ตอนที่ 11
เมื่อรุจน์ยํ้าชัดกับเสาวรสว่าตนเป็นได้แค่เพื่อนของเธอเท่านั้น เสาวรสก็เคว้งคว้างไม่เหลือใครอีกแล้ว แต่เธอก็ยังคิดหาทางที่จะเอารุจกลับมาให้ได้ โดยเฉพาะจะไม่ยอมแพ้ “ไอ้เด็กหน้าโง่” อย่างเด็ดขาด พระศัลย์ฯเฝ้าดูลูกอยู่อย่างสงสาร บอกว่า “ลูกจะให้พ่อทำอะไร พ่อทำได้ทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆนะคะ”
ดังนั้น ตกเย็นพระศัลย์ฯจึงไปที่บ้านรุจิโรจน์พร้อมผลไม้กระเช้าใหญ่ไปให้พวกแม่ๆทั้งสาม ทำเป็นญาติดีด้วย แต่ถูกพวกแม่ๆออกมายืนเรียงเป็นกำแพงขวางไว้ไม่ยอมให้เข้าบ้าน พระศัลย์ฯอ้างว่าตนมาเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากหมอรุจเพราะมีญาติป่วยหนัก
“อ๋อ...อ้าปากก็เห็นไปถึงลิ้นไก่สั้นๆนั่นแล้วนะคะเนี่ย ญาติหรือลูกสาวกันแน่คะ” แม่พร้อมดักคออย่างรู้ทัน
แม่ๆทั้งสามรวมทั้งท่านขุนฯไม่มีใครบอกว่ารุจไปไหนและเชิญพระศัลย์ฯเอาผลไม้กลับไปให้ลูกสาวกินแก้ชํ้าใน ดีกว่า ทั้งสี่รุมกันว่าเสียจนพระศัลย์ฯฮึดฮัดกลับไป แม่พินพึมพำตามหลังอย่างสมเพชว่า
“น่าสังเวชจริงๆพ่อแม่แบบนี้ แทนที่จะห้ามปรามให้สติลูก กลับหน้ามืดตามัวทำอะไรสิ้นคิดเสียเอง”
ooooooo
ที่ไร่รวงผึ้ง อารยารู้สึกกดดันอย่างหนักเมื่อรุจมาที่นี่ ซํ้ายังแสดงท่าทีเย็นชาทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน เป็นภาวะที่เธออึดอัดยิ่งกว่าเจอกันที่บ้านรุจิโรจน์เสียอีก ได้แต่แอบร้องไห้อย่างอัดอั้นอยู่คนเดียว
แต่ไม่ว่าภาวะจิตใจจะเป็นเช่นไร อารยาก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี วันนี้ก็ไปปูผ้าใต้ต้นไม้ใหญ่สอนหนังสือดาริกากับกุมารีอย่างตั้งอกตั้งใจ ภาคินัยไปยืนดูอยู่ห่างๆ เมื่อดาริกากับกุมารีลุกขึ้นไล่จับผีเสื้อแสนสวยไปตามประสาเด็ก ภาคินัยก็เดินเข้าไปทักทาย ถามว่าเหนื่อยไหม
“ไม่เหนื่อยค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“เห็นอารยาทำอะไรหลายอย่างเหลือเกิน วันๆนึงได้อารยามาคนเดียวเหมือนได้คนอีกตั้งหลายๆคนมาแบ่งเบาภาระ ซึ่งผมคิดว่าไม่ยุติธรรมกับคุณเลย”
ภาคินัยพูดอย่างเห็นใจว่าดูท่าทางเธอต้องเหนื่อยมาก โดยเฉพาะเวลาที่ภคินีอารมณ์เสีย อารยาพูดเป็นนัยว่าตอนนี้ภคินีก็อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ภาคินัยอ่านเจตนาเธอไม่ออก บอกว่าตนดีใจมาก เพราะตลอดเวลามาตนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทำให้น้องเจ็บ ถ้าน้องต้องพิการไปตลอดชีวิตตนจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย
“คุณภาคินัยคะ ถ้าคุณลงโทษตัวเองอย่างนั้น คนอื่นๆ ที่รักคุณจะไม่มีความสบายใจและความสุขไปด้วย โดยเฉพาะคุณน้องนะคะ”
“ขอบคุณมากนะอารยา สิ่งที่คุณพูดทำให้ทุกคนสบายใจ ให้กำลังใจผมบ่อยๆนะอารยา จนกว่าจะถึงวันที่ภคินีลุกขึ้นเดิน ลุกขึ้นวิ่งได้อย่างที่เคยเป็น”
อารยาเชื่อว่าภคินีจะกลับมาทำอย่างนั้นได้เหมือนเดิม ภาคินัยอดชื่นชมไม่ได้ว่า
“อารยาเองก็เก่งมากนะที่นึกถึงชื่อหมอรุจ รุจิโรจน์ได้ นี่ถ้าหมอรุจไม่มาเอง ป่านนี้น้องคงแย่ สมควรที่ผมจะต้องบอกเขาว่าผมได้คำแนะนำจากอารยา คนที่ได้ยินชื่อเสียงของเขาและเชื่อถือในตัวเขา”
อารยายิ้มเจื่อนๆ ไม่อยากพูดถึงรุจอีก เธอลุกขึ้นบอกว่าจะไปเดินเล่น ภาคินัยเห็นแดดร้อน เขาถอดหมวกตัวเองสวมให้เธออย่างนิ่มนวล เธอขอบคุณแล้วเดินเลี่ยงไป
ตลอดเวลาที่ภาคินัยเข้าไปคุยกับอารยานั้น รุจยืนมองอยู่อีกมุมหนึ่ง เขาเริ่มสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างภาคินัยกับอารยาว่าถึงขั้นไหนกันแล้ว...
