
“สามเดือนไม่นาน หมอจะกลับมาหาภคินีนะครับ”
อารยามองภาพนั้นนิ่ง มีแต่แววตาที่บอกถึงความสะเทือนใจ รุจหันสบตาอารยาแล้วมองไปทางภาคินัย เห็นภาคินัยมองอารยาอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เขาไม่เห็นแววตาที่สะเทือนใจของเธอเท่านั้น...
ooooooo
ภาคินัยออกมาส่งรุจ เขาขอบคุณที่รุจทำให้ความรู้สึกที่หมดหวังจนแทบจะตายตามไปด้วยกับน้องของตนกลับมามีความหวังขึ้นเต็มเปี่ยม
“ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังมีความหวังเสมอนะครับ อย่าหมดหวัง” รุจพูดเรียบๆ ภาคินัยรับคำต่างยิ้มอย่างมีมิตรภาพต่อกัน
อารยายืนมองจากหน้าต่างห้องชั้นบน จนเห็นรุจเดินไปจะขึ้นรถ แล้วจู่ๆเขาก็มองขึ้นมา อารยาตกใจรีบยกมือไหว้ รุจมองนิ่งๆ แล้วหันหลังขึ้นรถไปทันที อารยามองนิ่งแต่ความผิดหวังพลุ่งพล่านขึ้นเต็มหัวใจ...
ส่วนภคินีร้องไห้เสียใจรำพึงรำพัน “แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่หมอต้องไป” จนน้าสังวาลย์ต้องปลอบใจว่าสามเดือนก็แป๊บเดียวเอง อีกไม่นานคุณน้องก็จะหาย หมอรุจจะทำให้คุณน้องหาย บอกภคินีว่า
“คุณน้องชื่นชมหมอรุจถูกแล้วค่ะ ไม่ผิดอะไรเลย”
“คุณน้า...คุณน้าสังเกตไหมคะว่า หมอรุจกับอารยามีเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาไม่พูดกัน” ภคินีตั้งข้อสังเกตกับน้าสังวาลย์อย่างสงสัย
และเมื่ออารยาเข้ามาทำกายภาพบำบัดให้ภคินีตามปกติ ครู่เดียวภคินีก็บอกให้เธอออกไปเสียไม่ต้องทำแล้ว สั่งให้เรียกฝ้ายคำมาทำแทน อารยาหน้าเจื่อน งุนงง ไม่ทราบ สาเหตุ
ooooooo
เมื่อลงมาข้างล่าง เจอน้าสังวาลย์ คุณน้าบอกอารยาให้ชงกาแฟให้ภาคินัย เธอรับคำแล้วไปชงกาแฟ จากนั้นยกไปให้ภาคินัยที่นั่งรออยู่ในสวน เขารับถ้วยกาแฟ เอ่ยขอบคุณแล้วชวนนั่ง อารยาขอตัวจะไปดูแลน้องฝาแฝดทานอาหาร เขาบอกว่าไม่ต้อง น้าสังวาลย์ดูอยู่แล้ว จากนั้นเริ่มเรื่องที่ต้องการพูดด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยน แต่มีความจริงจังในที
“อารยา สิ่งที่ผมจะพูดให้ฟัง อารยาฟังแล้วอาจจะโกรธผม แต่ผมขอบอกว่าเป็นความจริงใจที่สุดของผมที่มีต่ออารยามานาน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆจนถึงวันนี้...ผมจะบอก...แล้วต่อจากนั้น อะไรจะเกิดขึ้นผมยอมรับทุกอย่าง” เมื่ออารยามองหน้าเขางงๆ ภาคินัยมองตาเธอบอกว่า “ผมรักอารยา”
อารยานิ่งงัน ภาคินัยเอะใจถามว่าหรือเพราะหมอรุจ คราวนี้เธอตกใจถามว่าเขารู้หรือ ภาคินัยบอกว่าตนรู้จากเสาวรส แต่พอเธอปฏิเสธว่าไม่จริง เขาก็บอกว่า “ผมไม่เคยเชื่อคำเสาวรส”
ภาคินัยเล่าว่า ตนเคยถามรุจตรงๆ ทำให้รุจไม่พอใจมาก อารยาใจเต้นแรงถามว่าแล้วรุจว่าอย่างไร พอฟังภาคินัยบอกว่า “หมอรุจบอกว่าระหว่างอารยากับเขาไม่ได้มีเรื่องรักต่อกัน” เท่านั้น แม้ว่าหน้าเธอจะนิ่งสนิทแต่ตัวชาไปหมดใจหายวาบ
ภาคินัยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เธอหันมาสบตาเขา แววตาที่เธอมองเขา ทำให้ภาคินัยเดาคำตอบได้ทันที เขาหน้าสลดลง อารยายกมือไหว้ขอโทษ เขาถามเสียงแผ่วว่า
“เธอรักคนอื่นแล้วหรือ ชาลีใช่ไหม” อารยาพยายามจะพูดทั้งที่พูดไม่ออก ภาคินัยเอามือแตะปากเธอไว้ แล้วเป็นฝ่ายพูดเองว่า “ผมผิดเองที่ทำให้อารยารักผมไม่ได้ เป็นเช่นนี้แล้ว อารยาจะลาออกหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่ลา ดิฉันจะไม่ทิ้งคุณภคินีไปจนกว่าที่นี่จะไม่ต้องการดิฉัน”
“ที่นี่ไม่มีวันไม่ต้องการอารยา” ภาคินัยพูดจากหัวใจ “ถ้าอารยายังมีหัวใจให้กับภคินี ผมขอคำสัญญาว่า อารยาจะอยู่จนกว่าภคินีจะผ่าตัดครั้งสำคัญในสามเดือนข้างหน้า จะได้หรือไม่”
“ดิฉันสัญญาค่ะ จะไม่มีอะไรมาทำให้ดิฉันไปจากไร่รวงผึ้งในอีก 3 เดือนข้างหน้าเป็นอันขาด”
อารยาสบตาภาคินัยเป็นการยืนยันคำมั่นสัญญาของตน
คืนนี้...ช่างเป็นคืนที่ว้าเหว่ เศร้าสร้อย และเจ็บปวดของภาคินัยที่ผิดหวังจากอารยา ของภคินีที่คิดถึงรุจ ของอารยาที่ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตาก็เห็นแต่ภาพรุจกับตนในโอกาสต่างๆกัน ส่วนรุจสมองก็ครุ่นคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของอารยาจนนอนไม่ได้นั่งไม่ติด
ooooooo
เสาวรสแค้นภาคินัยมาก รุ่งขึ้นเธอบอกอินตาให้จัดการภาคินัย เอาแค่เจ็บหนักๆ ไม่ต้องให้ถึงตาย พระศัลย์ฯดูอาการก็รู้ว่าลูกสาวจะทำอะไร แต่ทักท้วงไปก็ไร้ผล ถูกเอ็ดกลับมาจนหน้าเจื่อน
เป็นเช้าที่รุจจะเดินทางกลับพระนคร แต่มีปัญหาให้ต้องอยู่ต่ออีกจนได้ เมื่อหมอประพัฒน์มาบอกว่า ท่านอธิบดีมาตรวจงานภาคเหนือท่านล้มเมื่อเช้ามืด รุจจึงต้องเป็นธุระไปดูแลท่านอธิบดีที่บ้านรับรอง
ส่วนภาคินัย วันนี้เขาเตรียมไปไร่แต่เช้า บอกภคินีว่าอาจจะกลับคํ่าหน่อย เพราะคนงานจะแต่งงานกัน ภคินีทักพี่ชายว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าตาไม่สบายใจ เขาบอก แต่เพียงว่าไม่เป็นอะไร
ภคินีเตือนพี่ชายอย่าลืมของขวัญให้คนงาน เขาบอกว่าให้เงินไปแล้ว นึกได้ว่าน่าจะให้พระกับเจ้าบ่าวสักองค์ แล้วเข้าไปที่ห้องพระ กราบพระแล้วหยิบพระเครื่องจากกล่องหน้าหิ้งพระไปองค์หนึ่ง
พอลงมาถึงหน้าเรือน อารยากำลังจะพาน้องฝาแฝดไปโรงเรียนแต่วันนี้ไม่ต้องนั่งรถสามล้อ เพราะพี่ชายจะไปส่ง ภาคินัยลงมาพอดี เรียกน้องสองคนให้รีบมาขึ้นรถ อารยาเห็นหน้าเขาก็สะดุดใจถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
“ไม่ได้เป็นอะไร นอกจากนอนไม่หลับ”
“คุณภาคินัย...ดิฉันเสียใจ ขอโทษที่ทำให้...”
