ตอนที่ 10
หลังจากโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไปร้องไห้กับพระศัลย์ที่บ้านวันนั้นแล้ว สองพ่อลูกคบคิดวางแผนใหม่ วันนี้พากันมาที่บ้านรุจิโรจน์ขับรถเข้ามาราวกับพายุบุแคม สองพ่อลูกถูกสามแม่และท่านขุนฯขวางกวนประสาทตามเคย แม้จะถูกพระศัลย์กับเสาวรสพูดถากถางเหยียดหยาม แต่สามแม่กับท่านขุนฯก็ไม่สนใจตอบโต้กลับไปอย่างเผ็ดร้อน
เสาวรสถามหาอารยา ไม่มีใครบอก ทั้งยังดาหน้ากันปะทะคารมกับพระศัลย์ที่มาวางเขื่องอย่างไม่หวั่นเกรง จนพระศัลย์ออกปากว่า
“ปากกล้าดีจริงๆ คุยด้วยแล้วไม่เหงา เห็นทีต้องมาเยี่ยมบ่อยๆ”
ส่วนเสาวรส พอเห็นรุจออกมาก็ปรี่เข้าไปฉอเลาะว่าวันนี้จะมาทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนเขา
เมื่อพากันไปนั่งที่ห้องแปดเหลี่ยม เสาวรสเดินกรีดกรายสำรวจไปรอบๆ ในขณะที่รุจนั่งมองนิ่งๆแล้วเธอก็พูดเรื่องแต่งงานขึ้นมาอีกว่า
“ถ้าอารยาเขาจะแต่งงานกับเพื่อนชายคนสนิทของเขาก่อนเรา รุจจะอนุญาตหรือเปล่า...” รุจไม่ตอบแต่ลุกขึ้นจะเดินออกไป เธอเสียงดังกว่าเก่า “รุจคะ...เสาวรสกำลังรอคำตอบ”
รุจหันมาถามหน้านิ่งๆว่าเรื่องอะไร เธอบอกว่าเรื่องแต่งงานของเรา รุจบอกทันทีว่า “ผมไม่มีคำตอบ” แล้วเดินออกไปเลย
เสาวรสจิกตาเม้มปากหันไปคว้าหมอนอิงขว้างระบายอารมณ์ พูดอย่างมุ่งมั่นว่า
“คุณหนีฉันทุกครั้งไม่ได้หรอกรุจ...”
ส่วนพระศัลย์ถือโอกาสเดินสำรวจรอบๆบ้านรุจิโรจน์อย่างประเมินราคา แม่พินปรารภกับแม่พร้อมและท่านขุนฯว่า
“มาถึงก็ถามหาคุณน้อย สองพ่อลูกมาแอบสอดแนมอะไรรึเปล่า”
“หวังว่าคุณหนูคงไม่บอกแม่ปากแดงไปนะว่าคุณน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” แม่พร้อมพึมพำ
ooooooo
อารยารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยมีสมรเพื่อนของฉลวยดูแลอย่างใส่ใจ เมื่ออารยารู้สึกตัว สมรบอกว่าโชคดีที่เธอมาเป็นลมที่หน้าโรงพยาบาล อารยาจึงนึกได้ว่ามีพยาบาลคนหนึ่งมาถามตอนที่ตนกำลังจะเป็นลมอยู่แล้ว
“อ๋อ...พี่ฉลวยค่ะ เธอเป็นพยาบาลอยู่ที่อื่น มาเยี่ยมฉันอีก 2-3 วัน เธอก็จะมาเยี่ยมคุณอีก”
“ค่ะ...เอ้อ...คุณสมรคะ ฉันขอรบกวนหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากเขียนจดหมายถึงเพื่อนค่ะ” อารยาเอ่ยยิ้มอ่อนระโหย สมรยินดี รีบไปเอากระดาษกับปากกามาให้
ooooooo
นับแต่วันที่อารยาหายไป ชาลีก็ไม่เป็นอันกินอันนอน จนวัฒนาเป็นห่วงบ่นกับแม่ว่าแบบนี้อีกหน่อยก็คงใกล้บ้า คุณนายเลยคิดจะส่งไปอยู่ที่ไร่รวงผึ้งซึ่งเป็นญาติกัน ให้ภาคินัยใช้งาน สติจะได้กลับคืนมา
