ตอนที่ 12
ที่หน้าโรงพยาบาลประจำอำเภอ...พระศัลย์ฯ กับเสาวรสมาถึงแล้ว หมอประพัฒน์มาต้อนรับพาเข้า ห้องรับแขก รุจมาถึงพอดีเช่นกัน เขามองสองพ่อลูกตะลึง จนเมื่อเข้าห้องรับแขกแล้ว หมอประพัฒน์ ซึ่งเป็นหมอใหญ่ประจำโรงพยาบาล เอ่ยขอบคุณ พระศัลย์ฯซึ่งเป็นอาจารย์ที่มาเยี่ยมชมกิจการของอำเภอ
รุจยังนั่งมึนงงกับการพบเสาวรสและพระศัลย์ฯอย่างคาดไม่ถึงที่นี่ ส่วนเสาวรสชำเลืองมองเขาเป็นระยะอย่างเย็นชา จนกระทั่งพระศัลย์ฯเป็นฝ่ายถามรุจว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ไล่เรียงกันจึงรู้ว่าเขามารักษาภคินีน้องสาวของภาคินัยซึ่งเสาวรสก็รู้จักดี เสาวรสชวนพระศัลย์ฯพรุ่งนี้ไปเยี่ยมภคินีกัน
รุจตกใจนึกถึงคำพูดของอารยาที่บอกว่าไม่อยากพบ ไม่อยากเจอเสาวรสเพราะกลัวเธอขึ้นมาทันที เขาพยายามหาทางที่จะคุยกับเสาวรสไม่ให้เรื่องปะทุบานปลายจึงนัดขอคุยกับเธอ
“ผมมีเรื่องตกลงกับคุณ...เสาวรส” รุจเริ่มทันทีเมื่อพบกันในบริเวณใกล้ที่พักในโรงพยาบาล เสาวรสปฏิเสธทันทีว่าตนไม่มี แล้วจะลุกไป แต่พอรุจบอกว่าเรื่องเกี่ยวกับภาคินัย เธอก็ชะงักถามว่าเรื่องอะไร
“คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณจะสามารถทำให้ภาคินัยหวนกลับมารักคุณได้อีก” รุจไม่อ้อมค้อม เสาวรสตัดบทว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา รุจถามตรงๆว่า “ภาคินัยเคยรู้ไหมว่าคุณกับผมเคยรักกัน”
“ฉันไม่เห็นเคยรู้เลยว่าฉันเคยรักกับคุณ” เสาวรสหัวเราะหยัน แล้วเธอก็พูดขึงขังกับรุจว่ามีอะไรให้พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อม เพราะคนอย่างเขาตนไม่จำเป็นที่จะต้องคุยด้วย ทั้งจืดชืดน่าเบื่อหน่าย
รุจตัดบทเข้าเรื่องทันทีว่า ภาคินัยจะรู้หรือไม่ว่าเธอ กับตนเคยถึงขั้นจะแต่งงานกัน เสาวรสเชื่อว่าภาคินัยไม่รู้
“ถ้ารู้ล่ะ ถ้าเสาวรสไปถึงไร่รวงผึ้งในวันพรุ่งนี้ ภาคินัยอาจจะรู้ก็ได้ เพราะมีคนคนหนึ่งบอกภาคินัย” เสาวรสนึกว่ารุจจะเป็นคนพูด ขู่ว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นตนจะฆ่าทิ้งเสีย
แต่พอรุจบอกว่าไม่ใช่ตนแต่เป็นอารยา เวลานี้เธออยู่ที่ ไร่รวงผึ้งในฐานะพยาบาลดูแลภคินี เหตุที่เธอมาเพราะภาคินัยเป็นญาติกับชาลี ชาลีจึงส่งอารยามาเมื่อภาคินัยร้องขอ เสาวรส โพล่งออกมาทันทีว่าอารยาคงหวังอะไรที่ไร่รวงผึ้งแน่ๆ
“อารยาไม่เคยรู้จักภาคินัยด้วยซํ้าก่อนตัดสินใจมา เว้นเสียแต่ว่าคุณต้องทำเป็นไม่รู้จักอารยา”
เสาวรสยิ้มหยันเชื่อว่าอารยาคงจะรีบบอกภาคินัยไปแล้ว รุจเชื่อว่าไม่ถ้าตนสั่ง เธอถามว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม รุจ มองหน้าเธอย้ำชัดๆอีกครั้งว่า
“เสาวรส ให้ผมพูดตรงที่สุดนะ ผมหวังว่าคุณจะได้พบคนที่ดี”
“รุจ คนที่ดีนั่นคือคุณไง” เสาวรสจ้องหน้ารุจอย่างวัดใจ แต่แล้วก็ตัดบท “โอเค ถ้ารุจจริงใจในเรื่องที่พูดมาทั้งหมด ฉันจะทำเป็นไม่รู้จักอารยา”
รุจเบาใจลงบอกว่านั่นจะเป็นผลดีต่อตัวเธออย่างยิ่ง แต่ระหว่างเดินทางกลับห้องพัก เธอยังอดถามไม่ได้ว่าลางานที่โรงพยาบาลมาได้ยังไงเห็นเขางานยุ่งจะตาย...