ภาคินัยพูดขัดขึ้นว่าไม่เป็นไรเรื่องหัวใจบังคับกันไม่ได้ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธแต่ตนรู้ว่าเธอรู้สึกดีๆกับตน พูดอย่างผู้ใหญ่ว่า “ผมเป็นพี่ชายคนหนึ่งที่รักและหวังดีต่อน้องคนนี้เสมอ รู้ไว้ด้วยนะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องกลัวผมโกรธ ไม่ต้องกลัวผมเสียใจ หลังจากที่ผ่านเมื่อคืนมาแล้ว ผมรู้ว่าจะแปรเปลี่ยนความรู้สึกจากรักฉันหนุ่มสาวมาเป็นรักเหมือนน้องสาวน่ะ...ไม่ยากเลย”
อารยาโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ยืนโบกมือส่งดาริกากับกุมารีด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ
ooooooo
คืนนี้ระหว่างทางที่ภาคินัยเดินทางกลับบ้านไร่รวงผึ้งนั่นเอง นายเอิ้นคนขับรถขอแวะไปทุ่งข้างทางมีนายจ้อยคนงานอยู่เป็นเพื่อนภาคินัยที่รถ
ภาคินัยถูกลอบยิงขณะรอนายเอิ้นไปทุ่ง พอนายเอิ้น กลับมาก็รีบพาภาคินัยไปส่งโรงพยาบาล หมอทินกรเป็นหมอฝึกหัดอยู่ที่นั่น ตรวจแล้วพบว่ากระสุนฝังในที่ปอดต้องผ่าตัดด่วน ตนเป็นหมอฝึกหัด ผ่าตัดไม่ได้ ส่วนหมอวิโรจน์ หมอใหญ่ก็ไม่สบายมากนอนรักษาตัวอยู่ แต่ก็จัดการติดต่อและแนะนำว่า
“หมอวิโรจน์บอกว่าคุณพระศัลย์ฯเป็นหมอใหญ่จากกรุงเทพฯ เก่งทางผ่าตัดโดยเฉพาะ อยู่โรงพยาบาลที่อำเภอ ให้ไปหาท่านให้ผ่าตัดให้”
แต่พอนายเอิ้นขับรถไปถึงทางแยกไปอำเภอปรากฏว่าถนนเสียคนงานกำลังซ่อม รถผ่านไม่ได้ หมอทินกรตัดสินใจให้กลับไปจังหวัด แต่ก็ยังกังวลว่าแล้วใครจะเป็นคนผ่าตัด อีกทั้งภาคินัยเสียเลือดมากด้วย
“ไม่รู้ล่ะ ผมเอาเข้าบ้านนายก่อนนะหมอ ทางแยกข้างหน้าทางเข้าบ้านนาย ถึงแล้ว” นายเอิ้นตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าบ้านไร่รวงผึ้ง
เมื่อพาภาคินัยเข้าบ้าน ทุกคนที่บ้านตกใจแทบสิ้นสติเมื่อรู้ว่าเขาถูกยิงบาดเจ็บสาหัส
ooooooo
น้าสังวาลย์ต้องปลอบภคินีที่จะไปหาพี่ชายให้ได้ว่าไม่ต้องห่วง เพราะมีหมอมาด้วย แต่เธอก็ให้พาไปจนได้ เมื่อเจอหมอทินกร เขาบอกว่าต้องไปตามหมอที่อำเภอมาผ่าตัดกระสุนออก ภคินีถามว่าผ่าตัดนอกโรงพยาบาลได้หรือ
“ได้ครับ ถ้ามีเครื่องมือ มีผู้ช่วย หมอเก่งๆทำได้ครับ” น้าสังวาลย์ถามว่าหมอคนนั้นชื่ออะไร “คุณพระศัลย– แพทย์พิสุทธิ์ครับ”
พอได้ยินชื่อหมอ ทั้งสามก็ตกใจ ภคินีไม่สบายใจ เพราะพี่ชายมีเรื่องกับเสาวรสอยู่ น้าสังวาลย์บ่นถึงหมอรุจแล้วอาสาจะไปบอกพระศัลย์ฯ แต่ภคินีอยู่คนเดียวไม่ได้ สุดท้ายอารยาอาสา
“ดิฉันไปเองค่ะ หมออยู่ดูคุณภาคินัย คุณน้า คุณน้อง ดิฉันจะไปพาคุณพระศัลย์ฯมาให้ได้ ต่อให้ต้องกราบเท้าก็จะทำ” พูดแล้วรีบเดินออกไป เรียกนายเอิ้นให้ขับรถไปส่ง แม้นายเอิ้นจะบอกว่าทางไปโรงพยาบาลเป็นหลุมเป็นบ่อมาก อารยาก็ตัดสินใจจะไป
ooooooo
รุจมาอยู่ที่โรงพยาบาลเพียงสองวัน ปรากฏว่ามีคนไข้ คนป่วย คนบาดเจ็บมารักษามากมาย จนเขา
ถามหมอประพัฒน์ว่าคนเจ็บกันมากขนาดนี้เลยหรือทั้งยังมีหมออยู่เพียงคนเดียวด้วย
“ฉันจะกลับไปทำเรื่องย้ายมาอยู่ที่นี่” รุจเด็ดเดี่ยวมาก
“เขาไม่ให้แกมาหรอก หมอศัลย์ฯฝีมือเยี่ยมอย่างแกเขาเอาไว้รักษาคนอีกชั้นหนึ่งในพระนคร แกขอให้ตายเขาก็ไม่อนุมัติ”
“ไม่แฟร์เลย เมืองไทยมีคนจบหมอปีละกี่คน”
หมอประพัฒน์บอกว่าถึงร้อยคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ พลางจะผละไป รุจถามว่าจะไปไหน
“ภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัดไม่สบาย ผู้ว่าฯมีบัญชาให้ไปตรวจที่จวน”
รุจถามว่าถ้าตนไม่อยู่ เขาไปแล้วทางนี้ก็ไม่มีหมอเลยนะ หมอประพัฒน์พูดคำเดียวว่าก็ต้องไป รุจรับไม่ได้ถามว่าทำไมไม่มาที่โรงพยาบาล
“ขี้เกียจตอบ อยู่ๆไปจะรู้เองว่าคนเป็นเจ้าเมืองน่ะใหญ่ขนาดไหน ข้าราชการทุกคนในจังหวัดนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านหมด”
“รวมทั้งภรรยาด้วย?”