ooooooo
รุจตามอารยาไปห่างๆ จนเธอไปถึงริมลำธาร ลมพัดหมวกปลิวไป แต่พอเธอหันไปจะเก็บหมวกก็เจอรุจยืนอยู่ก่อนแล้ว อารยาชะงัก ในขณะที่รุจพูดอย่างเย็นชาตามเคยว่า
“อารยาในที่สุดฉันก็พบเธอจนได้” เมื่ออารยาถามอย่างน้อยใจว่า เขายังว่าตนไม่พออีกหรือ รุจพูดด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนลงว่า “เธอเข้าใจผิดนะอารยา ฉันยินดีมาก เมื่อชาลีบอกว่าเธออยู่ที่นี่ ฉันอยากพบเธอเพื่อจะบอกเธอว่าแม่ทั้งสามคนรวมทั้งท่านขุนฯด้วย เดือดร้อนมากที่เธอจากรุจิโรจน์มา”
รุจพยายามหว่านล้อมให้อารยากลับไปรุจิโรจน์ของเรา ทั้งยังยืนยันให้เธอมั่นใจว่าเธอยังมีสิทธิ์ในเงินเดือนและสิทธิ์อื่นๆตามพินัยกรรม ไม่ว่าเธอจะอยู่หรือไม่ก็ตาม อารยา ปฏิเสธ เพราะตนออกจากบ้านรุจิโรจน์แล้วย่อมไม่มีสิทธิ์
“เธอมีสิทธิ์” รุจเสียงแข็งขึ้น “แต่...เธออาจจะไม่ไยดีในสิทธิ์นั้นเพราะเธอมีความสุขแล้ว ฉันคงต้องเลิกคิดที่จะรับเธอกลับไป” รุจมองหน้าเธออย่างค้นหา แต่เธอเมินไปทางอื่นรีบเดินไปไม่ให้เขาเห็นนํ้าตาที่ล้นปรี่ขึ้นมา รุจได้แต่ยืนมองตามไปนิ่งๆ
อารยาเดินหนีไปนั่งที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ลำธาร ลมโชยอ่อนๆทำให้เธอหลับฝันถึงแม่ๆทั้งสามและท่านขุนฯ ทุกคนแสดงความรักความห่วงใย ต่างดีใจที่เห็นเธอกลับไปที่นั่น แต่เมื่อสะดุ้งตื่น เธอร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจ พึมพำเสียงสะท้าน...
“ป้าขา น้อยคิดถึงป้า คิดถึงรุจิโรจน์...”
ooooooo
ความรู้สึกไม่สบายใจกับความสัมพันธ์ระหว่างภาคินัยกับอารยาของรุจเพิ่มทวีขึ้นทุกที วันนี้เขาเข้าครัวไปชงกาแฟดื่มเอง ครู่หนึ่งภาคินัยเข้ามาบอกให้อารยาชงกาแฟให้สักถ้วย ชวนรุจดื่มด้วยกัน คุยอวดว่าฝีมือชงกาแฟของอารยานั้นไม่มีใครเทียบได้ในโลก ถ้าหมอได้ชิมจะไม่ทานกาแฟที่คนอื่นชงเลย
รุจทำเป็นบ่นเสียดายที่ไม่ทราบมาก่อน ภาคินัยชวนรุจอยู่ค้างที่นี่อีกสักคืน พรุ่งนี้เช้าดื่มกาแฟแล้วจะพาไปส่งโรงพยาบาลเอง รุจตอบรับทันที แล้วขอถาดอาหารจากอารยาจะเอาไปให้ภคินีเอง
ขณะรับถาดอาหารจากอารยานั้น มือแตะมือกันโดยไม่ตั้งใจ อารยาชักมือกลับอย่างเร็วราวกับถูกของร้อนลวก จนรุจรู้สึกตัวถามเบาๆว่า “รังเกียจฉันมากขนาดนี้เชียวหรือ” อารยาปฏิเสธเบาๆ
รุจถือถาดอาหารเดินออกไปทันที พอดีภาคินัยที่หันไปหยิบถ้วยกาแฟ หันกลับมาบอกอารยาว่าได้แล้วให้เธอชงให้สมกับที่ตนไม่ได้ดื่มกาแฟทั้งวันเลยนะ อารยายิ้มน้อยๆ ส่วนรุจเดินหน้าเข้มออกจากครัวไป
ooooooo
หลังจากหมอรุจมาดูแลรักษาภคินีอย่างใกล้ชิดไม่กี่วัน เธอก็อารมณ์แจ่มใสหันมาดูแลตัวเองทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เธอพิถีพิถันจนน้าสังวาลย์นึกกังวล ภคินีจัดการดูแลตัวเองเสร็จแต่เช้า พอดีหมอรุจยกถาดอาหารเข้ามา น้าสังวาลย์ถามอย่างเกรงใจว่าทำไมหมอยกมาเอง ภคินีก็ถามว่าทำไมไม่ให้อารยายกมา
“อารยาชงกาแฟให้คุณภาคินัย” รุจตอบเรียบๆวางถาดอาหารลง อารยาเข้ามาพอดีเขาจงใจพูดอีกว่า “คงตั้งใจชงให้เป็นพิเศษ”
น้าสังวาลย์ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ผสมโรงชมว่าฝีมือชงกาแฟของอารยาน้ายังติดใจเลย รุจไม่พูดต่อแต่ชวนภคินีไปทานอาหารที่ระเบียงดีกว่า ว่าแล้วอุ้มเธอไปที่ระเบียงอย่างสนิทมือสนิทใจ
ถูกหมอหนุ่มหล่ออุ้มแนบอก ทำให้คนไข้วัยแรกรุ่นอย่างภคินีใจเต้นแรง ยิ้มสดใส แต่พยายามควบคุมสีหน้าให้ปกติ อารยามองความใกล้ชิดกันนั้นด้วยแววตาเศร้า...แล้วหันไปยกถาดอาหารตามออกไป
ออกไปที่ระเบียงแล้ว รุจพูดให้กำลังใจและความหวังกับภคินีว่าให้ทานอาหารเยอะๆจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนผ่าตัด เธอยิ้มให้เหมือนฝากทั้งชีวิตไว้กับเขา รุจยังบอกกับเธอว่า
“ต่อจากนั้น ผมจะให้ภคินีพาผมไปดูลำธาร ดูดอกไม้ ดูผีเสื้ออย่างที่คุยอวดไว้ ผมสัญญา ทานข้าวนะครับ เสร็จแล้วก็ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย เดี๋ยวผมจะไปเตรียมรถเข็นไว้ให้”
เมื่อรุจออกไปเอารถเข็น ภคินีคุยกับอารยาอย่างมีความสุขว่า
“อารยาจ๋า มาใกล้ๆฉันหน่อย ฉันดีใจที่สุด เขาจะชุบชีวิตให้ฉันใหม่ ฉันหมดหวังแล้วนะก่อนหน้านี้น่ะ ต่อไป ฉันจะไม่ดื้อ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ฉันต้องทำจิตใจให้ดีด้วย หมอรุจบอก เพราะจะได้ส่งผลถึงร่างกาย ฉันเชื่อเขา เขาทำให้ฉันมีความหวัง โอ...อารยา ขออย่าให้มีอะไรเป็นอุปสรรคเลย...”