ขณะนั้นเองบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมาย นอกจาก หนังสือสตรีสาร 2 เล่มแล้วก็มีจดหมายอีกหนึ่งฉบับ เป็นจดหมายของภาคินัย แจ้งเรื่องอาการป่วยเป็นอัมพาตของภคินี ปรึกษาว่าจะพาน้องสาวมารักษาที่พระนครให้หมอที่ชำนาญการทางนี้ตรวจดู วัฒนาเสริมว่าภาคินัยอยากให้หาคนไปพยาบาล ภคินีด้วย
“คนทางโน้นไม่มีเหรอ” ชาลีถาม
“เขาบอกว่าต้องหาคนที่อดทน เพราะว่าภคินีอารมณ์ แรงมาก อาละวาดขว้างปาข้าวของ คือส่วนบนเนี่ยยังใช้ได้ ภคินีเลยปล่อยอารมณ์เต็มที่” วัฒนาชี้แจง
เพราะว่า ภคินีจะอาละวาดอารมณ์รุนแรง แต่ภาคินัย จึงบอกดาริกากับกุมารีน้องสาวฝาแฝดว่า
“ทั้งสองคนจำคำที่พี่ชายพูดนะคะ พี่ภคินีถูกรถชน เพราะจะไปบอกให้พี่ชายขับรถดีๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชาย พี่ภคินี เขาก็จะไม่เป็นอย่างนี้” หนูน้อยทั้งสองฟังอย่างตั้งใจ
“ทีนี้ถึงตอนสำคัญ พี่ภคินีเป็นอัมพาต คือตั้งแต่เอวลงไป คนเป็นโรคนี้ใหม่ๆ ทุกคนจะอารมณ์เสียง่าย เพราะต้องนอนนิ่งๆ
บนเตียงทั้งวัน ไปไหนไม่ได้ต้องใช้เวลาปรับตัว หนูสองคนฟังพี่ชายรู้เรื่องไหมคะ”
ดาริกากับกุมารีพยักหน้า แววตาเศร้าสงสารภคินี ส่วน ภคินีหลังจากอาละวาดแล้ว เธอก็รู้สึกตัวขอโทษน้องทั้งสอง กอดน้องร้องไห้ถามว่า “เมื่อไหร่พี่จะหาย...”
ooooooo
ชาลีนิ่งอั้นกดดันอยู่นานจนทนไม่ได้ชวนวัฒนา ไปบ้านรุจิโรจน์กัน เผื่ออารยากลับมาแล้ว วัฒนาบอกว่า
ถ้ากลับมาเธอจะต้องมาที่นี่ก่อน ชาลีร้อนใจเมื่อไม่มี ใครไปด้วยก็กระโดดลงเรือไปคนเดียว
ไปถึงเจอแม่พร้อมพูดอย่างร้อนใจว่า ทุกคนที่นี่ก็จะเป็นบ้ากันหมดแล้ว ชาลีถามประชดว่ายกเว้นอยู่คนหนึ่งใช่ไหม แม่พร้อมเดาได้บอกว่า รุจยิ่งแล้วไปใหญ่ตอนนี้หน้านิ่งเป็นก้อนหินไปแล้ว
ชาลีถามว่าแล้วไม่มีใครไปตามอารยาเลยหรือ แม่ พร้อมถามว่าจะไปตามที่ไหน เพราะอารยาไม่มีญาติ ไม่มี เพื่อนฝูง ไม่เคยไปไหนเลย
“ยังไงก็ต้องออกไปตาม” ชาลีตะแบงฉุนเฉียว
“ที่ไหน” เสียงรุจถามขึ้น ชาลีกับแม่พร้อมหันไปเห็นรุจยืนอยู่ตรงประตู ชาลีบอกว่าตนก็ไม่ทราบ แต่ทำไมทุกคนอยู่กันสบายๆเฉยๆ ไม่ทุกข์ร้อน รุจจ้องหน้าพูดเสียงเย็นเยียบว่า “เราอยู่เฉยๆ แต่ไม่สบาย ทุกคนร้อนใจเหมือนกัน” เมื่อ ชาลียังตีโพยตีพายอย่างไร้เหตุผล รุจเตือนสติว่า