“คนนี้อยู่เหนือผู้ว่าฯอีกทีว่ะ” หมอประพัฒน์ตอบแล้วเดินลิ่วขึ้นรถไปเลย
ooooooo
อารยามาถึงโรงพยาบาลถามเจ้าหน้าที่ที่เดินสวนมาว่าบ้านพักหมออยู่ไหน เขาชี้ให้ดูแล้วพาไปอย่างมีน้ำใจ
มาถึงหน้าห้องพัก อารยาต้องปลุกใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจึงเคาะประตูเรียก เคาะแล้วข้างในเงียบ เธอเคาะอีกครั้งดังกว่าเก่า อึดใจเดียวเสาวรสก็เปิดประตู เธอมองอารยาในสภาพมอมแมมอย่างสมเพช อารยาพยายามบอกเรื่องภาคินัย แต่ทั้งตื่นเต้น ประหม่า และเหน็ดเหนื่อยทำให้เธอพูดไม่ออก
เสาวรสด่าฉอดๆ ว่าทำไมไม่พูดทำให้ตนเสียเวลาแล้วทำท่าจะปิดประตู จนอารยาโพล่งออกมาว่า “คุณภาคินัยถูกยิงค่ะ” แทนที่จะเห็นเสาวรสตกใจ เธอกลับสะใจในหน้า พระศัลย์ฯที่มาแอบฟังอยู่ใจคอไม่ดี เพราะคาดได้ว่าเป็นฝีมือใคร
เสาวรสพูดโยกโย้เล่นแง่เล่นตัว ถามว่าภาคินัยถูกยิงแล้วมาบอกตนทำไม อารยาขอร้องว่าจะมาขอความกรุณาจากพระศัลยแพทย์ช่วยผ่าตัดภาคินัยเพราะกระสุนฝังใน และหมอใหญ่ทางจังหวัดแนะนำให้มาเชิญท่านไปผ่าตัดให้ เสาวรสถามว่าเรื่องอะไรเอาคนป่วยมาโยนให้พ่อตน
อารยาพยายามอ้อนวอนกระทั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ ขอแค่ให้ตนได้พบกับพระศัลย์ฯเท่านั้น
“อ้อนวอนเสียเวลาเปล่า กลับไปได้แล้ว” เสาวรสไล่ส่ง “กลับไปนั่งประคองกันที่บ้านดีกว่าจะมาเที่ยวซมซานรบกวนคนอื่นอย่างนี้ กลับไปพยาบาลเขาเพราะเขารักเธอมาก กลับไปเลย ไปแต่งงานกับภาคินัยหรือศพของภาคินัยก็ได้” เสาวรสพูดใส่หน้า หัวเราะเยาะ จนอารยาพูดไม่ออก พระศัลย์ฯที่แอบฟังอยู่แม้จะรู้สึกไม่สบายใจแต่ก็ไม่กล้าออกไปปรากฏตัว
เสียงอารยายังอ้อนวอนอยู่หน้าห้อง จนพระศัลย์ฯตัดสินใจจะออกไป เสาวรสปิดประตูปังจ้องหน้าพ่อเขม็ง แค่นั้นพระศัลย์ฯก็หน้าจ๋อยไปทันที
อารยาเดินกลับอย่างผิดหวัง เธอร้องไห้อย่างขมขื่นอ้างว้างที่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ตนไม่สามารถช่วยภาคินัยได้ จนเพชรเจ้าหน้าที่ที่พามาถามว่าทำไมต้องเจาะจงหมอคนนี้ อารยาบอกว่าตอนนี้มีท่านคนเดียว
เพชรถามว่าใครบอกว่ามีหมอคนเดียว อารยาติงว่าหมอประพัฒน์ไม่ใช่หมอผ่าตัด
“แต่หมอรุจเป็นหมอผ่าตัดนี่ครับ” เพชรบอก ทำให้อารยาขนลุกซู่ ถามว่าเขาไปพระนครแล้วไม่ใช่หรือ
เมื่อรู้ว่ารุจยังไม่ได้กลับพระนคร อารยาดีใจมากวิ่งไปที่โรงพยาบาล ปรากฏว่ารุจกำลังผ่าตัดคนบาดเจ็บรถคว่ำกระดูกขาแตกอยู่ เธอรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวาย ตาคอยมองหน้าห้องผ่าตัด ใจเป็นห่วงภาคินัยที่นอนรอหมออยู่ที่บ้าน...