ภคินีรำพันถึงความหวังด้วยแววตาเป็นประกายระยับ ส่วนอารยาที่นิ่งฟัง ยิ่งฟังแววตาก็ยิ่งเศร้า...
เมื่อรุจเอารถเข็นมาแล้ว เขาอุ้มภคินีขึ้นนั่งรถเข็น บอกอารยาที่ยืนมองอยู่ว่าเธอไม่ต้องไป ตนจะดูแลภคินีเอง
อารยารับคำเบาๆยังได้ยินเสียงรุจบอกภคินีอย่างอ่อนโยนขณะเข็นรถไปว่า
“ภคินีพยายามออกมาข้างนอกบ่อยๆนะครับ อากาศบริสุทธิ์จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง”
ooooooo
ขณะอารยากำลังยืนดูรุจชี้ชวนภคินีชมนกชมไม้กันอย่างใกล้ชิดด้วยแววตาหม่นหมองนั้นเอง เธอสะดุ้งเมื่อภาคินัยมาเรียกจากข้างหลัง ถามหาน้าสังวาลย์ พออารยาบอกว่าออกไปซื้อเนื้อ ภาคินัยบอกเธอว่า คนงานมาบอกว่าฝายล่ม ตนต้องออกไปกู้ฝายอาจต้องค้างคืน อารยาถามว่าจะให้น้าสังวาลย์เตรียมอะไรให้บ้าง ภาคินัยบอกว่า เสื้อแจ็กเกตกับแปรงสีฟัน ยาสีฟันเท่านั้น เธอขออนุญาตเข้าไปหยิบให้ได้ไหม
“ได้โปรด...ขอบคุณมากครับ ผมไปบอกน้องก่อน” ภาคินัยเลี่ยงไปทางรุจกับภคินี
ครู่เดียวอารยาก็นำสิ่งของที่เขาต้องการมาให้ ภคินีถามว่าอารยาไปด้วยหรือ เขาบอกว่าเปล่าเธอเอาเสื้อมาให้เท่านั้น ก้มจูบผมน้องบอกว่าพรุ่งนี้พบกัน
ก่อนไป ภาคินัยฝากรุจให้ช่วยดูแลน้องอยู่เป็นเพื่อนน้องให้ด้วย บอกว่าทิ้งกุญแจรถไว้ เผื่อจำเป็นจะออกไปไหนด้วย แต่ขณะเขาเดินผ่านอารยา ภาคินัยพูดอะไรด้วยเบาๆอารยาก้มหน้าเขินๆ
รุจมองอากัปกิริยานั้นหน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย ภคินีเห็นพอดี เธอมองอย่างสงสัย มองอยู่อย่างนั้นจนพี่ชายซ้อนจักรยานยนต์คนงานออกไป ส่วนอารยาพอภาคินัยไปแล้วเธอหันหลังเดินกลับเข้าในบ้านทันที
ครู่หนึ่งรุจจึงพาภคินีกลับมาที่ห้องของเธอ บอกให้นอนพักให้สบาย การผ่าตัดต้องผ่านไปได้ด้วยดี แต่ภคินีนอนไม่หลับจึงให้อารยามาอ่านหนังสือให้ฟัง กำชับว่าให้อยู่กับตน อย่าไปไหน อารยาอ่านจนภคินีหลับ เธอจึงหยุดอ่านนั่งกอดอกหลับตาอยู่ตรงหน้าเตียง
ooooooo
ระหว่างที่ภคินีพักผ่อนนั้น รุจเตรียมเดินทางไปโรงพยาบาลและไปรับยาที่ไปรษณีย์ ซึ่งคงต้องใช้เวลาออกนอกเส้นทาง อยากได้คนนำทางสักคน น้าสังวาลย์จะให้คนงานไปด้วยแต่รุจขอเป็นคนที่กรอกเอกสารรับยาที่ไปรษณีย์ได้ด้วย น้าสังวาลย์นึกได้เลยให้อารยาไปเป็นเพื่อน
ระหว่างทางต่างนั่งนิ่งขึงสายตาเพ่งไปข้างหน้า จนกระทั่งรุจเป็นฝ่ายถามขึ้นว่า เธออยู่ที่นี่คงจะมีความสุข มากกว่าอยู่ที่รุจิโรจน์ อารยานิ่งไม่ตอบ เขาถามว่าไม่ตอบหมายความว่าปฏิเสธหรือยอมรับ เธอจึงบอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้
รุจยังคงถามวนไปเวียนมาแล้วสรุปเอาเองว่าเธอมีความสุขที่อยู่ไร่รวงผึ้ง เท่านั้นไม่พอยังสรุปเอาเองว่า เธอเป็นทุกข์ขณะอยู่ที่รุจิโรจน์โดยเฉพาะนับแต่วันที่ตนกลับมา
ขณะนั้นเองรถผ่านวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง รุจบอกว่าตนอยากจะไหว้พระ เธอจะขัดข้องหรือไม่ ครั้นอารยาท้วงติงว่าเขาบอกว่าจะไปเอายาไม่ใช่หรือ เขาตอบสบายๆว่าเราจะมียาไปให้ภคินีแน่ไม่ต้องห่วง แล้วเขาก็เลี้ยวรถเข้าวัดพากันตรงไปที่โบสถ์ ก้มกราบพระพุทธรูปแล้วเขาหันบอกเธอว่า
“อธิษฐานสิ อารยา ฉันมีเรื่องให้ต้องอธิษฐานมาก ถ้าเธอเสร็จไปคอยฉันที่หน้าโบสถ์”
เสร็จออกมาพบกันที่หน้าโบสถ์ เจอป้าบัวบานที่เข้าไปกราบพระเมื่อครู่นี้ ป้าถามว่าอธิษฐานขอให้มีลูกหรือว่า “ขอฮื้อฮักกัน” ครั้นรุจถามว่าป้าพูดอะไร อารยาตอบแล้วก้มหน้าเดินไปเลยว่า
“ไม่มีอะไรค่ะ”
จนเมื่อมาชมน้ำตกสวยแถวนั้น รุจก็ยังถามอีกว่าป้าคนนั้นพูดว่าอะไร พออารยาบอกว่าไม่สำคัญหรอก รุจก็แปลเสียเองว่า “เผอิญฉันรู้ว่า ฮักแปลว่ารัก” พออารยาถามว่ารู้แล้วถามตนทำไม เขาก็แก้เกี้ยวว่าได้ยินไม่ถนัด แต่พออารยาจะลุกกลับ เขากลับบอกเธอให้นั่งก่อน ตนมีเรื่องจะคุยด้วย เพราะที่นี่เงียบดี