“ชาลี อารยาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาตัดสินใจออกจากบ้าน แสดงว่าเขามีที่ไป เพียงแต่เราไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ความผิดของ เราไม่ได้อยู่ที่เราไม่ไปตาม ความผิดของเราคือเราไม่รู้เรื่อง อะไรของเขาเลย ไม่ว่าเหตุผลที่เขาหนีไป หรือสถานที่ที่เขารู้จัก ที่สามารถจะไปได้”
เมื่อเห็นชาลีสงบลง รุจพูดต่อ “ฉันเชื่อว่า เขาคงไม่ ใจร้ายที่จะหนีหายไป และปล่อยให้เรารอคอยทั้งชาติหรอก”
เมื่อชาลีกลับถึงบ้านพนาเวส เขาระบายอารมณ์บ่นอย่างไม่พอใจกับท่าทีของรุจ บอกแม่กับพี่สาวว่า ตนเกลียดรุจที่สุด เขาใจร้าย เขาดุ เขาแกล้งอารยาต่างๆนานา เห็นคนไม่ใช่คน
อารมณ์ของชาลีรุนแรงจนวัฒนากับแม่เป็นห่วง กลัวว่า ปีสุดท้ายแล้วถ้าทำไม่ดีจะถูกภาคทัณฑ์ เมื่อเห็นชาลีพรวดพราดลงเรือพายจ้ำไป วัฒนาปลอบใจแม่ว่าชาลีไม่บุ่มบ่ามหรอก ส่วนคุณนายก็ตะโกนเตือนสติลูกชายไปว่า “ชาลีจะไปไหน ต้องกลับโรงเรียนนะ”
ooooooo
ที่โรงพยาบาล...
อารยาออกมาส่งฉลวยที่หน้าห้องเธอไหว้ขอบคุณฉลวยด้วยที่ช่วยเหลือแล้วยังมาเยี่ยมอีกถึงสองครั้ง ฉลวยบอกว่าตนทำงานที่ตึกศัลย์โรงพยาบาลกลาง ถ้าไปให้ถามหาตน พูดติดตลกนิดๆว่า
“ถ้าถามหาพี่ เธออาจพบพยาบาลหัวหน้าตึกหน้าบึ้ง ดุจัด แต่ถ้าโชคดี เจอหมอรุจ เธอเป็นหมอใจดี เราจะคุยกันได้นานเท่าไหร่ก็ได้ถ้าไม่มีเคสผ่าตัด”
อารยานิ่งอึ้งไปทันที เมื่อฉลวยจะกลับเธอไหว้ขอบคุณอีกครั้ง แต่พอฉลวยเดินพ้นไป ชาลีก็เดินเข้ามาอย่างเร็ว ร้องทัก อย่างดีใจสุดขีด ปราดเข้ารวบมือสองข้างยกขึ้นจูบ
ฉลวยได้ยินเสียงชาลี หันไปมอง เห็นชาลีจูบมืออารยาพอดี เมื่อไปเจอสมร เธอบอกสมรว่าอารยามีคนมาเยี่ยมแล้ว ท่าทางเหมือนเป็นคู่รักกัน สมรทำหน้าฉงนถามว่าแล้วทำไมถึงเพิ่งมา เจ็บอยู่ตั้งหลายวันแล้ว
“ก็คงต้องมีเหตุผล เขาแต่งเครื่องแบบนักเรียนนายเรือ อาจจะเพิ่งได้ออกจากโรงเรียน”
เมื่อพากันเข้าไปนั่งคุยในห้องคนไข้ อารยาขอร้องชาลี ต้องช่วยตน ให้หาที่อยู่ให้ด้วย ตนจะทำงานเป็นคนใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะให้กลับไปบ้านรุจิโรจน์นั้น ไม่มีวัน ตนต้องไปจากรุจให้ได้
“ทำไม เขาทำอะไรคุณน้อย” ชาลีตวัดเสียงถาม เธอบอกว่าทางร่างกายไม่มี แต่เขารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตตนและของแม่ ทำให้ตนอยู่กับเขาต่อไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าต้องกลับไปที่นั่น ตนยอมตายดีกว่า
ชาลีคิดหนัก แต่แล้วก็นึกออก ดีใจจนลิงโลด บอกว่านึกได้แล้วแต่ที่นั่นไกลมากอยู่ถึงเมืองเหนือเลย ถามอารยาว่าไปไหวไหม