ooooooo
ที่บ้านพนาเวส ชาลีสอบเสร็จแล้ว แต่เขาไม่ได้กลับบ้านทันที กลับมาถึงบ้านตอนดึกก็ถูกวัฒนาถามว่าหายไปไหนมากลับเสียดึก พอดีคุณนายพนาเวสออกมา ชาลีไม่ทันทักถามอะไรก็บอกว่า
“คุณแม่ พรุ่งนี้ชาลีไปเชียงใหม่นะครับ”
คุณนายถามว่าทำไมต้องรีบร้อนอย่างนี้ บอกให้ไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ชาลีลังเล คุณนายเลยรุนหลังให้ไป กำชับว่าอาบน้ำเสร็จให้นอนเลย
วัฒนารู้เจตนาของแม่บอกว่าถึงพรุ่งนี้ชาลีก็จะบอกแม่อย่างนี้เหมือนกันแล้วจะปล่อยให้ไปหรือ
วัฒนาเป็นห่วงกลัวน้องจะรับความจริงที่รุจกับอารยาอาจพบกันแล้วไม่ได้ แต่ก็เพราะชาลีส่งรุจไปเอง ซึ่งทั้งคุณนายและวัฒนาเห็นว่าชาลีทำถูกต้องแล้ว เพราะอย่างไรก็ต้องช่วยภคินี
“ชาลีต้องรับความผิดหวังได้ เห็นไหมว่าความรักบางทีก็หาเหตุผลไม่ได้ ชาลีทั้งรักทั้งถนอมมาตั้งกี่ปี หนูน้อยรักซะที่ไหน” คุณนายพนาเวสพูดปลงๆ
วัฒนาบ่นๆว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ทั้งที่รุจไม่ดีกับอารยามาก แต่เธอก็ยังรัก แปลกจริงๆ
“เพราะในสิ่งเหล่านั้นมีอย่างอื่นน่ะสิหนูนา มีสายใยของความรัก แค่นัยน์ตาที่บอกความอาทรสักแว๊บหนึ่ง ไอ้ที่เขาเคยเหยียดหยามดูถูกเอาไว้ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
วัฒนาถามทึ่งว่าแค่มองแว็บเดียวหรือ คุณนายเลยบอกว่าไม่อย่างนั้นเขาจะพูดว่าดวงตาคือหน้าต่างดวงใจหรือ
ooooooo
รุจผ่าตัดเสร็จออกมาเห็นอารยา เขามองเธอด้วยแววตาห่วงอาวรณ์แว็บหนึ่ง อารยาเงยหน้าเห็นเขาสบตากันนิ่ง เธอดีใจมากรีบยกมือไหว้ รุจถามว่ามีอะไรหรือเปล่า พอรู้ว่าภาคินัยถูกยิงอยู่ที่บ้านอาการหนักมาก ตนไปตามพระศัลย์ฯแล้ว แต่เสาวรสไม่ให้ไป
ฟังอารยาแล้วรุจรับไม่ได้ถามว่าแล้วพระศัลย์ฯล่ะ อารยาบอกว่าตนไม่ได้พบ เพราะเสาวรสไม่ให้พบ รุจถามว่าแล้วจะให้ตนทำอย่างไร อารยาขอให้เขาไปแทนพระศัลย์ฯ
รุจเกี่ยงว่าทางโน้นเขาต้องการพระศัลย์ฯไม่ใช่หรือ อารยาแก้ต่างให้ว่าเพราะพวกเขาไม่ทราบว่ารุจยังอยู่ เขาก็อ้างอีกว่าตนมีคนไข้หนักๆต้องดูแล ให้อารยาไปอ้อนวอนพระศัลย์ฯอีกครั้งขอพบตัวท่านเลย อารยาผิดหวังมาก พูดเสียงสั่นเครืออย่างเจ็บปวดใจว่า
“เห็นจะถึงที่สุดของคุณภาคินัยแล้ว คุณเสาวรสถึงยังไงก็เคยเป็นเพื่อน ยังยินดีที่จะเห็นเขาตาย ถึงคุณรุจก็เหมือนกัน ขืนจะให้ไปอ้อนวอนทั้งๆที่ทราบดีว่าคุณเสาวรสเจตนาแก้แค้น”
แม้รุจจะเกี่ยงว่านั่นเป็นเรื่องระหว่างเธอกับเสาวรส ถ้าอยากลองดูอีกทีให้ตนไปช่วยอ้อนวอนด้วยก็ได้ อารยาหันจะเดินไปเธอเซไปเซมาทั้งเพราะอ่อนเพลียและเสียใจ รุจ รีบจับแขนไว้ดึงให้หันมาฟัง
“อารยา ฟังนะ ฉันจะเอาเธอกลับไปรุจิโรจน์ก็ได้ แต่ฉันไม่ทำ เพราะภาคินัยขอเธอไปจากฉัน อ้างว่าเธอรักเขา ฉันจึงตั้งใจจะจากไปอย่างคนแพ้ แต่มันเป็นกรรมอะไรที่ทำให้ฉันต้องอยู่ ตอนนี้คู่รักเธอกำลังจะตาย เธอเชื่อหรือว่า ฉันจะไม่ฆ่าเขาเพราะความหึงหวง เธอก็รู้ว่าฉันก็รักเธอ เท่าหรืออาจจะมากกว่าเขา”