เมื่อรุจไม่ยอมลุก อารยาจึงจำต้องนั่งลงตามเดิม เขาเอ่ยขึ้นว่า
“เธอต้องตัดใจเด็ดขาดจากความผูกพันกับใครๆที่รุจิโรจน์แน่แล้วหรือ”
“คุณรุจเห็นว่ามีทางไหนที่ดีกว่านั้น น้อยเป็นคนที่ทำให้รุจิโรจน์เสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อตัดสินใจจากมาแล้ว ก็ควรมุ่งหน้าไปตามทางของตัวเอง” รุจถามว่าจะอยู่ไร่รวงผึ้งตลอดไปหรือ “ยังไม่ทราบค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กลับรุจิโรจน์”
นอกจากนั้น เธอยังบอกเขาว่าจะไม่ขอรับสิทธิ์ใดๆที่ตนมีจากบ้านรุจิโรจน์ จนรุจแปลกใจพึมพำว่าเธอเปลี่ยนไปมาก เหมือนไม่ใช่อารยาที่ผูกพันกับรุจิโรจน์มานานแสนนาน
สุดท้ายเขาบอกว่าจะกลับรุจิโรจน์วันมะรืน จะให้ทำอย่างไรกับข้าวของของเธอและจะให้บอกพวกแม่ๆว่าอย่างไร เธอตอบทันทีว่าไม่ต้องพูด เพราะจะไม่มีใครคิดถึงตนอีกแล้ว
“ฉันทำไม่ได้ เขารู้ว่าฉันมาพบเธอแล้ว ฉันต้องพูดความจริงว่าเธอไม่ยอมกลับ”
“ตามแต่คุณรุจ ส่วนของของน้อยฝากไว้จนกว่า...จนกว่าถ้าคุณมีใครมาปกครองรุจิโรจน์ ขอให้ฝากไว้กับแม่พิน”
“อย่าพูดอย่างนี้อีก ไม่มีใครจะไปปกครองรุจิโรจน์” รุจเสียงดังอย่างฉุนเฉียว พออารยาติงเบาๆว่าเสาวรสคงไม่พูดอย่างนี้ รุจดุว่า “ไม่ต้องพูดเฉไฉ รู้ไว้ด้วยว่าคนที่ฉันต้องการมีคนเดียวคือเธอ”
อารยาถอยหลังไปอย่างตกใจ มองหน้าเขาตื่นๆ พริบตาเดียวก็หันหลังวิ่งไปอย่างเร็ว รุจวิ่งตามไปติดๆ พอทันก็ขึ้นไปดักหน้าถามว่าจะหนีไปไหน ได้ยินที่ตนพูดชัดแล้วใช่ไหม
อารยาถามว่า หลังจากคืนแห่งความอับอายคืนนั้นแล้ว เขายังกล้าพูดอย่างนี้อีกหรือ รุจตอบไม่ลังเลว่าจะพูดให้เธอฟังอีกกี่ครั้งก็ได้ ย้ำให้เธอเชื่อว่า
“ฉันไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เรื่องข้างหน้าคือฉันจะพาเธอกลับไปรุจิโรจน์ ที่ที่มีคนคอยเธออยู่”
อารยาถามอีกว่าเขาเชื่อตัวเองหรือว่าจะไม่รู้สึกอับอายขายหน้า รุจย้ำชัดว่านั่นมันเรื่องของตน
ความจริงจังและแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยกับเธอ ทำให้อารยาก้มหน้านิ่ง ใจสะท้าน พยายามฝืนลุกขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วประหม่า...
“กลับกันเสียที เราควรเป็นห่วงคุณภคินีดีกว่ามาพูดเรื่องไร้สาระ”
อารยาพูดไม่ทันขาดคำ รุจก็ดึงเธอเข้าไปกอดไว้อย่างแนบแน่น พูดเสียงร้อนรนอยู่ข้างหู
“อารยา...เรื่องไร้สาระหรือ ใครว่า นี่เป็นเรื่องชีวิตเราสองคน เรารักกันไม่ใช่หรืออารยา ทำไมเอาทิฐิมาทำให้เราแยกกัน”
“คุณรุจ...อย่าค่ะ” อารยาพยายามขืนตัวไว้ รุจกลับดึงเธอไว้อย่างแรงถามตาไม่กะพริบ
“เธอรักฉันบ้างไหมอารยา รักฉันเท่ากับที่ฉันรักเธอมานาน ฉันรักเธอมากกว่าใครจะรักได้ ฉันจะพาเธอกลับรุจิโรจน์”
รุจกอดอารยาไว้แน่นเหมือนจะให้สาแก่ใจตัวเองอารยาตัวร้อนผ่าวๆอ่อนเปลี้ยจนไร้เรี่ยวแรง ถ้ารุจไม่กอดเธอไว้ เธอคงทรุดฮวบลงไปกับพื้นแล้ว
“อารยา เธอไม่ใช่ของใคร เธอไม่ใช่ของภาคินัย ไม่ใช่ ของชาลี ไม่ใช่ของใครนอกจากของฉันคนเดียว...ตอบฉันสิว่าเธอก็รักฉัน”
อารยาพยายามถอยออกมา พูดเสียงสะท้าน “คุณรุจไม่รักน้อยจริงปล่อยน้อยกลับไปเถอะ”
“ปล่อยเธอไปหาภาคินัยหรือ เธอไม่คิดถึงฉันเลยหรือ เธอรักเขาใช่ไหม อยู่อย่างนี้...อยู่กับฉันอย่างนี้ เธอยังเรียกร้องจะไปหาเขา” รุจปล่อยร่างในอ้อมแขนไปอย่างแรงจนอารยาแทบล้ม พูดสะบัดใส่ “ตามใจ เชิญเถอะ กลับไปหาเขา เรื่องของเราเป็นอันสิ้นสุดกันเท่านั้น” พูดแล้วเดินผละไปเลย
อารยาร่วงผล็อยลงกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง...