ooooooo
รุจลาไปหลายวัน ทำให้ฉลวยที่แอบมีใจให้รุจคิดถึงจนไปลูบคลำเสื้อกาวน์ของเขาที่แขวนอยู่ทำให้หมอกิจจาถามว่าคิดถึงเจ้าของเสื้อหรือ ฉลวยหันมองอย่างไม่พอใจ หมอกิจจาตัดพ้อว่าตนถามดีๆ ทำไมมองตนตาแทบลุกเป็นไฟอย่างนั้น
ฉลวยรู้ว่าหมอกิจจาให้นารีมาเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยทำบึ้งตึงใส่ ครั้นหมอกิจจาตัดพ้อว่าตนเห็นฉลวยไม่ค่อยสบายใจมาหลายวัน เป็นห่วงกลัวเธอไม่สบาย ฉลวยตัดบทว่า
“หมอไม่ต้องห่วงฉลวยเลย ถ้าจะให้ดี หมออยู่ห่างๆ ฉลวย ยิ่งห่างเท่าไหร่ยิ่งดี” พูดแล้วเดินไปเลย
เมื่อหมอกิจจามาถามนารีที่ให้เป็นแม่สื่อแม่ชักให้ว่า นารีไปเลียบเคียงแล้วฉลวยว่าอย่างไร
นารีมองหน้าหมอกิจจาชั่งใจก่อนบอกว่า ตนถามฉลวยว่าไม่สงสารหมอกิจจาบ้างหรือ ฉลวยบอกว่าไม่สงสารหรอกเพราะไม่ชอบหมอ แล้วนารีก็บ่นงึมงำว่าไม่รู้ฉลวยชอบใครอยู่
“หมอรุจไงนารี ผมรู้ตั้งนานแล้วว่าฉลวยชอบหมอรุจ” กิจจาหน้าเศร้าอย่างยอมรับความจริง
ooooooo
หมอประพัฒน์ให้หนานอินตาคนขับรถของโรงพยาบาลขับรถพาเสาวรสกับพระศัลย์ฯไปที่ไร่รวงผึ้ง อินตาขับรถช้าไม่ทันใจเสาวรสเร่งให้ขับเร็วกว่านี้
ขณะอินตาเร่งความเร็วนั่นเอง มีชาวบ้านขี่จักรยานออกจากข้างทางถูกรถของอินตาชนจนกระเด็นไปจมกองเลือดที่เนินดิน อินตาตกใจลงจากรถจะวิ่งหนี เสาวรสกลับเรียกไว้ไม่ให้หนี อินตากลับมายกมือไหว้อ้อนวอนขอความเมตตาเพราะถ้าตนติดคุก ลูกอยู่ที่บ้านจะทำอย่างไรเพราะเมียก็หนีไปแล้ว
เสาวรสมองไปที่ร่างชาวบ้านถามว่ามันตายไหม อินตาบอกว่าตายแล้ว พระศัลย์ฯจะไปดูให้แน่ใจ เสาวรสบอกว่าตายไปแล้ว ดูหรือไม่ดูผลเท่ากัน ส่วนอินตาก็ให้รีบพาตนไปไร่รวงผึ้งก่อน
“ลูกสาวฉันพูดอย่างนี้ เอาเถอะอินตา ถ้ามันตายจริง เราก็ไปกันเถอะ”
แล้วทั้งสามก็กลับมาขึ้นรถขับออกไปอย่างเร็ว ทิ้งร่างโชกเลือดของชาวบ้านคนนั้นไว้ตรงนั้น แม้พระศัลย์ฯจะใจไม่ดีจนนั่งเงียบไปตลอดทางเพราะคิดว่าตนน่าจะไปดูคนนั้นสักหน่อย เสาวรสตัดบทอย่างอำมหิตว่า
“ตายค่ะ มันตายแล้วเข้าใจไหมคะคุณพ่อ ตายแน่ๆ”
เป็นเวลาที่ชายคนนั้นถูกชาวบ้านที่มาพบนำส่งโรงพยาบาล รุจกำลังจะออกเดินทางกลับพระนครแต่ยังพอมีเวลา เขาจึงอยู่ช่วยดูคนบาดเจ็บก่อน
ชาวบ้านที่นำชายคนนั้นมาโรงพยาบาลบอกหมอว่าเห็นถูกรถชนเลือดเต็มหัวไปหมด อีกคนรีบบอกว่า “ยังบ่ตายครับ” รุจรีบเข้าไปตรวจคนบาดเจ็บกับหมอประพัฒน์ รุจบอกว่า
“แรงกระแทกมาก เลือดคั่งในปอด เตรียมผ่าตัดเถอะ”
หมอประพัฒน์รีบออกไปทันที
ooooooo
อินตาพาเสาวรสและพระศัลย์ฯไปถึงไร่รวงผึ้ง น้าสังวาลย์ตกใจที่จู่ๆเสาวรสก็โผล่มาที่นี่ เสาวรสวางมาดเป็นผู้ดีชาวพระนคร อวดยศถาบรรดาศักดิ์ที่พ่อเป็นคุณพระ ว่าต่อไปก็เป็นพระยา
“อ๋อค่ะ...ใหญ่นะคะ” น้าสังวาลย์พูดประชดบอกว่า “คุณภาคินัยไม่ค่อยสบายค่ะ คอยสักครู่นะคะ” ว่าแล้วน้าสังวาลย์ก็เดินไปหาภาคินัยที่ห้องนอนของเขาบอกว่ามีแขกมา
“ให้อารยารับแขกก่อนได้ไหมครับ มีอะไรให้จดไว้” ภาคินัยในชุดเตรียมไปไร่บอกเพราะคิดว่าเป็นคนมาซื้อยาสูบ
ระหว่างน้าสังวาลย์ไปตามภาคินัยนั้น พระศัลย์ฯกวาดตามองไปรอบๆบ้านอย่างพึงพอใจ ถามเสาวรสว่าจะมาอยู่ด้วยได้หรือ เธอยิ้มยโสบอกว่าเรื่องอะไรตนจะมาอยู่นี่ บ้านของเขาที่พระนครก็ออกใหญ่โตมีแต่ของมีราคา เธอบอกพ่อว่า
“น้องสาวเขาเป็นง่อย ลูกจะเปลี่ยนใจให้เขาพาน้องไปอยู่พระนคร” ส่วนไร่ที่นี่เธอเบ้ปากบอกว่า “ขายเสีย จะเอาไว้ทำไม”