“ไหว ชาลีคนดี ชาลีเป็นเทวดาสำหรับน้อยจริงๆ” อารยาดีใจมาก ยิ้มสดใสอย่างมีความหวัง
ooooooo
ฉลวยกลับไปทำงานเมื่อครบวันลา รุจถามว่าคนไข้พิเศษของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ฉลวยนึกได้ร้องอ๋อ
อารยาน่ะหรือ ทำให้รุจสะดุ้งใจ พอฉลวยตั้งท่าจะเล่าต่อ เขาก็หายไปแล้ว
ส่วนชาลี เขาจำต้องรีบกลับโรงเรียน เพราะรุ่งขึ้นต้องฝึกภาคสนามซึ่งขาดไม่ได้เลย แต่เขาก็บอกที่อยู่ที่เชียงใหม่ให้อารยา เล่าถึงงานที่จะต้องไปดูแลคนเป็นอัมพาตที่นั่น
ย้ำว่าที่นั่นคือไร่รวงผึ้ง
ดังนั้น เมื่ออารยาเก็บของเสร็จ สมรเป็นธุระไปเรียกรถสามล้อให้ เธอหิ้วกระเป๋าไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เหลือบ เห็นรุจกำลังเดินเร่งฝีเท้ามาพอดี เธอบอกสามล้อให้รีบพาไปส่งหัวลำโพงเร็วๆ
รุจมาเจอสมร เขาถามหาอารยา เธอบอกว่า “คุณอารยาเพิ่งออกไปเดี๋ยวนี้เองค่ะ”
ooooooo
ระหว่างที่อารยานั่งรถไฟไปตามคำบอกเล่าของชาลีนั้น เจอกับภาคินัยในขบวนเดียวกัน เธอนั่งอยู่กับหญิงอ้วนที่เอาแต่กินและหลับ ภาคินัยเห็นเธอนั่งไม่สบายจึงชวนไปนั่งยังที่นั่งที่ยังว่างอยู่ แต่เธอนั่งอยู่ครู่เดียวก็กลับมานั่งที่เดิมเพราะมีชายขี้เมามานั่งแทรก
ภคินียังอยู่ในอารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดอาละวาด จนแม้แต่น้าสังวาลย์ก็ยังเข้าหน้าไม่ติด เธอไม่ยอมแตะต้องอาหาร เฝ้าถามแต่ว่าเมื่อไรพี่ชายจะกลับ
จนวันนี้เมื่อภาคินัยมาถึง เธอดีใจมากกอดพี่ชายที่โผเข้าหาบอกว่าคอยพี่ชายอยู่ทุกวัน
“พี่ชายมาแล้วไงจ๊ะ มาแล้ว...มาแล้ว นิ่งซะ อย่าร้องไห้” ภาคินัยกอดน้องโยกไปมาอย่างปลอบโยน ภคินีร้องไห้คร่ำครวญว่าตนไม่อยากอยู่แล้ว อยากตาย “ถ้าน้องตาย...พี่ก็อยู่ไม่ได้” ภาคินัยบอกน้อง จ้องตากันนิ่งอึ้งไปทั้งคู่ ภาคินัยย้ำกับน้องว่า “พี่จะทำทุกอย่างให้น้องหาย ให้เดินได้ แม้ว่าจะแลกกับทุกอย่างที่พี่มี”
เมื่อออกมาเจอกับน้าสังวาลย์ที่หน้าเรือนพัก น้าสังวาลย์ถามว่าไปพระนครได้เรื่องอะไรไหม ไปพบหมอรึเปล่า
“พบครับ มีวิธีเดียวคือต้องพาน้องไปหาเขาที่พระนคร ไม่มีใครว่างพอจะมาถึงนี่เพื่อตรวจคนไข้เพียงคนเดียว”
“อ้อ...เกือบลืม ชาลีโทรเลขมาว่าเขาส่งคนดูแลคุณน้องมาแล้ว มารถไฟขบวนเดียวกับภาคินัยนั่นแหละ”
น้าสังวาลย์พูดไม่ทันขาดคำ สาวใช้ก็เข้ามาบอกว่าผู้หญิงที่เดินตามมานี้มาหาภาคินัย น้าสังวาลย์กับภาคินัยมองไปแล้วอึ้ง เพราะเธอเป็นหญิงร่างใหญ่โตมาก จนน้าสังวาลย์ บอกว่าใหญ่โตจนน่ากลัว