ooooooo
ภคินีตื่นขึ้นมาไม่เห็นอารยา พอรู้จากน้าสังวาลย์ ว่าไปเอายากับรุจเดี๋ยวก็มา ภคินีโกรธจี๊ดขึ้นมาหาว่าอารยาขัดคำสั่งทั้งที่ตนสั่งแล้วว่าไม่ให้ไปไหน ทั้งยังตำหนิน้าสังวาลย์ว่าน้าก็ผิดที่ให้อารยาไป ไม่นึกหรือว่าตนต้องการอารยา
น้าสังวาลย์ถามว่าอยากได้อะไรน้าจะทำให้ เธอบอกว่าอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แล้วถามเยาะๆว่าทำได้ไหม
“คุณน้อง...โธ่ ทำไมต้องแกล้งน้า ขอโทษนะคะขอโทษ น้าผิดเอง อย่าโทษอารยาเลยค่ะ”
“เขาไปกันตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่กลับเสียที” ภคินีบ่นอย่างหยุดหงิด
แต่อารยากับรุจกำลังเดินทางกลับแล้ว อารยาประหม่าจนก้าวขึ้นรถพลาดเซจะล้ม รุจประคองไว้ หน้าต่อหน้าเกือบแนบกัน อารยาก้มหน้างุดรีบขึ้นรถไปนั่งตัวลีบ ต่างแอบชำเลืองกันจนตาต่อตาประสานกันอย่างจัง อารยาหลบตาแว้บ ส่วนรุจเอ่ยเบาๆว่า
“เสาวรสจะไม่มาที่รุจิโรจน์ และฉันจะไม่พบเสาวรสอีก”พออารยามองอย่างแปลกใจว่าเขาบอกตนทำไม รุจรู้ใจพูดต่อ “ฉันขอให้เธอรับรู้ไว้”
ooooooo
เสาวรสอยู่ในภาวะที่ไม่เหลือใครแล้ว เธอปล่อยตัวจนผมเผ้ารุงรังผิดกับแต่ก่อน พระศัลย์ฯพยายามดูแลเอาใจ ให้ความหวังลูกว่าไปง้อหมอรุจมากๆ เดี๋ยวเขาจะได้ใจ ผู้ชายไม่ไร้เท่าใบพุทราหรอก
“แต่เสาวรสต้องได้ทุกอย่างที่เสาวรสต้องการ ถ้าเสาวรสเลือกแล้วว่าเป็นรุจ ก็ต้องเป็นรุจคนเดียวเท่านั้น” เสาวรสยังมุ่งมั่น
วันต่อมาขณะเสาวรสนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เธอรับสายได้ยินเสียงพระศัลย์ฯ ให้ท้ายว่า ถ้าเป็นเพื่อนชวนไปไหนไปเลย ออกไปเที่ยวเสีย
“ฮัลโหล...โอเค...ก็ได้ คุณมารับฉันได้เลย เดี๋ยวนี้” เสาวรสคุยโทรศัพท์ตาวาว พระศัลย์ฯดีใจถามว่าเพื่อนคนไหน เสาวรสไม่ตอบรีบขึ้นไปแต่งตัว
ครู่เดียวเสี่ยไพบูลย์ ผู้อ้วนพี ขาวผ่องแต่งตัวเนี้ยบพราวไปทั้งตัวด้วยนาฬิกา แหวน และสร้อย ก็มาถึง เขายกมือไหว้พระศัลย์ฯพูดเสียงไม่ชัดว่า “มาลับคุณเสาวารดคับ”
พระศัลย์ฯมองเสี่ยอย่างผิดหวังแต่ยังรักษามารยาทบอกว่าเดี๋ยวคงลงมา เสี่ยถามว่าเป็นพ่อรึเปล่า พอรู้ว่าใช่ เสี่ยก็ชมเปาะว่า “ผมรู้จักแกวันก่อน แกสวยคับ คุณพ่อมีลูกสาว สวยดี”
พระศัลย์ฯถามเสี่ยว่าทำอาชีพอะไร แม้จะพูดไม่ชัดแต่เสี่ยก็พูดคล่องปรื๋อ “ทำอิมปอดสินค้าหลายอย่างคับ” แล้วสาธยายว่าผงซักฟอกก็เพิ่งเอาเข้ามา ถามว่ามีใช้ไหม จะเอามาแจก แชมพูสระผมก็มี
พระศัลย์ฯขอบใจแหยงๆ แต่ยังรักษากิริยาขอให้รอไปก่อน พลางเดินเข้าข้างใน เจอเสาวรสแต่งตัวสวยเดินลงมาพอดี จึงเข้าไปมองลูก ถามอย่างท้วงติงด้วยสายตาว่าคนนี้หรือ เสาวรสบอกพ่อว่า ตนไม่ได้ชอบที่ตัวคน แต่ชอบที่กระเป๋าเงินต่างหาก พระศัลย์ฯเลยเงียบไป
ปรากฏว่า เสี่ยพาเสาวรสไปที่ร้านอาหาร ทำเซอร์ไพรส์มอบแหวนเพชรให้ จิ้มๆที่นิ้วนางของเสาวรสบอกว่าใส่นิ้วนี้สวย แต่เสาวรสกลับใส่นิ้วกลางถามหยอกว่าเสี่ยคงซื้อแหวนให้ผู้หญิงบ่อยๆ เสี่ยคุยโขมงโฉงเฉงว่า แต่วงนี้ใหญ่ที่สุดที่เคยซื้อ พอเสาวรสทำหน้าเหยเกถามว่าวงแค่นี้ใหญ่สุดแล้วหรือ
เสี่ยหัวเราะร่าบอกว่าเอาไว้ใส่เล่นๆ ใส่จริงๆ จะเอาให้ใหญ่เท่าลูกข่างก็ยังไหว พอเสาวรสใส่ที่นิ้วกลาง เสี่ยก็จับมือขึ้นจุ๊บเสียงดัง เสาวรสมองลีลาเศรษฐีใหม่ของเสี่ยขำๆ
ooooooo
เมื่อรุจกับอารยากลับมาถึงบ้านไร่รวงผึ้ง ปรากฏว่าลืมไปเอายาที่ไปรษณีย์จริงๆ อารยาตกใจ เสียใจ กลัวภคินีโกรธ เพราะเธอสั่งไว้แล้วว่าอย่าไปไหน ยิ่งถ้าไม่มียามาให้ด้วยก็ไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร
รุจถามว่าเธอกลัวภคินีมากหรือ อารยาบอกว่าไม่ใช่กลัว แต่ไม่อยากให้เธอโกรธ สงสารเธอ เพราะที่เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะเสาวรสของเขานั่นแหละ รุจถามว่าเสาวรสเกี่ยวอะไรด้วย ตัวเธอรู้อะไรแค่ไหน อารยาหันมองเขาอย่างค้นหานิดๆ ก่อนบอกเขาประชดหน่อยๆว่า
“ใครทำอะไรน้อยก็รู้ทุกอย่าง” พูดแล้วเปิดประตูลงรถไปทันที รุจนั่งงงๆ แต่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
อารยาเดินไปเจอน้าสังวาลย์เพิ่งออกจากห้องภคินีพอดี น้าสังวาลย์บอกให้รีบเข้าไป เอายาไปให้เร็วเข้า เพราะภคินีกำลังโมโหอยู่ ทำให้อารยายิ่งลำบากใจจนก้าวขาแทบไม่ออก
พอเข้าไปในห้อง ภคินีต่อว่าอย่างรุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง พูดอย่างไม่พอใจมากว่าเธอไปกับหมอรุจ ถามว่าอยากไปกับหมอมากใช่ไหม อ้างว่าไปเอายาแล้วยาอยู่ไหน
ขณะอารยากำลังจนแต้มอยู่นั่นเอง รุจก็เดินเข้ามาบอกอารยาว่าเธอลืมยาตกอยู่ที่พื้นรถ ส่งถุงยาให้แล้วตำหนิมากมาย ปรามว่าเธอน่าจะระวังมากกว่านี้
“ค่ะ ดิฉันขอโทษ” อารยารับสมอ้างงงๆ เธอถูกภคินีสั่งห้ามเข้าห้องนี้อีก อารยารับคำเบาๆ แล้วก้มหน้าเดินออกไป รุจหมดสนุกกับการแกล้งอารยา บอกภคินีว่า ตนเป็นคนสั่ง ให้อารยาไปเอง
ooooooo
อารยาไปนั่งเศร้า...ในยามนี้เธอคิดถึงบ้านรุจิโรจน์เหลือเกิน คิดถึงชีวิตนับแต่วัยเด็กจนโต ได้อยู่กับแม่ ทำอะไรร่วมกับแม่ แม่สอนให้เป็นคนดี ซื่อสัตย์ กตัญญู ไม่โกหก มีเมตตา มีเหตุผล และมองโลกในแง่ดี ให้อภัยคน ทุกวันนี้เธอพยายามทำตามที่แม่สอน แต่ผลที่ได้รับคือความเจ็บปวด
อารยาสะอื้นแผ่วๆ เมื่อนึกถึงชีวิตในอดีต จนรุจตามมาถามว่าร้องไห้ทำไม อารยาลุกขึ้นจะกลับบ้าน ถูกรุจดึงเข้าไปกอด เธอดิ้นสุดแรงมองไปรอบตัวกลัวใครเห็น จนรุจ บอกว่าเขาดูแล้วไม่มีใครอยู่แถวนี้ เธอก็ยังดิ้น สุดท้ายรุจพูดอย่างมั่นใจว่า
“ใครเห็นจะได้บอกความจริง”
“ไม่ได้...น้อยไม่ยอม...ปล่อยน้อยค่ะ คุณรุจน้อยไหว้ค่ะ”
เมื่อรุจค่อยๆคลายแขนออก เขาให้เธอสัญญาก่อนว่าจะไม่วิ่งหนี แล้วบอกให้นั่งลง เพราะอยากคุยกับเธอยาวๆ
อารยาปฏิเสธว่าตนไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา รุจตัดบทว่างั้นก็ฟัง เธอถามว่าเรื่องเสาวรสหรือ รุจมองหน้าขวับถามเสียงเข้มว่า “ฉันพูดเธอไม่เชื่อหรือ”
“เรื่องอย่างนี้ต้องฟังจากคุณเสาวรสถึงเชื่อ” อารยามองหน้าเขา รุจหัวเราะเบาๆที่ถูกเธอพูดประชด บอกว่า เจอเสาวรสจะบอกว่าเธอต้องการได้ยินจากปากเสาวรสเองอารยา เลยเงียบ
ขณะเดินกลับบ้านไร่สวนผึ้งในยามใกล้คํ่านั้น รุจบอกว่าตนจะกลับพรุ่งนี้ ขอให้เธออยู่ดูแลภคินีตามสัญญา ขอให้เธอเห็นแก่คนเจ็บ ถ้ามีอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจขอให้อดทน ถึงเวลาตนจะมารับกลับรุจิโรจน์
“น้อยบอกแล้วว่าไม่กลับ” อารยาสวนไปทันที ถูกรุจดุว่าจะดื้อไปถึงไหน ก็พอดีน้าสังวาลย์เดินเร็วๆเข้ามาบอกว่าภคินีเป็นอะไรไม่รู้ให้ไปดูหน่อย รุจวิ่งนำไปทันที อารยารีบตามแต่แล้วก็ชะงัก สีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา
ปรากฏว่าภคินีร้องไห้ไม่ยอมให้รุจกลับ แม้เขาจะชี้แจงว่าลางานมาได้แค่นี้หมดเวลาก็ต้องกลับ ภคินีงอแงว่าให้ลาต่ออีก รุจไม่ตอบ แต่ลงมือทำกายภาพบำบัดให้ ยกเท้าเธอขึ้นๆลงๆจนเธอนิ่งไป