ขณะสองพ่อลูกกำลังรอภาคินัยนั่นเอง อารยาปรากฏตัวขึ้น เธอตกใจแต่เสาวรสยิ้มในหน้า เปิดฉากรุกอารยาทันทีว่าตกใจมากหรือ ถามว่า “เธอมาที่นี่พร้อมรุจหรือ ฉันพบรุจ ที่โรงพยาบาล เอ๊ะ...แต่ทำไมเขาไม่บอกฉันว่าเขาพาเธอมาด้วย”
อารยาชี้แจงว่าตนไม่ได้มาพร้อมรุจ เสาวรสถามอีกว่า แล้วมาได้ยังไง รู้จักใคร ภาคินัยหรือภคินีหรือคุณน้าสังวาลย์ คำสุดท้ายถามอย่างมีเป้าหมายถึงรุจ
เสาวรสถามอารยาจนรู้ว่าเธอไม่ได้บอกคนที่นี่ว่าเคยอยู่ที่บ้านรุจิโรจน์มาก่อน เธอลุกขึ้นทันทีบอกว่าจะขึ้นไปบอกภาคินัยเดี๋ยวนี้ว่าอารยาเคยอยู่บ้านรุจิโรจน์มาก่อน
“ค่ะ” อารยาตอบไปอย่างตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน
เสาวรสบอกอารยาว่าตนจะขึ้นไปเยี่ยมภาคินัย พลางหันไปขอจดหมายของรุจที่ฝากมาให้อารยาจากพระศัลย์ฯ พอได้จดหมายก็ส่งให้อารยาแล้วสองพ่อลูกก็พากันออกจากห้องรับแขกไป
อารยารีบเปิดจดหมายออกอ่าน รุจเขียนด้วยลายมือสั้นๆว่า
“อารยา ไม่ต้องห่วงว่าเสาวรสจะบอกเรื่องเธอเคยอยู่ที่รุจิโรจน์ ฉันกับเสาวรสมีข้อตกลงกัน เป็นข้อตกลงที่เสาวรสจะได้ประโยชน์มากกว่า...รุจ”
ooooooo
ภาคินัยตกตะลึง เมื่อเสาวรสกับพระศัลย์ฯเข้าไปหาถึงในห้องนอน เสาวรสเข้าไปฉอเลาะถามว่าเซอร์ไพรส์ไหม แล้วทำเป็นถามว่าเมื่อสักครู่พบผู้หญิงคนหนึ่งสวยดี เป็นใครหรือ
ภาคินัยบอกว่าชื่ออารยา ทำงานกับตน เป็นคนดูแลภคินี เสาวรสรีบแสดงความเสียใจกับโชคร้ายของภคินี หันชวนพ่อเดี๋ยวไปเยี่ยมกัน แต่แอบขยิบตาอย่างรู้กัน พระศัลย์ฯจึงขอตัวไปรอข้างล่างอย่างรู้ใจ
เมื่ออยู่กันตามลำพังในห้อง เสาวรสถามอ้อนๆ เชิงตัดพ้อว่าอารยาเป็นคู่รักของภาคินัยหรือ เขาบอกว่าไม่ใช่ อย่ามองใครๆว่าเขามีใจอย่างนี้กันหมด
“ที่ถามเพราะเป็นผู้หญิง” พูดพลางเดินเข้าประชิดตัว “ผู้หญิงที่มาพบผู้ชายคนหนึ่งที่เคยรักและเขาก็รัก มันอดไม่ได้ที่จะใจหาย...ถึงเขาจะรักน้อยลงแล้ว” พูดพลางสอดแขนโอบเอวเขากระซิบเบาๆ “แต่ก็อยากให้เขารู้ว่ายังรักอยู่รักมากจนมีใครใหม่ไม่ได้”
ภาคินัยนิ่งงัน สีหน้าหวั่นไหวเล็กน้อย พอดีมีเสียงเคาะประตู เขาดันเสาวรสออกห่าง น้าสังวาลย์เข้ามาถามว่าจะรับข้าวก่อนไปไร่ไหม ตนตั้งโต๊ะแล้วทั้ง 3 ที่ เสาวรสรีบขอบคุณ แล้วอ้อนขอว่า
“ภาคินัยคะ เสาวรสจะขอรบกวนนอนค้างที่นี่สักสองคืน ชอบอากาศมาก เย็นสบาย” เมื่อภาคินัยตอบรับด้วยความยินดีและให้น้าสังวาลย์สั่งเด็กจัดห้องให้ เสาวรสขอไปเยี่ยมภคินี
น้าสังวาลย์รีบบอกว่าน้องหลับอยู่ น้ายังไม่อยากให้ใครรบกวน เสาวรสไม่เซ้าซี้แต่หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง ก่อนเชิดทำคอแข็งอย่างไม่แยแส
พอน้าสังวาลย์ไปบอกภคินี เธอถามว่าตนจะต้องนอนหลับสองวันสองคืนเลยหรือ แต่ก็บอกว่าถ้าน้าสังวาลย์ ปล่อยให้เสาวรสมาเยี่ยมจริงๆ น้องจะโกรธคุณน้าไปทั้งชาติเลย
“น้ากลัวอย่างนั้นน่ะสิ ถึงต้องยอมพูดปดกับเขา เผื่อคุณหมอรุจมาเยี่ยม” น้าสังวาลย์พูดทิ้งไว้
“ตื่นทันที” ภคินีบอกเสียงแจ่มใส แล้วน้าหลานก็พากันหัวเราะชอบใจ ครู่เดียวภคินีก็หน้าหมองลงบ่นว่า ป่านนี้รุจคงถึงพระนครแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบกันอีก
แล้วภคินีก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เมื่อเธอบอกว่าอยากพบพี่ชาย น้าสังวาลย์บอกว่าไปเที่ยววัดกับเสาวรส ภคินีพูดเสียงดังหน้าเครียดว่า
“น้องเกลียดเขาที่สุด เกลียดๆ ไม่เคยเกลียดใครเท่าผู้หญิงคนนี้ เขามารยาร้อยเล่มเกวียน หน้าตาก็...บอกเลยว่าเป็นพวกไม่จริงใจ พี่ชายน่ะหมดไปกับเขาตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้าคราวนี้พี่ชายยังโง่...”