ภาคินัยขอให้น้าสังวาลย์เป็นคนจัดการ ถ้าไม่เหมาะสมตนยินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้ พลางหันมองหญิงคนนั้นอย่างหนักใจ แต่เมื่อพบกันอีกครั้งเขารู้ว่าน้าสังวาลย์รับไว้แล้วเพราะเห็นว่าเหมาะสมดี
“พยาบาลคนนี้ดูไม่เจริญตา ผมว่าไม่เหมาะที่จะมาอยู่ใกล้ชิดกับน้อง ยิ่งภคินีอารมณ์แปรปรวนง่ายอาละวาดกับเขา ถ้าเขาเกิดโมโหเก็บอารมณ์ไม่ได้ น้องคงจะเจ็บตัวแน่ๆ แกฟาดทีเดียวผมว่าน้องสลบ”
ภาคินัยอยากจะปฏิเสธ แต่น้าสังวาลย์บอกว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นแล้วชวนไปดูเพราะเวลานี้หญิงคนนั้นอยู่ที่ห้องคุณน้องแล้ว
ภาคินัยขัดใจมากอยากจะให้เลิกจ้าง ทั้งยังตำหนิ
ชาลีว่าหลับหูหลับตาส่งคนหน้าตาแบบนี้มาได้ไง
ขณะกำลังยืนทำใจอยู่หน้าห้องภคินีนั่นเอง อารยาเดินออกมาพอดี ภาคินัยมองตะลึงเพราะจำได้ว่าเจอกันบนรถไฟ อารยายกมือไหว้แนะนำตัวเองว่า
“อารยาค่ะ ที่ชาลีส่งมาให้”
“อารยา...” ชาลีพึมพำมองตะลึงจนลืมรับไหว้
ooooooo
ส่วนที่บ้านรุจิโรจน์ ทุกคนอยู่ในภาวะร้อนใจ ตึงเครียด แม่ๆทั้งสามพยายามลุ้นให้รุจออกตามหาอารยา รุจตัดสินใจจะให้ท่านขุนฯเป็นผู้นำพาแม่ๆทั้งสามออกตามหากันเอง พวกแม่ๆรับไม่ได้สุมหัวบ่นกันว่าคนหายไปทั้งคนยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
พวกแม่ๆต่างรำพึงรำพันถึงความดีความรับผิดชอบต่อบ้านรุจิโรจน์ที่อารยาทำตามคำสั่งเสียของอัมพาตลอดมา แต่แม่พร้อมก็เห็นใจอารยา บ่นกับอีกสองแม่ว่าวันไหนเสาวรสเข้ามาอยู่บ้านนี้อารยาต้องลำบากแน่
“เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย คุณเสาวรสมองเธอผิดไปมาก ถ้าดีกับเธอบ้างไม่ต้องมากหรอก เธอจะอยู่ดูแลรุจิโรจน์ให้ คุณเสาวรสจะสบาย รุจิโรจน์ก็จะไม่เป็นภาระ” แม่พินบ่น
“คุณน้อยเธอตั้งใจจะดูแลรุจิโรจน์ ดูแลคุณหนู ครอบครัวของคุณหนูไปจนกว่าเธอจะดูแลไม่ไหว” แม่พร้อมเสริม ส่วนแม่ละม่อมสรุปว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอัมพาสั่งคุณน้อยไว้
รุจมายืนฟังอยู่ เขาขัดขึ้นทันทีว่า “พอได้แล้วฉันไม่ต้องการได้ยินชื่ออัมพา ฉันขอให้หยุด”
แม่ทั้งสามตะลึงอ้าปากค้าง รุจพยายามสงบอารมณ์บอกว่าตนไม่รู้จะไปตามหาอารยาที่ไหนจริงๆ เย็นนี้จะพูดกับท่านขุนฯให้ช่วยออกตามหา แล้วพูดอย่างน้อยใจว่า
“ฉันรู้ว่าแม่ทั้งสามคนรู้จักอารยาเป็นอย่างดี ฉันขอให้แม่คิดอีกนิดว่าแม่รู้จักฉันเป็นอย่างดีเหมือนกัน” พูดแล้วผละไปเลย พวกแม่ๆต่างครางออกมาเบาๆ “คุณหนู...”