รุจบอกให้เธอต้องหมั่นทำอย่างนี้เพื่อจะได้แข็งแรง พูดขู่ๆว่าถ้าไม่ออกกำลังกาย รับรองว่าไม่หาย ภคินีถามว่าขู่หรือ รุจตอบยิ้มๆว่า
“ขู่ด้วยความจริง ภคินีต้องแข็งแรงสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ลดไม่ได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว”
ระหว่างที่เสาวรสออกไปกับเสี่ยไพบูลย์นั้น มีหญิงหน้าซิ้มคนหนึ่งมาหาเธอเจอพระศัลย์ฯ จึงบอกว่าเอาเงินมาใช้หนี้ เคยยืมไปตั้งแต่ตอนลำบาก แต่ตอนนี้สบายมากแล้ว รวยมาก เลยเอาเงินมาใช้หนี้
พระศัลย์ฯมองอย่างไม่อยากเชื่อ บอกว่าเสาวรสออกไปข้างนอกกับเพื่อน ซิ้มคนนั้นเบิ่งตาถามว่าไปกับไพบูลย์ใช่ไหม แล้วแนะนำตัวเองว่าเป็นเมียของไพบูลย์
พอดีเสี่ยไพบูลย์กลับมากับเสาวรส เมียเสี่ยตรงเข้าชี้หน้าด่า “ไอ้ผัวชีกอ หน็อย บอกจะไปประชุม นึกแล้วเชียว ทำท่าลับๆล่อๆ”
ความเลยแตก เสี่ยถูกเมียด่าจนหงอ เสาวรสก็ถูกชี้หน้าด่าว่ามาแย่งผัวตน เสี่ยกลัวมีเรื่อง ชวนเมียกลับ
เสาวรสถูกด่าว่าแย่งผัวก็ด่ากลับไปอย่างเจ็บแสบ ทั้งสองด่ากันลั่นบ้าน สุดท้ายเสาวรสขู่ว่าถ้าไม่ออกจากบ้านตน จะโทรศัพท์แจ้งตำรวจฐานบุกรุก เมียเสี่ยลากผัวออกไปทันที เสี่ยนึกได้เสียดายแหวน หันมาทวง ทีแรกเสาวรสไม่ยอมคืน แต่พอถูกทวงถูกด่ามากเข้าก็ขว้างแหวนคืนให้ แต่ขว้างใส่ในพุ่มไม้ เสี่ยกับเมียมองหน้ากันไม่กล้าเข้าไปคุ้ยหา พากันเดินคอตกกลับไป
พอไล่เสี่ยกับเมียไปแล้ว เสาวรสหดหู่ใจมาก ถามพ่อว่าทำไมเราถึงไม่มีเงิน พระศัลย์ฯอ้างว่าเงินทองทั้งหมดก็ใช้ไปในการส่งเสียลูกเรียนที่เมืองนอก และลูกก็ใช้แต่ของแพงๆ เงินจึงไม่เหลือเก็บ
พ่อลูกโต้เถียงกัน แล้วเสาวรสก็สั่งให้พ่อไปหาแหวนในพุ่มไม้ พระศัลย์ฯเดินไปอย่างว่าง่าย
ขณะพระศัลย์ฯกำลังคุ้ยหาแหวนในพุ่มไม้นั่นเอง มีเสียงอะไรหล่นตุ้บลงข้างๆ พอไปหยิบดู เป็นกระดาษห่อก้อนหินขว้างเข้ามา ในกระดาษเขียนข้อความว่าให้ระวังตัว จะเอาให้ตาย ทำเอาสองพ่อลูกหน้าซีด
เช้าวันรุ่งขึ้น เสาวรสจัดกระเป๋าเตรียมหนีไปหาภาคินัยเพราะขืนอยู่มีหวังตายแน่ๆ เธอบอกพ่อว่าคนเคยรักกันคงไม่ยากที่จะทำให้เขากลับมารักอีก พระศัลย์ฯจึงออกไปเรียกแท็กซี่ให้พระศัลย์ฯเองก็มีข่าวดีที่โรงพยาบาลทางเชียงใหม่ให้ไปเยี่ยมชมกิจการพอดี
พระศัลย์ฯอวยพรให้ลูกโชคดี เสาวรสเองก็คาดหวังว่าเมื่อไปอยู่กับภาคินัยในสถานที่สวยงาม บรรยากาศดีๆ คงไม่พลาดแน่ แต่พอพระศัลย์ฯถามว่า เขามีน้องสาวที่ไม่ค่อยยอมไม่ใช่หรือ เธอตอบอย่างมั่นใจ สะใจว่า
“น้องเป็นง่อยแล้วค่ะ ฮ่ะๆๆ จะมีปัญญาอะไร”
ooooooo
รุจเข้าไปตรวจภคินีอีกครั้งก่อนกลับพระนคร โดยมีอารยาไปคอยดูแลด้วย แต่พอออกมา อารยาเห็นภาคินัยขี่จักรยานมาล้มตรงหน้าบ้าน ตัวเขาหน้าซีดตัวสั่นบอกว่าไม่สบาย กำลังคิดว่าจะพาตัวเองขึ้นไปที่ห้องนอนได้ยังไง อารยาจึงอาสาพาเขาขึ้นไป เธอ ประคองเขาจนตัวเองไหล่เอียงไปข้างหนึ่ง แต่ก็พาไปถึงห้องนอนจนได้
พอพาภาคินัยเข้าห้อง ประตูก็ปิดลง รุจยืนมองตะลึงด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ภาคินัยบอกอารยาให้หยิบยาให้ บอกเธอว่าเป็นโรคเก่า อดนอนแล้วกินเหล้าเลยเป็นอย่างนี้ หลังจากกินยาแล้วเขา ก็หลับผล็อยไป
อารยากลับห้องอาบนํ้าเปลี่ยนชุดนอนแล้วลงมาชงเครื่องดื่มที่ห้องข้างล่างอย่างใจลอย จู่ๆรุจก็มาพูดจากข้างหลังว่าจะกลับพรุ่งนี้ ไม่ทันที่อารยาจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงโครมครามบนห้องภาคินัย เธอรีบวิ่งขึ้นไปดู รุจวิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