พูดได้แค่นั้นก็ถูกน้าสังวาลย์เรียกปราม ภคินีบอกว่าตนจะไปอยู่พระนคร เอาน้องสองคนไปอยู่ด้วย เพราะกลัวน้องถูกเสาวรสทารุณ และที่สำคัญคุณน้าต้องไปกับตนด้วย
ooooooo
เพราะรุจตัดสินใจอยู่ช่วยดูคนบาดเจ็บจึงต้องให้ คนโทรเลขไปขอลาต่อกับโรงพยาบาลที่เขาประจำอยู่
หมอประพัฒน์สั่งเตรียมห้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน รุจเดินมาเจอถามว่าห้องผ่าตัดพร้อมหรือยัง พยาบาลบอกว่าพร้อมแล้ว แต่พอเจอหมอประพัฒน์ หมอบอกว่า “ไม่ทันแล้วมั้ง”
เมื่อพากันรีบไปดูคนเจ็บ ปรากฏว่าคนบาดเจ็บเสียชีวิตไปแล้ว มีพยาบาลยืนนิ่งอยู่รอบเตียง และที่สำคัญมีเมียและลูกของคนตายร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่ด้วย
รุจเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขากลับไปที่หน้าเรือนพัก คิดถึงวันเก่าๆที่บ้านรุจิโรจน์ คิดถึงคำพูดของอารยาที่ปลอบใจเขาในวันที่มีคนไข้ตายว่า
“คุณรุจเป็นหมอเฉยๆ ไม่ใช่หมอเทวดา คนไข้ของคุณรุจไม่ได้รักษากับเทวดา จะได้ไม่มีใครตายเลย”
คิดถึงคำปลอบใจของอารยาแล้ว ทำให้รุจรู้สึกดีขึ้น ยอมรับความจริงที่ใครก็ไม่อาจฝืนได้
วันต่อมาโทรเลขของรุจก็ไปถึงโรงพยาบาลกลางที่เขาสังกัด ฉลวยเปิดอ่านต่อหน้านารีกับหมอกิจจา โทรเลขสั้นๆ เขียนว่า
“หมอรุจเลื่อนวันกลับ มีเคสผ่าตัดด่วน ให้ทำเรื่องลาต่อ”
หมอกิจจาอดพูดแซวๆฉลวยไม่ได้ว่า หมอรุจน่าจะรู้ว่าที่นี่ก็มีเคสผ่าตัดด่วนเหมือนกัน พอนารีถามว่าเคสไหนไม่เห็นรู้เลย หมอกิจจาก็มองหน้าฉลวยแต่ตอบนารีว่า
“ผ่าตัดหัวใจ” พูดแล้วรีบหลบพูดหยอกว่า “ผมไปล่ะ เดี๋ยวจะมีเคสผ่าตัดสมองด่วน”
ฉลวยมองตาขวางพึมพำเบาๆว่า ผ่าตัดสมองหมอก่อนดีกว่า หมอกิจจาพยายามพูดติดตลกอีก แต่ฉลวยไม่ขำด้วย พอฉลวยไป หมอกิจจาก็หน้าจ๋อย นารีปลอบใจว่า แบบนี้เดี๋ยวก็รักเองแหละ หมอกิจจาจึงยิ้มออก แต่ก็บ่นตาปรอยว่า “กลัวใจจริงๆ ดุจัง”
ooooooo
เป็นเรื่องขึ้นมาอีก เมื่อคนที่ถูกอินตาขับรถชนตายนั้นเป็นพี่ชายของเมืองคำ คนงานที่ไร่รวงผึ้งนั่นเอง เมืองคำเป็นคนดุดันอันธพาลนิดๆ เล่าให้น้าสังวาลย์ฟังว่า พี่ชายตนกำลังจะมาที่ไร่เพื่อขอสตางค์ไปส่งลูกเข้าเรียน
“คนชนเป็นใคร เขาช่วยอะไรบ้างหรือเปล่า” น้าสังวาลย์ถาม เมืองคำบอกว่ามันหนีไปแล้ว ตนจะไปโรงพยาบาลไปหาหมอรุจ น้าสังวาลย์ตกใจถามว่า “ทำไม ไปหาหมอรุจทำไม เขาไม่อยู่นะ หมอรุจกลับพระนครตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“หมอรุจน่ะครับทำให้พี่ชายผมตาย ผมจะไปถามเขาให้รู้ดีรู้ชั่วเลย” เมืองคำคำรามแค้น
เมื่อภคินีรู้จากน้าสังวาลย์ว่ารุจยังอยู่ เธอเป็นห่วงมากบอกพี่ชายให้เชิญหมอรุจมาอยู่ที่นี่เสีย ภาคินัยบอกว่าจะให้คนไปดูให้ ภคินีขอไปเอง เรียกอารยาให้ไปด้วยกัน พลางบอกพี่ชายให้อุ้มตนไปขึ้นรถ
ภาคินัยไม่ให้ภคินีไป และอารยาก็ไม่ต้องไปด้วยความเป็นห่วงรุจ อารยาไปที่วัดเก่าที่เคยไปอธิษฐานกับรุจตอนไปเอายาที่ไปรษณีย์ เธอภาวนาขออย่าให้เกิดอะไรกับรุจเลย พลันเธอก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงตัวเอง ก้องอยู่ในโบสถ์
ที่แท้รุจมานั่งอยู่ในเงามืดภายในโบสถ์อยู่ก่อนแล้ว แต่พอเธออธิษฐานเสร็จรุจก็ออกไป เขาไปดักรอเธอ ณ ที่ที่เคยนั่งคุยกันในบริเวณนั้น อารยาตกใจไม่คิดว่าจะเจอเขา ถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะมีคนบอกว่าน้องชายของคนตายบอกว่า พี่เขาตายเพราะรุจ
รุจบอกว่าตนไม่ได้ทำให้ตาย แต่เขาตายอยู่แล้ว อารยาทำท่าโล่งใจ เขาถามว่าเป็นห่วงตนหรือ
“ค่ะ น้อยนึกถึงวันนั้น ที่รุจิโรจน์ วันแรกที่คนไข้ของคุณรุจตาย คุณรุจเสียใจมาก”
“และเธอก็ปลอบฉัน รู้ไหมว่าวันนั้นเธอทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก ทุกครั้งที่คนไข้ของฉันต้องตายไป ฉันจะคิดถึงคำพูดของเธอ”