ooooooo
ยายจ้วนกลับมาที่หน้าบ้านรุจิโรจน์อีกครั้ง แม้จะถูกสามแม่เย้ยหยันกีดกัน แกก็ยอมทนแต่ไม่ยอมถอย ด่าว่าตอบโต้สามแม่อยู่จนรุจออกมาเจอ ยายจ้วนถลาเข้าไปบอกรุจว่าตนจำไอ้หน้าบากนั่นได้ รุจสนใจขึ้นมาทันทีเรียกยายจ้วนขึ้นรถ พาไปที่ร้านอาหาร โดยนัดขุนประจญคดีไปร่วมคุยด้วย
พอเจอหน้ากันทั้งคู่ก็มีปากเสียงกัน เมื่อขุนประจญคดี บอกรุจว่ายายจ้วนชอบเล่นไพ่ ขี้ขโมย ขี้โวยปากเสีย จนตนขอให้อัมพาไล่ออก เลยถูกยายจ้วนลุกขึ้นถลกโจงกระเบนด่าลั่น
“ยายจ้วน เล่าเรื่องที่แกพบเห็นคุณอัมพากับผู้ชายหน้าบากคนนั้นให้ท่านขุนฯฟัง” รุจตัดบท ยายจ้วนจึงลอยหน้าเล่าอย่างมันปากว่า
เคยเห็นอัมพาส่งหีบเครื่องประดับให้นายชิดบอกว่าตนสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วและอย่ามาให้พบหน้าอีกด่าว่า “ตัวแกมันไม่ใช่คน” ยายจ้วนได้ยินชัดสองหูว่านายชิดตะคอกขู่ว่า
“แต่ฉันก็เป็นผัวเธอ ฮ่ะๆ ไม่ใช่คนรึ ทำไมเป็นผัวเธอได้ล่ะ”
พอดีตอนนั้นอารยากับชาลีวิ่งไล่กันมาเจอ อัมพาจึงพาเด็กทั้งสองเดินออกไป
ขุนประจญคดีบอกว่าไม่เชื่อที่ยายจ้วนเล่า รุจขัดขึ้นว่าตนเชื่อเพราะมีหลักฐาน และเคยเห็นอย่างที่ยายจ้วนเห็นมาแล้ว จากนั้นพาท่านขุนฯกลับมาเอากล่องเครื่องประดับเปล่าทั้งหมดให้ดูเป็นหลักฐาน
ท่านขุนฯตกใจนึกไม่ถึง บอกรุจว่าต้องให้แม่ๆทั้งสาม
รู้เรื่องนี้ด้วย พอแม่ๆมารับรู้ความจริง ต่างตกใจ ผิดหวัง เสียใจ แต่พอรุจจะเอากล่องเปล่าเหล่านั้นทิ้ง แม่ละม่อมขอร้องว่า
“เก็บไว้เถอะค่ะคุณหนู เผื่อว่า...วันหนึ่งสมบัติทั้งหมดของท่านจะกลับมา”
“ทุกคน...เข้าใจแล้วนะว่าทำไมฉันถึงเกลียดคุณอัมพา ทำไมฉันถึงไม่ชอบอารยา เพราะชีวิตฉันถูกทำลายย่อยยับตั้งแต่วันที่คุณอัมพามาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่อารยาอายุแค่หนึ่งเดือน” รุจบอกกับทุกคนอย่างเจ็บปวด
ooooooo
พิศที่ถูกเสาวรสใส่ความว่าขโมยสร้อยแล้วไล่ออกโดยไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายที่ถูกพระศัลย์ฯข่มขืนให้ กลับมาอีกครั้ง มาเรียกร้องความเสียหายพร้อมกับพยานคือคนใช้บ้านคุณชนะซึ่งย้ายไปแล้วแต่คนใช้ยังอยู่กับเจ้าของใหม่ พิศขู่ว่าถ้าไม่จ่ายเงินตามที่ตนเรียกร้องก็จะแจ้งตำรวจมาจับเพราะตนมีพยาน
ในที่สุดเสาวรสก็ต้องจ่ายเงินให้ตามที่พิศเรียกร้อง เมื่อต้องจ่ายเงินก้อนโตทั้งที่กำลังหมดเนื้อหมดตัว เสาวรสตัดสินใจยอมเสียศักดิ์ศรีหวนกลับไปจะจับรุจให้ได้ เพราะเชื่อว่าแต่งงานกับรุจเท่านั้นจึงจะมีชีวิตตามที่ตนต้องการได้
มาถึงบ้านรุจิโรจน์เธอจอดรถพรวดเข้าไปในบ้าน ผ่านยายจ้วนที่ยังรีรอคอยคำตอบจากรุจอยู่ว่าจะได้มาทำงานที่นี่อีกหรือไม่ อึดใจหนึ่งแม่ละม่อมออกมาเรียกยายจ้วน ยื่นซองเงินให้ กำชับว่า
“ใช้เขียมๆด้วย หมดแล้วค่อยมา มีงานให้ทำเป็นวันๆแต่จะให้มาทำประจำน่ะไม่มี”
พูดแล้วแม่ละม่อมจะเดินกลับ ยายจ้วนเรียกไว้ถามว่าเสาวรสจะมาเป็นคุณผู้หญิงบ้านนี้จริงหรือ แม่ละม่อมบอกว่าให้ไปถามคุณหนูเอาเอง ยายจ้วนเบ้ปากพึมพำ
“คุณหนูจะชอบรื้อ ผู้หญิงร้ายอย่างนี้”
ผลจากการยอมบากหน้าเข้าไปขอให้รุจแต่งงานกับตนของเสาวรสคือ เขาปลอบโยนและยืนยันที่จะยังเป็นเพื่อนเธอเสมอ เสาวรสทั้งโกรธทั้งแค้นพูดอาฆาตก่อนกลับไปว่า
“จำไว้ว่า คุณทำลายจิตใจฉันอย่างร้ายกาจที่สุด ฉันจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด!”