อารยามองค้างยืนอึ้ง
“ภาคินัยเป็นคนดี ใช่เป็นเพื่อนที่ดี แต่ความรักบวกกับความแค้นจะทำให้ฉันไม่นึกถึงอะไร นอกจากได้แก้แค้น”
อารยาไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนอย่างนั้น เชื่อว่าเขาไม่ทำอย่างนั้น แต่เมื่อฟังเขาพูดเช่นนั้น เธอผิดหวังด่าเขาว่าใจร้าย ตนเกลียด...เกลียดหมอใจร้าย แล้ววิ่งเตลิดไป รุจ วิ่งตามไปคว้าไว้ลากหลุนๆไป บอกเธอว่า
“ฉันมีคนไข้ไปไม่ได้ ไปหาพระศัลย์ฯ ต้องเอาตัวไปให้ได้” พูดแล้วลากเธอไปด้วยกัน
ooooooo
แต่พอลากเธอไปถึงหน้าห้องพักของเสาวรสกับพระศัลย์ฯ อารยากลัวไม่กล้าเข้าไป ขอรออยู่ข้างนอก รุจฉุนจัดสะบัดเธอกระเด็นไปแล้วตรงไปเคาะประตูห้อง เห็นข้างในเงียบจึงเคาะดังขึ้นและร้องเรียก “ท่านครับ...ท่าน”
พระศัลย์ฯเปิดประตูออกมาถามว่ามีอะไร เมื่อรุจเอ่ยปากขอความกรุณาเรื่องภาคินัย พระศัลย์ฯเล่นแง่เกี่ยงโน่นเกี่ยงนี่ สุดท้ายอ้างว่าตนแก่แล้ว ทำไมหมอที่ยังหนุ่มแน่นไม่ไปเอง
“ผมมีคนไข้เพิ่งผ่าตัดใหญ่ไปสักครู่อาการน่าวิตกมากและมีอีกคนอาการพอกัน ท่านกรุณาไปเถิด ด้วยจรรยาบรรณของอาชีพเรา อย่าปฏิเสธเลยครับ” รุจอ้อนวอน
“เอา...งั้นฉันจะไป เดี๋ยวขอเปลี่ยน...”
พระศัลย์พูดไม่ทันจบ เสาวรสก็แทรกเข้ามาบอกรุจว่าตนกับพ่อสัญญากันว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับคนชื่อภาคินัยหรือคนในครอบครัวของภาคินัยเป็นอันขาด
เสาวรสแสดงความเป็นปฏิปักษ์และความอำมหิตไม่ยอมให้พ่อไปช่วยภาคินัยเด็ดขาด จนรุจทนไม่ได้รับไม่ไหว ด่าเธอว่าถึงเธอจะเคยร้ายกาจยังไงก็ไม่เท่าครั้งนี้ ไม่มีใครเลวเท่าเธอ เลยถูกเธอไล่ตะเพิด พูดอาฆาตว่าจะแก้แค้นภาคินัยให้ได้ ถึงครั้งนี้เขารอดตายก็จะตามแก้แค้นไปทั้งชาติ
“เป็นโชคดีของผู้ชายทุกคนที่ไม่หลงกลแต่งงานกับเธอ” รุจพูดมองเสาวรสอย่างสมเพช
ผลคือถูกเสาวรสตบหน้าอย่างแรง รุจยืนนิ่ง แต่พูดอย่างสมเพชว่า
“น่าสมเพชผู้หญิงที่พยายามจับผู้ชายรวยๆ แต่ไม่สำเร็จแล้วเก็บความอายเป็นพยาบาท คอยดูไปเถอะ มันจะเป็นไฟเผาชีวิตเธอตลอดไป” พูดแล้วหันไปถามพระศัลย์ฯว่าจะว่าอย่างไรคนไข้รอหมอกำลังจะตาย อารยาเองก็เข้ามาอ้อนวอนได้โปรดเห็นแก่ชีวิตมนุษย์ด้วยเถิด
แต่เมื่อเสาวรสยืนกรานไม่ให้ไปพระศัลย์ฯก็ไม่กล้าหือ อารยายังจะพยายามอ้อนวอนอีก รุจจับแขนเธอไว้ไม่ให้พูด จูงไปพลางบอกเธอว่า
“พอ...อารยา อย่าเสียเวลาอ้อนวอนผู้หญิงใจร้ายคนนี้ อีกต่อไปฉันนี่แหละจะเป็นคนทำให้อารยาได้แต่งงานกับภาคินัยจริงๆ ไม่ใช่กับศพของภาคินัย”
ooooooo
ในที่สุด รุจตัดสินใจไปดูอาการคนไข้ที่ตนผ่าตัดและที่เหลือถ้าไม่มีอะไรตนจะไปกับเธอ บอกว่า
ตนทำเพราะไม่ใจร้ายพอที่จะเห็นภาคินัยตาย และอีกอย่างเขาจะได้มีชีวิตสมใจเธอ พูดเน้นๆว่า
“เท่านี้ก็พอจะไถ่บาปที่ฉันเคยทำกับเธอได้แล้วนะ”
อารยาพยายามจะชี้แจงอะไรอีก แต่รุจตัดบทว่า
ไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนอะไร ยังไงเธอก็สมใจแน่ แล้วเขาก็เดินไปคุยกับพยาบาลสองสามคม อารยาได้ยินพยาบาลบอกว่า หมอประพัฒน์เอารถไปบ้านผู้ว่าฯ อารยาเดาได้เลยรีบเดินไปบอกเขาว่า
“น้อยมารถของไร่ค่ะ แต่รถเสีย นายเอิ้นซ่อมอยู่”
พอรู้ว่ารถอยู่ที่ไหน ทั้งสองก็พากันรีบเดินไป แต่เพราะทางเป็นเนิน อารยาเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ย จนสุดท้าย รุจถามว่าเดินไหวไหม ถ้าไม่ไหวให้รอตรงนี้ตนจะไปตามนายเอิ้นให้มารับ
“ไหวค่ะ” อารยากัดฟันเดินต่อไป
ความอดทนมุ่งมั่นที่จะพาหมอไปรักษาภาคินัยของอารยา ทำให้รุจพูดประชดว่า
“ลืมไปว่าเธอคงไม่ยอมท้อถอยกับอุปสรรคอะไรทั้งนั้น ต่อให้หมดแรง แต่เธอก็จะไม่หยุดหมดใจที่จะต้องเอาหมอคนใด คนหนึ่งไปให้ถึงตัวภาคินัย” พออารยาสวนไปว่าเขาพูดเหมือนไม่ใช่ หมอรุจหันขวับราวกับงูจะฉกปรามเธอไม่ต้องพูดถึงตน เพราะตนพูดถึงเธอพูดถึงหัวใจของเธอ ตอกย้ำให้เจ็บช้ำยิ่งขึ้นว่า “ภาคินัยโชคดีแล้วที่เธอรักเขา เพราะเธอคงจะทำทุกอย่างที่จะ รักษาชีวิตของเขา และเธอก็คงอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต”
“น้อยทำในสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องทำเพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ถ้าคุณรุจเป็นน้อย คุณรุจก็ทำอย่างน้อยเหมือนกัน โดยที่คุณรุจ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกพิเศษกับคนคนนั้น หรือว่าคุณรุจ จำเป็นต้องรู้สึกพิเศษถึงจะช่วย”
โดนศอกกลับเข้าจังๆ รุจก็ตวาดไม่ให้เธอพูดถึงตนอีก อารยาหยุดไม่ได้แล้ว เธอพูดไม่สะดุดแม้แต่น้อย แต่เสียงสั่นเครือ ขึ้นทุกทีว่า “เหมือนที่คุณรุจกำลังช่วยคุณภคินี”
รุจเถียงไม่ออก สะบัดหน้าไปอย่างไม่มีท่า แล้วต่างก็เดิน กันไปเงียบๆ พลันอารยาก็สะดุดอะไรบางอย่างจนเซแล้วนั่งพับเพียบ กับพื้นไปเลย รุจหันมองเฉย จนอารยาเงยหน้าขึ้นเขาถาม ประชดว่าต้องการให้ตนช่วย เพราะเป็นหมอหรือเพราะมีความ รู้สึกพิเศษ เธอปฏิเสธอย่างไม่แยแสพยายามลุกขึ้นเอง
แต่เพราะเท้าเจ็บทำให้อารยาเซลุกไม่ขึ้น รุจจึงเข้าประคอง เต็มแขน ดูเหมือนกอดร่างต่อร่าง หน้าต่อหน้าใกล้ชิด จนต่างก็ชะงัก
“เผอิญฉันมีทั้งสองอย่าง” เขาจงใจบอกให้รู้ว่าเป็นทั้ง หมอและมีทั้งความรู้สึกพิเศษ อารยาลุกยืนยังไม่มั่นคงนัก เขาถามว่าได้ไหม พอเธอบอกว่าได้ เขาก้มลงขอดูที่ข้อเท้า
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ แค่พลิกยังไม่แพลง” อารยาชักเท้าหนี รุจออกเดินหัวเราะเบาๆ พอเธอถามว่าหัวเราะอะไร เขาตอบ ทั้งที่ยังมีเสียงหัวเราะว่า
“หัวเราะที่เธอว่าแค่พลิกยังไม่แพลง นึกถึงบางคนทั้งพลิก ทั้งแพลง คนโบราณเก่งนะ คิดถ้อยคำได้เก่ง พลิกแพลง...อือม์... พลิกแพลง ขออย่าได้เจอคนอย่างนี้อีกเลย เสียดายที่เคยให้ใจ ไปมากมายทีเดียว”
รุจพูดเป็นปริศนาเสียจนอารยามองหน้าเขางงๆ ว่าพูดอะไรพูดถึงใคร