อารยาบอกว่าตนดีใจที่เขายังอยู่ เพราะเห็นภคินีดีใจ เตือนเขาว่าน้องชายคนตายเป็นนักเลง ชอบใช้กำลัง ไม่ค่อยมีเหตุผล ขอให้เขาระวังตัวด้วย
“ขอบใจที่ยังเป็นห่วงฉัน” รุจเอ่ยแล้วหันหลังเดินกลับไป อารยามองตามใจคอไม่ดี
ooooooo
แล้วก็จริงอย่างที่คาด เพราะเมืองคำน้องชายคนตายไปดักทำร้ายรุจที่บันไดโรงพยาบาล เขาพุ่งเข้าต่อยรุจที่ไม่ทันระวังตัวจนควํ่าไป ด่าลั่น “ไอ้หมอใจร้าย มึงทำพี่กูตาย มึงตายเสียเถอะ”
หมอประพัฒน์และพยาบาลช่วยกันมาจับตัวเมืองคำไว้ไม่ให้ทำร้ายรุจ ช่วยกันชี้แจงถึงสาเหตุการตายของพี่ชายเขา เมืองคำไม่ฟังเสียง โทษว่าเพราะหมอเอามีดผ่าพี่ชายตนจึงตาย
“ไม่มีหมอคนไหนมีจิตใจชั่วร้ายอย่างที่แกว่า” รุจจ้องหน้าเมืองคำ ชี้แจงว่า “พี่ชายของแกถูกรถชนอย่างแรงมาก เลือดตกอยู่ข้างในตัวเต็มไปหมด อวัยวะหลายอย่างไม่ทำงานเพราะบอบชํ้ามาก ทั้งตับ ทั้งไต ม้าม กระเพาะอาหาร หัวใจเต้นอ่อนมาก ต่อให้หมอเทวดาก็รักษาไม่ได้ ถ้าแกอยากรู้ว่าฉันพูดจริงรึเปล่า ฉันจะผ่าพี่ชายของแกทั้งตัวให้แกเห็นด้วยตา เอาไหม”
เมืองคำฟังแล้วทำหน้าเบะจะร้องไห้ หมอประพัฒน์บอกให้คนพาเขาไปล้างหน้าล้างตาแล้วอยากพูดอะไรอีกก็พามา แต่ให้หายเป็นบ้าก่อน แต่ไม่ทันที่คนจะพาเมืองคำไป
ก็มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า ตนรู้ว่าใครชนพี่ชายของเมืองคำ ทุกสายตามองขวับถามเป็นเสียงเดียวกันว่าใคร
“รถโรงพยาบาลนี่ล่ะค่ะ” หญิงชาวบ้านคนนั้นบอก
จ้องหน้าทุกคนอย่างยืนยัน
หลังจากนั้นตำรวจไปที่ไร่รวงผึ้งเพื่อคุยกับอินตา
อินตาแทบช็อก ถูกพระศัลย์ฯขู่ว่าอย่าโวยวาย แล้วทั้งเสาวรสและพระศัลย์ฯก็ให้อินตาขับรถออกจากไร่รวงผึ้ง เสาวรสบอกอินตาว่าไม่ต้องตกใจ ตนจะเป็นพยานให้ว่าอินตาไม่ได้ชนอะไร แต่อินตาก็ยังอกสั่นขวัญแขวนขับรถเป็นงูเลื้อย สุดท้ายต้องจอดที่ข้างทาง
พระศัลย์ฯลงไปดูร่องรอยการชน มีสีรถของคนตายติดอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วคาดว่าเป็นรอยโซ่จักรยาน เสาวรสก็ยังมั่นใจว่าตนเป็นพยานอินตาต้องรอด ถูกพระศัลย์ฯติงว่าเขาก็อาจมีพยาน เพราะเราไม่รู้ว่ามีชาวบ้านอยู่แถวนั้นหรือเปล่า
เสาวรสตัดสินใจขึ้นรถขับพุ่งไปชนต้นไม้โครมจนหน้ารถยู่ เธอเดินไปดูบอกทั้งสองว่า
“รอยอย่างนี้คือชนต้นไม้ ไม่ใช่ชนจักรยาน” พูดแล้วเดินกลับมาขึ้นรถชวน “ไปกันเสียที”
ooooooo
เมื่ออินตากับเสาวรสและพระศัลย์ฯไปถึงโรงพยาบาล ตำรวจถามอินตาว่าขับรถชนใช่ไหม อินตารับซื่อๆว่าใช่ ตำรวจถามอีกว่าชนแล้วลงมาดูรึเปล่า เมื่ออินตาบอกว่าดู ตำรวจรุกว่าแล้วทำยังไง ขับรถไปเลยหรือ อินตารับว่าใช่อีก
“แกไม่รู้เหรอว่าคนตายน่ะ” ตำรวจเสียงเข้ม อินตาทำไขสือถามว่าคนไหนตาย เมืองคำทนไม่ได้ปราดเข้าไปทั้งต่อยทั้งถีบอินตาพัลวันด่าว่าชนคนตายแล้วยังไม่สำนึกอีก
ระหว่างนั้นรุจสังเกตเสาวรสอยู่ เห็นเธอทำไม่รู้ไม่ชี้ พออินตาถูกเมืองคำต่อยเตะเสียน่วม เสาวรสก็ออกมาห้ามถามว่าทำอินตาทำไม ตำรวจเลยหันมาถามเธอว่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดใช่ไหม
“เห็นสิ ก็ฉันกับคุณพ่อนั่งมา ตอนชนน่ะเรากำลังเคลิ้มๆ ตกใจแทบแย่”
พอตำรวจถามว่าชนแล้วหนีใช่ไหม คราวนี้พระศัลย์ฯสะอึกออกมาถามว่ารถชนต้นไม้ต้องหนีใคร
“ชนต้นไม้!!” ตำรวจงง พระศัลย์ฯยืนยันว่าชนต้นไม้ แล้วไปชี้ให้ดูรอยยับเยินของรถ พลางยืนยันกับหมอประพัฒน์ว่าชนต้นไม้ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ทั้งยังแนะว่าค่าซ่อมคงต้องขอจากราชการด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ไม่อาจตบตารุจได้ เขาบอกหมอประพัฒน์ว่าอินตานี่แหละชน เพราะเขาเห็นหน้าคนบางคนก็แน่ใจแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองก็เรียกอินตามาถาม รุจถามดักทางว่าเสาวรสเป็นคนขับรถชนต้นไม้ใช่ไหม อินตาตะลึงอึ้ง พอได้สติก็หันหลังโกยอ้าวไป นั่นเป็นคำตอบยืนยันว่ารุจพูดถูก หมอประพัฒน์หันมายกนิ้วโป้งให้อย่างเชื่อถือ