ooooooo
เช้าวันต่อมารุจไปที่บ้านพนาเวสเพื่อติดตามข่าวของอารยาแต่ทั้งวัฒนาและคุณนายพนาเวส ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรของอารยาเลย ระหว่างนั้นชาลีถือหนังสือเดินเข้ามา วัฒนาเลยถามว่ารู้ไหมว่าอารยามีเพื่อนอยู่ที่ไหนบ้าง ชาลีตอบทันทีว่าไม่รู้ ครั้นคุณนายคาดคั้นว่าแน่ใจนะว่าไม่รู้ ชาลีตอบแม่ประชดรุจว่า
“ถึงรู้ก็บอกไม่รู้ ใครจะทำไม”
แต่ทั้งวัฒนาและคุณนายพนาเวสต่างไม่เชื่อว่าชาลีไม่รู้ เพราะดูเขาไม่ทุกข์ร้อนกับการหายไปของอารยาเหมือนทุกครั้งเลย
จนกระทั่งรุจไปสืบได้เอง เมื่อเขาไปที่โรงพยาบาลนั้นอีกครั้ง ถามสมรว่าวันที่อารยาออกจากโรงพยาบาลนั้นมีใครมารับหรือเปล่า สมรบอกว่าไม่มี แต่นึกได้ว่าก่อนหน้านั้นมีเพื่อนคนหนึ่งมาเยี่ยมชื่อชาลี รุจตาคมวาบขึ้นมาทันที
ooooooo
อารยาไปดูแลภคินีไม่นานนัก ความอ่อนหวาน ใจเย็น และขยันของเธอ ทำให้ทุกคนที่นั่นรักเธอมาก ภคินีดีใจจนเขียนจดหมายมาขอบใจชาลีที่ส่งคนดีๆมาดูแลตน
เมื่อจดหมายของภคินีถึงมือชาลี เขานั่งอ่านจดหมายที่ท่าน้ำอ่านไปยิ้มไปอย่างมีความสุขมากภคินีเขียนบรรยายมาว่า...
“อารยาถูกใจน้องที่สุด พี่ชาลีเปรียบเหมือนทูตสวรรค์ส่งนางฟ้ามาให้น้อง ขอบคุณมากที่สุดค่ะ หวังว่าวันหนึ่งจะได้พบพี่ชายใจดีที่เชียงใหม่นะคะ”
ชาลียิ้มกว้าง แต่พอนึกถึงอารยาเขาก็หน้าสลดลง อ่านจดหมายต่อด้วยความคิดถึงเธอ...