ooooooo
เมื่อพากันมาถึงที่รถจอดอยู่ นายเอิ้นบอกว่ารถใช้ ไม่ได้เพราะแบตหมดต้องเปลี่ยนแบตใหม่ แต่ตนก็ยืืมรถ จักรยานคนที่ตลาดเตรียมไว้ให้คันหนึ่งแล้วพลางไปจูงจักร-ยานมาให้ รุจรีบไปรับมา
เป็นปัญหาว่าจักรยานมีคันเดียวจะไปกันอย่างไร สุดท้ายรุจบอกว่าไปเอาที่โรงพยาบาลเพราะที่นั่นมีจักรยาน แล้วทั้งสองก็พากันวิ่งย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ไม่ย่อท้อ
ที่บ้านพักโรงพยาบาล พระศัลย์ฯไม่สบายใจที่ตนเป็นหมอ แต่ไม่ยอมไปรักษาคนบาดเจ็บเจียนตาย เสาวรสพูดประชดว่า ให้ไปช่วยคนอื่นเลย ตนจะฆ่าตัวตายให้ดู
พระศัลย์ฯถามว่า เป็นฝีมืออินตาใช่ไหม เธอให้อินตา ไปยิงภาคินัยใช่ไหม เสาวรสกลับลอยหน้า เล่นแง่ว่าถ้าพ่อไม่รู้ จรรยาแพทย์ของพ่อก็ไม่เสื่อมเสีย
“มันเสียไปแล้วค่ะ มันเสียไปตั้งแต่ที่พ่อไม่ยอมไปรักษาภาคินัย เสียตรงนั้น เสียไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”
“คุณพ่อไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นอีก เราจะกลับพระนครและจะไม่พบคนพวกนี้อีกเลยในชาตินี้ เราจะไปมีชีวิตของเรา ลืมคนพวกนี้ไป”
แม้เสาวรสจะทำเป็นปากแข็งไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ลึกๆแล้วก็อดไม่สบายใจไม่ได้เหมือนกัน
ooooooo
ได้จักรยานจากโรงพยาบาลมาแล้ว ทั้งรุจและอารยาต่างปั่นจักรยานกันเต็มแรง เพื่อจะไปให้ถึงบ้าน ไร่รวงผึ้งให้เร็วที่สุด
แต่แล้วก็เจออุปสรรคใหญ่คือไฟไหม้ป่าแผ่เป็นแนวยาวอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองหยุดมอง รุจจ้องหน้าอารยาถามว่า เธอคิดจะทำอย่างไร เธอตอบมิพักต้องคิดว่า “คุณรุจทำยังไง น้อยจะทำตามทุกอย่าง”
แล้วเธอก็ทำตามที่พูดจริงๆ ไม่ว่ารุจจะวางแผนลุยฝ่าแนวไฟป่าไปอย่างไร เธอทำตามไม่ลังเล ขอแต่มีเขาไปด้วยเธอก็พร้อมที่จะลุย
ระหว่างทางเจอทั้งขอนไหม้ไฟท่วม กิ่งไม้ไฟลุกหล่น ลงมาจนเกือบทับอารยา ดีแต่รุจคว้าเธอหลบมาทัน พอพ้นวิกฤติตรงนั้นมาได้ มองไปข้างหน้าปรากฏว่าไฟกำลังโหมฮือ ข้ามถนนมาแล้ว
“ทำไงดีล่ะคะ” อารยาถามหวาดๆ
“ทางนั้น ไฟยังห่างอยู่ เราวิ่งหลบหลีกไปให้พ้นแนวแล้วอ้อมมาขึ้นถนนใหญ่อีกที”
“ถีบรถไปเหรอคะ”
“จูงไป ถีบไม่ได้หรอก ตามฉันมา” รุจจูงมืออารยา วิ่งเข้าไปในบริเวณที่ไฟยังไม่แรงนัก
แต่เหมือนเคราะห์ซํ้ากรรมซัด ปรากฏว่ารถจักรยานที่อารยาจูงมาอย่างยากลำบากนั้น ถูกไม้ติดไฟฟาดลงมาพังยับ ทั้งคัน เลยจำต้องทิ้งรถของอารยาพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดกันล้มลุกคลุกคลาน
จังหวะหนึ่งรุจสะดุดล้ม พอเขาลุกขึ้นมายกรถตั้ง เหลียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นอารยาแล้ว เขาลากรถไปพลางมอง หาอารยาอย่างร้อนใจ จนพ้นแนวไฟ เขาสำลักควันไฟจนล้มควํ่าลง
รุจนอนอย่างหมดแรงอยู่ตรงนั้น แต่ครู่เดียวพอนึกอะไรได้ก็ลุกพรวดขึ้น ตะโกนสุดเสียง
“อารยา...อารยา...”
ooooooo