อินตาวิ่งอ้าวไปบอกเสาวรสกับพระศัลย์ฯว่าหมอรุจรู้ว่าเสาวรสเป็นคนขับรถชนต้นไม้
“ไม่เป็นไร ฉันรู้จักหมอรุจมานาน พอที่จะทำให้เขาปิดปากได้” เสาวรสพูดอย่างมั่นใจ พระศัลย์ฯบอกให้ไปเก็บของเสียเราจะกลับไปค้างที่ไร่รวงผึ้งกัน
ระหว่างอินตาขับรถกลับไปไร่รวงผึ้งนั้น รถจักรยานของอารยาสวนไปแต่ไม่มีใครเห็น
ooooooo
เหมือนมีกระแสจิตถึงกัน รุจมานั่งที่บริเวณ
นํ้าตกครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อารยาขี่จักรยานมาอย่างมั่นใจว่าต้องพบเขาที่นี่ เธอบอกว่ารู้ว่าเรื่องการตายของพี่ชายคำเมืองนั้นมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ถามว่าตำรวจจับใคร ได้ข่าวว่าคำเมืองโทษว่ารุจ ทำให้พี่ชายเขาตาย
รุจมองหน้าเธอนิ่งถามว่ากลัวตำรวจจับตนหรือ เธอยอมรับด้วยสีหน้าวิตก รุจหัวเราะเบาๆ พูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า “เด็กน้อย เธอช่างไม่รู้เรื่องโลกภายนอกเลย”
อารยายอมรับตนโง่ ทั้งโง่ทั้งแคบ รุจเปลี่ยนเรื่องคุย บรรยายถึงแม่ๆทั้งสาม ท่านขุนฯ รวมทั้งมณี นายสุข นายสิงห์ นายเสือและบัว ที่เคยอยู่ร่วมกับเธอที่บ้านรุจิโรจน์ อีกทั้งยังมีเพื่อนบ้านอย่างคุณนายพนาเวส พี่หนูนาและชาลีเพื่อนที่รู้ใจกัน
รุจบรรยายเสียยืดยาวแล้วลงท้ายว่า ถ้าที่รุจิโรจน์มีแต่สิ่งที่ตนพูดเธอคงกลับไปแล้ว ยํ้าว่าถ้าเพียงรุจิโรจน์ไม่มีตน เพราะตนทำให้เธอต้องร่อนเร่อยู่แดนไกล ทั้งเหงา ทั้งว้าเหว่ เขาพูดจนอารยาสะเทือนใจสะอื้นออกมา พลันเขาก็ลุกยืนบอกว่า
“ฉันจะกลับล่ะ ลาเธอเสียเลย ขอให้โชคดี...อารยา”
รุจลุกเดินไปเอาดื้อๆ จนอารยาคิดไม่ทันยืนนิ่งงัน พอนึกได้ก็วิ่งไปดักหน้าพูดละล่ำละลัก
“คุณรุจ...คุณรุจ...คุณภาคินัยพูดว่า วันมะรืนจะไปเที่ยวถํ้า จะชวนคุณไป คุณเสาวรสไปด้วย”
รุจยิ้มขำๆออกมาอย่างรู้ทันว่าอารยาเอาเสาวรสมาล่อ อารยาทำหน้าเก้อๆ ถามว่ายิ้มอะไร รุจพูดพร้อมกับเดินห่างออกไปว่า
“ไม่ได้ผลหรอกอารยา เพราะฉันไม่ไป”
ooooooo
รุจขี่จักรยานกลับมาถึงที่พักในโรงพยาบาล เห็นอินตากำลังทำความสะอาดรถอยู่เขาเข้าไปเรียก อินตาสะดุ้งเฮือก พอเขาจ้องหน้าอินตาก็หลบก้มหน้างุด รุจบอกว่าอินตาโกหกตนไม่ได้หรอก ถ้าตนจะเอาผิดจริงๆก็ง่ายนิดเดียว ไม่มีทางรอดหรอก
ขณะที่อินตากำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่นั้น เหลือบเห็นเสาวรสออกมายืนหน้าห้องจ้องอยู่ อินตาฮึดขึ้นมาตะโกนใส่รุจพลางวิ่งหนีไปว่า “ผมไม่ได้ทำ...ไม่ได้ทำ”
เสาวรสทำเป็นทักรุจ พอรุจจะเดินไปเธอถามว่าไปเที่ยวด้วยกันใช่ไหม พอรุจบอกว่าตนไม่ไป เธอยิ้มหยันทันที
“ดีจริง...เพราะฉันไม่อยากหมดสนุก ลำพังแม่อารยาคนเดียวก็เหลือจะทนแล้ว” พูดแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าห้อง รุจเห็นอากัปกิริยาและคำพูดนี้ ทำให้เขานึกเป็นห่วงอารยาขึ้นมาทันที
ooooooo
การหายไปของอารยาและการไปทางเหนือจนเลยกำหนดเวลาของรุจ ทำให้แม่ๆทั้งสามร้อนใจ ถามท่านขุนฯก็ไม่ได้เรื่อง สุดท้ายสามแม่เลยไปที่บ้านพนาเวสเชื่อว่าชาลีต้องรู้ แต่เขาไม่ยอมบอก
ทั้งสามไปถึงบ้านพนาเวส ภาวนากันว่าขออย่าได้เจอชาลีเลย เพราะเขาทำเป็นมีลับลมคมใน เรื่องอารยามาตลอด เชื่อว่าถ้าเจอวัฒนากับคุณนายพนาเวส คงจะได้เรื่อง
แล้วทั้งสามแม่ก็โล่งใจ เมื่อไม่เห็นชาลีอยู่บ้าน เลียบเคียงถามจนวัฒนากำลังจะบอก ก็พอดีเสียงชาลีแทรกเข้ามาว่า
“ผมแปลกใจมากว่าทำไมหมอรุจไม่บอกป้าๆว่าออกไปหาคุณน้อย”