ปรากฏว่าภาคินัยดิ้นกระสับกระส่ายจนตกเตียง เมื่อรุจปราดเข้าไปช่วยจับตัวภาคินัยขึ้นเตียง ก็พอดีน้าสังวาลย์วิ่งเข้ามาถามว่าภาคินัยเป็นอะไร รุจกำลังจับชีพจรตรวจอาการของเขาอยู่ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก พอดีภาคินัยร้องขอยาอีก รุจจึงขอดูยา เขาบอกว่าน่าจะเป็นมาลาเรียเรื้อรัง
เมื่อจัดการให้ยาภาคินัยจนเขาหลับไปแล้ว ทั้งสามพากันกลับออกจากห้อง เมื่อน้าสังวาลย์แยกไปแล้ว รุจพูดประชดอารยาที่เดินตามหลังมาว่า
“กลัวภาคินัยเป็นอะไรมากนักหรือ ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไม่ตาย”
อารยารีบเดินหนีลงบันไดไปอย่างไม่อยากมีเรื่องด้วย แต่รุจก็ตามไปอีกขอให้ชงกาแฟให้ดื่ม เธอไม่ยอมชงอ้างว่าเพราะเขาเคยชงเอง รุจมองเธอนิ่งสายตาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด อารยาบอกเขาว่า
“น้อยห่วงคุณภาคินัยต่างหาก ถ้าคุณภาคินัยเป็นอะไรไป คุณภคินีจะเสียใจและจะว้าเหว่มาก หรือว่าคุณรุจคิดว่าจะแทนได้”
รุจฉุนขาดพรวดเข้าจับตัวเธอเขย่าอย่างแรง อารยาผลักเขาจนเซแล้ววิ่งขึ้นบันได รุจปราดไปดักหน้า เธอจึงหันหลังวิ่งออกประตูไป
ooooooo
อารยาวิ่งไปในสวน ถูกรุจวิ่งตามมาคว้าแขนไว้ พูดเกือบเป็นตะคอกว่า
“อย่าพูดอะไรอย่างนั้นกับฉันอีก” อารยาย้อนถามว่าทำไมจะพูดไม่ได้ “เพราะมันยั่วยุ รู้ไหมว่ามันยั่วยุอารมณ์ ฉัน เธอคิดยังไงถึงมาพูดกับฉันเรื่องภคินี”
อารยาเถียงว่ามันเป็นเรื่องจริง เขาจึงย้ำยืนยันกับเธออย่างดุดันว่าเธอก็รู้ว่าตนรักตนมาตามให้กลับรุจิโรจน์
“คุณรุจไม่ใช่ผู้ปกครองอีกแล้ว บังคับกันไม่ได้”
“ก็คอยดู เธอจะต้องกลับรุจิโรจน์พร้อมฉันในวันหนึ่ง”
อารยาพูดอย่างถือดีว่าไม่มีวันที่ตนจะกลับไป
ให้เขาชี้หน้าด่าแม่ตนอีกเป็นอันขาด พูดแล้วร้องไห้อย่างคับแค้นใจ จนรุจรวบตัวเข้าไปกอดพร่ำบอกว่า
“อารยา ฉันรักเธอ กลับรุจิโรจน์ของเราเถิด อารยา ...ได้ยินไหม”
“น้อยกลัวคุณเสาวรส ไม่อยากพบ ไม่อยากเจออีก” อารยาสะบัดตัวออกแล้ววิ่งเข้าบ้านทันทีอย่างไม่ต้องการฟังรุจชี้แจงเรื่องเสาวรสอีก
ooooooo
เช้าวันนี้ อันเป็นวันที่รุจจะต้องเดินทางกลับพระนคร ระหว่างทานอาหารเช้าที่โต๊ะ หลังจากดาริกา กับกุมารีรบเร้าให้น้าสังวาลย์พาไปเยี่ยมภาคินัยแล้ว รุจนั่งอยู่กับอารยา เขาบรรยายถึงบรรยากาศยามเช้าที่บ้านรุจิโรจน์ บรรยายถึงพวกแม่ๆทั้งสามว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ จนถึงแม่พินเขาบอกว่าคงกำลังร้อยอุบะวิมานแท่นอยู่
แล้วรุจก็โยงใยมาถึงเรื่องของอารยาลอยๆว่า
“วิมานแท่น มันก็เหมือนวิมาน เหมือนรุจิโรจน์ที่ เคยเป็นวิมานของใครบางคน รุจิโรจน์เคยสงบสุขร่มเย็นมานานเท่าชีวิตของใครคนนั้น ทำไมเขาถึงทิ้งรุจิโรจน์ไปได้ลงคอ”
อารยารู้ว่าถูกพูดกระทบกระเทียบลุกขึ้นจะเดินไป รุจลุกพรวดทันทีพูดเสียงดัง
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
รุจเข้าไปลาและให้กำลังใจภคินีอีกครั้ง จากนั้นไปลาภาคินัย แม้ตัวเองจะยังป่วยอยู่ภาคินัยก็ยังถามถึงอาการของน้องอย่างเป็นห่วงว่า “หมอว่ายังไงครับกับเคสภคินี”
พอรุจบอกว่าไม่ต้องห่วงตนรับรองสำหรับภคินี ทำให้ภาคินัยถอนใจโล่งอก อวยพรให้หมอโชคดีบอกว่าอารยาคอยส่งอยู่ข้างล่าง แต่พอเขาเดินลงมาข้างล่าง เขาเดินผ่านอารยาไปขึ้นรถราวกับไม่มีเธออยู่ตรงนั้น จนอารยาต้องเดินตามไปยกมือไหว้ลา เธอยืนมองจนรถที่ไป ส่งรุจแล่นลับตาไปด้วยความใจหาย...
ooooooo