แม่ๆทั้งสามอ้าปากค้าง แม่ละม่อมถามตะกุกตะกักว่า “อะ..อะไรนะคะ”
“ผมบอกคุณหนูของป้าว่าคุณน้อยอยู่เชียงใหม่” วัฒนาช่วยเสริมว่าไปอยู่กับญาติของเราที่พิการ ชาลีจึงเล่าต่อว่า “ผมบอกหมอรุจและผมก็รู้ว่าหมอรุจขึ้นเชียงใหม่ไปแล้ว คุณหนูของป้าทำตัวแปลกมาก มีลับลมคมใน”
“ไม่รู้กันเลยเหรอคะ” วัฒนาถามแม่ทั้งสามเบาๆ สามแม่ส่ายหน้าจ๋อยๆ แม่พินเลยตัดบทว่า
“เอาล่ะ เป็นอันรู้ว่าคุณหนูพบคุณน้อยแล้วก็โล่งใจ”
“อยู่แต่ว่า จะเอาคำตอบจากคุณหมอรุจ รุจิโรจน์ ได้ไหมว่า ทำไมไม่บอกกับคุณน้อย เจตนาจงใจไม่บอกด้วย” ชาลีพูดทิ้งท้ายไว้อย่างข้องใจ
ooooooo
เช้าวันนี้ เป็นวันนัดที่ภาคินัยจะพาแขกที่มาเยือนไปเที่ยวถํ้ากัน เสาวรสเจ้ากี้เจ้าการบอกให้พระศัลย์ฯไปนั่งรถอินตา ส่วนตนจะนั่งรถของภาคินัย แต่ภาคินัยกลับเชิญพระศัลย์ฯไปรถตน เพราะนั่งสบายกว่า แล้วเขาก็บ่นอุบอิบว่า ทำไมหมอรุจยังไม่มา
“รุจไม่มาหรอกค่ะ” เสาวรสบอก ภาคินัยถามว่าทำไม อารยาไม่ได้บอกหรือ อารยาบอกว่าตนบอกแล้ว แต่พอภาคินัยถามอีกว่าแล้วรุจว่าอย่างไร เสารสก็ชิงตอบอีกว่ารุจไม่ไป เห็นว่าจะกลับพระนครวันนี้ ภาคินัยบ่นว่าน่าเสียดายอารยาทำงานไม่ได้ผลเลย พลางบอกเสาวรส คุณพระและอารยาให้นั่งรถคันตน อารยาขอนั่งคันเดียวกับน้าสังวาลย์ และน้องแฝดสองคนจะได้ช่วยกันดูแลน้อง
เสาวรสเริ่มรู้สึกถึงความอาทรของภาคินัยที่มีต่ออารยา อึดใจเดียวรถของภาคินัยก็พุ่งออกไป
น้าสังวาลย์มัวสั่งฝ้ายคำให้ดูแลภคินีให้ดีอยู่เลยออกช้า ปรากฏว่ารุจขับรถเข้ามาพอดี เขาลงจากรถวิ่งมาไหว้น้าสังวาลย์ ขอไปด้วยคน น้าจะให้ไปนั่งหน้า เขาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะข้างหลังสะเทือน แล้วเปิดประตูหลังขึ้นนั่งเบียดอารยาหน้าตาเฉย
ระหว่างทางรถเด้งไปเด้งมาเพราะอยู่บนถนนลูกรัง รุจฉวยโอกาสแกล้งอารยาแบบคนเมาดิบ รถเด้งนิดเดียวแต่เขาโยกตัวเสียจนเอนอิงเธอ ทั้งยังทำเป็นห่วงน้องๆ เอื้อมมือโอบผ่านอารยาไปโอบน้องๆไว้ อารยามองหน้าเขาดุๆ แต่พอสบตาเขาในระยะใกล้เธอก็เป็นฝ่ายหลบสายตาคมกริบคู่นั้นเขินๆ
ooooooo
เมื่อรถไปถึงถํ้า ภาคินัยจอดรถแล้วลงมาจะไปรถที่อินตาขับ อ้างว่าจะไปรับน้าสังวาลย์กับน้องๆ กลัวพวกเขาหกล้ม เสาวรสกันท่าเต็มที่บอกว่าไม่ล้มหรอก ถูกภาคินัยหันมาถามว่า
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเสาวรสแทบจะให้ผมอุ้มลงมาเลยเมื้อกี้”
เสาวรสหน้าตึงทันที พอภาคินัยเดินไปแล้ว พระศัลย์ฯกระซิบกับลูกสาวว่ายังมีเวลาอีกมาก เสาวรสตวาดพ่อเบาๆ ว่าไม่เห็นหรือว่าเขาไม่สนใจตนเลย พระศัลย์ฯบอกว่า เพราะภาคินัยชอบอารยา ดูนิดเดียวก็รู้ พอเห็นเสาวรสหน้าเครียดก็ปลอบใจว่า
“ลูกไม่ต้องเสียใจ เรากลับบ้านเรา ลูกยังสาว ยังสวย วันหนึ่งลูกจะพบคนที่รักลูกจริง”
“ผู้ชายคนนี้เคยรักเคยหลงลูก พยายามแล้วพยายามเล่าจะแต่งงานกับลูก ลูกจะไม่ปล่อยเขาหลุดมือไป” ครั้นผู้เป็นพ่อติงว่า แต่เดี๋ยวนี้เขารักผู้หญิงคนนั้น เธอพูดอย่างหมายมาดว่า “ก็ลองสู้กันสักตั้งกับผู้หญิงจืดชืด ไม่มีนํ้ายาคนหนึ่ง”
ooooooo
เมื่อไปถึงถํ้า ทางเดินไม่ราบเรียบ ภาคินัยดูแลน้าสังวาลย์ น้องๆ และอารยา เขาส่งมือรับเธอลงจากเนิน แต่เดินพลาดทำให้อารยาถลาลงมาในอ้อมแขนเขา รุจเบือนหน้าจากภาพนั้นอย่างทนดูไม่ได้ ส่วนเสาวรสก็เดินแกร่วมาถามรุจเชิงเยาะว่า ไหนว่าไม่มา รุจละสายตาจากภาคินัยกับอารยาบอกว่า เปลี่ยนใจเพราะอยากเห็นอะไรดีๆบ้าง
ภาคินัยเดินมาทักรุจ บอกว่าดีใจที่เขามา เขาแกล้งบ่นอารยาว่าทำงานไม่สำเร็จ คราวหลังไม่ให้ทำแล้ว ถามว่าแล้วอะไรทำให้หมอเปลี่ยนใจหรือ
“เสาวรสบอกผมว่าถํ้านี้สวยมาก ใครไม่ได้เห็นจะเสียใจ” รุจแกล้งพูดดังๆ เสาวรสได้ยินทำปากมุบมิบด่า..บ้า..คนบ้า..
เมื่อพากันไปถึงศาลาที่มีพระพุทธรูป ทั้งหมดพากันเข้าไปไหว้พระ เสาวรสไหว้ลวกๆ ปักธูปเร็วๆ อย่างไม่สำรวม ผิดกับ อารยาที่บรรจงไหว้อธิษฐานแน่วนิ่งด้วยท่าทางสำรวมเรียบร้อย
ภาคินัยถามอารยาว่าอธิษฐานขออะไรจากท่าน เธอตอบยิ้มๆว่าเป็นความลับ ภาคินัยเลยหยอกว่าอยากให้อธิษฐานให้ไร่รวงผึ้งทำกิจการเจริญงอกงาม อย่าเป็นที่เบื่อหน่ายของใครๆ
“อย่างแรกได้ค่ะ แต่อย่างหลัง ถ้าไร่เจริญรุ่งเรืองใครจะเบื่อคะ”
“ผมกลัว...ผมกลัวว่าสักวันหนึ่งอารยาจะทิ้งไร่ไปเสีย” ภาคินัยทำเสียงกระซิบกระซาบจนอารยาขำหัวเราะเบาๆ มองไปทางอื่นเลยสบตารุจเข้าอย่างจัง เขามองลอดแว่นตาคมกริบ เขาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้จนได้ยินอารยาพูดคุยกับภาคินัยอย่างร่าเริง เธอจงใจยั่วกวนอารมณ์เขาว่า
“ดิฉันก็เหมือนคนที่รักและห่วงตัวเองทั่วไป ที่ไหนร่มเย็นก็อยากอยู่ที่นั่นไปนานๆ”
รุจได้ยินเต็มสองหู เขาสะเทือนใจรู้ว่าที่อารยาพูดหมายถึงอะไรและหมายถึงใคร เขาหยุดยืนนิ่งงัน อารยาเห็นก็เดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน แต่พอเขาหันเดินกลับเจอน้าสังวาลย์พอดี น้าถามว่า
“คุณหมออธิษฐานแล้วหรือยังคะ ท่านศักดิ์สิทธิ์นะคะ ขออะไรก็ขอเสีย”
“ผมเกรงว่าจะขอสิ่งที่คนอื่นขอแล้ว จะเป็นภาระแก่ท่านที่ต้องให้ของที่มีอย่างเดียวกับคนสองคน” รุจจงใจพูดดังๆ น้าสังวาลย์พาซื่อฟังอย่างตั้งใจแล้วร้องอ้อ...
“เพื่อให้ท่านไม่ต้องยุ่งยาก ผมก็เลยไม่ขอครับ”
พอน้าสังวาลย์ร้องอ้อ...อีกที เขาพูดต่ออีกว่า “ผมเห็นทีต้องช่วยตัวเอง ซึ่งอาจจะต้องต่อสู้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์” รุจพูดขำๆ ส่วนน้าสังวาลย์เปลี่ยนจากที่ฟังแล้วร้อง อ้อ...อ้อ...กลายเป็น อุ๊ย...บอกรุจว่าให้ขอท่านเถิด พระท่านให้แน่ๆ เพราะคุณหมอเป็นคนดี ใครๆก็สู้ไม่ได้หรอก
รุจพูดจนสะใจแล้วหันมองอารยาอีกที พอดีเสียงภาคินัยร้องเรียกให้ไปทานอาหารกลางวันกัน จากนั้นจะได้เข้าไปดูถ้ำ พลางเขาเชิญพระศัลย์ฯไปนั่งในที่สบายๆ เสาวรสยิ้มหวานให้ ภาคินัยจึงส่งมือให้รับเธอพาไปนั่งอย่างดี
“ขอบคุณค่ะ ขอให้ฉันตอบแทนด้วยการจัดอาหารให้คุณนะคะ นั่งลงตรงนี้เลยค่ะ นั่งเฉยๆนะคะ” เสาวรสถือโอกาสยึดภาคินัยไว้กับตัวเอง
น้าสังวาลย์จูงดาริกากับกุมารีมานั่ง เสร็จแล้วมองหาร้องถามอารยาว่าหมอรุจหายไปไหน
ooooooo
ครู่หนึ่งอารยาถือจานอาหารมาให้รุจที่ยืนกอดอกมองขุนเขาเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด พอเห็นเธอเขาถามว่า จะนั่งรับประทานตรงนี้หรือ ก้มหัวให้ เอ่ยขอโทษ แล้วเดินเลี่ยงไป
อารยารีบบอกว่าไม่ใช่ เขายังคงเดินไปพลางพูดไปพลางว่า ภาคินัยไม่ได้อยู่ตรงนี้
“คุณรุจ” อารยาฉุนกึก พอรุจหยุดหันมองด้วยสายตาว่างเปล่า เธอบอกว่า “คุณน้าสังวาลย์ให้เอาของรับประทานมาให้ค่ะ”
“เรียนคุณน้าสังวาลย์ด้วยว่าขอบพระคุณ ขอบใจเธอด้วยที่ต้องเสียเวลาออกมาจากวงอาหาร”
อารยาบอกว่าตนไม่ได้อยากมา แต่เมื่อน้าสังวาลย์ให้เอามาตนก็เต็มใจมา เธอชี้แจงเหมือนจะไม่ยอมให้เขาว่าฝ่ายเดียว แต่พอสบตาคมกริบของเขาเธอก็หลบวูบ ใจสั่นหวิวๆ
“เสร็จธุระแล้วใช่ไหม เชิญ” รุจเอ่ย พอถูกถามว่าไล่กันหรือ เขากลับหัวเราะถามว่าตนหรือจะกล้าไล่เธอ แล้วก็พูดเหน็บตามเคยว่า “ในเมื่อฉันมองเห็นอนาคตของเธอว่าจะได้ดีมีสุขอยู่ที่นี่ มิน่าล่ะ เธอจึงไม่ยอมกลับรุจิโรจน์ท่าเดียว จนฉันชักแน่ใจแล้วว่า ถึงฉันจะคุกเข่าอ้อนวอนเธอก็คงไม่ยอมไปอยู่ดี”
อารยาทนฟังไม่ได้ ยกมือไหว้ขอร้องอย่าพูดอะไรอย่างนี้อีกเลย เขาสวนมาทันทีว่าทำไมจะพูดไม่ได้ มันไม่ใช่ ความจริงหรือ อารยาส่ายหน้าปฏิเสธเสียงสะท้านว่า “ไม่...ไม่ใช่ค่ะ”
“ฉันจะคอยดูต่อไป ขอโทษ ฉันต้องการอยู่คนเดียว”
อารยายืนนิ่งอย่างอึดอัด รุจยืนมองไปไกลๆเหมือนไม่แยแส แต่ทั้งสองต่างใจหวั่นไหว ครู่เดียวรุจหันกลับมา เดินเข้าหาอารยาเหมือนจะเข้ามากอดจนใกล้ตัว แล้วเขาก็ชะงักกึก เมื่อภาคินัยทักขึ้นว่าอารยาอยู่นี่เอง
อารยาถามว่าจะไปกันแล้วหรือ ภาคินัยบอกว่าคนที่เราจ้างไว้ให้พาเข้าถ้ำมาแล้ว เอ่ยเชิญรุจด้วย รุจถามว่าต้องมีไกด์ด้วยหรือ
“ทางเดินเข้าไปมืดและแคบครับ มีทางแยกหลายทาง ผมกลัวจะเลี้ยวผิด แต่ข้างในสวยมากครับ” ภาคินัยเชิญชวนจนน่าตื่นเต้น
ooooooo