“อารยาเป็นคนน่ารักเหลือเกิน น้องถามอารยาสักร้อยครั้งว่าพี่ชาลีเคยบอกไหมว่ารักอารยา เขาตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า พี่ชาลีคือเพื่อนสนิทที่สุด โอ..พี่ชาลีคนดี ทำไมปล่อยให้ ผู้หญิงอย่างอารยาเป็นแค่เพื่อนสนิทล่ะคะ”
ชาลีหน้าหมองลงมาก แต่พอเงยหน้าก็เจอแม่พร้อมกับวัฒนาและคุณนายยืนกันอยู่พร้อมหน้า แม่พร้อมถามทันทีว่าอารยาอยู่ไหน ชาลีทำหน้าตายถามว่าทำไมอยู่ๆก็มาถามอย่างนี้ ยืนกรานว่าตนไม่รู้
“อ้าว..แล้วคุณหนูเอามาจากไหนว่าคุณชาลีรู้ ให้ไปถามคุณชาลีเถอะ เขารู้ดีที่สุด เนี่ยท่านพูดอย่างนี้แหละค่ะ” แม่พร้อมโวยวายงงๆ คุณนายพนาเวสกับวัฒนาช่วยกันรุกชาลีว่าเขาต้องรู้ บอกมาเสียดีๆ พอชาลีถูกรุกจนแทบจะจนแต้ม เขาก็ทำเป็นฉุนเฉียวท้าว่าให้เอามีดมาผ่ากะโหลกควักสมองไปดูเองก็แล้วกัน พูดแล้วลุกพรวดไป
“อย่างนี้แปลว่ารู้หรือไม่รู้คะ คุณนาย คุณหนูนา” แม่พร้อมถามตายิ้มๆเหมือนรู้ทัน
เมื่อแม่พร้อมกลับไปแล้ว วัฒนากับคุณนายก็เข้าไปคาดคั้นถามจากชาลีอีก เขาขู่ว่าถ้าถามอีกแบบนี้ตนจะหายตัว ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เห็นแม่กับพี่สาวเงียบ ชาลีถามขึ้นว่า
“คุณแม่...ไม่มีใครคิดจะไปเยี่ยมภคินีบ้างเลยหรือ”
ooooooo
ชาลีปากแข็งอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้องจำนน เมื่อคุณนายกับวัฒนาเอาจดหมายขอบคุณของภาคินัยมายืนยันว่าเขาเป็นคนส่งอารยาไปดูแลภคินีที่เชียงใหม่ คุณนายบอกชาลีว่าให้ไปบอกหมอรุจเสียว่าอารยาอยู่ที่ไหน ชาลียืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่บอก จนคุณนายต้องบังคับให้มานั่งฟังตรงหน้า บอกลูกชายว่า
“ชาลี หมอที่จะรักษาน้องให้หายได้ตอนนี้มีคนเดียว”
“คือหมอรุจ รุจิโรจน์ ศัลยแพทย์ประสาทมือเยี่ยมของประเทศไทย” วัฒนาเสริมพอมองเห็นจุดนี้ ชาลีอ้าปากค้างอย่างคิดไม่ถึง เขารีบไปหารุจที่บ้านรุจิโรจน์ เล่าเรื่องภคินีให้ฟัง รุจซึ่งมีความประทับใจกับครอบครัวนี้ตั้งแต่ตอนไปทำงานที่เชียงใหม่ บอกชาลีว่าจะเดินทางไปคืนนี้เลย ปลอบชาลีว่า
“ไม่ต้องห่วงเรื่องภคินี ฉันจะพยายามสุดความสามารถ”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น มีอีกเรื่องที่จะบอก...” พอรุจหยุดฟัง ชาลีพูดช้าๆชัดๆว่า “ขณะนี้ ภคินีมีพยาบาลที่ถูกใจและช่วยเหลืออย่างดียิ่ง ชื่ออารยา”
รุจมองหน้าชาลีด้วยสายตาที่อ่อนลง พูดเรียบๆว่า
“ฉันดีใจกับภคินี ฉันเชื่อว่าอารยาจะเป็นพยาบาลได้อย่างดีที่สุด”
เมื่อมาเล่าให้พี่สาวกับแม่ฟังแล้ว ชาลีบอกด้วยความดีใจว่า
“คุณแม่..หมอรุจจะไปเชียงใหม่คืนนี้แหละ พรุ่งนี้ก็ได้ตรวจภคินีแล้ว”
ooooooo
เมื่ออารยารู้ว่ารุจจะมารักษาภคินี เธอสนับสนุนทันที เพราะเขาเป็นหมอที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นประสาทที่ผิดปกติ แต่เธอก็หาทางที่จะหลบหน้าเขา บอกภาคินัยว่าแม่ของเพื่อนเจ็บหนักรอให้ตนไปช่วยพยาบาลแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ฉันอยากจะไม่อนุญาต แต่เห็นแก่คนเจ็บหนักเป็นแม่ของเพื่อนด้วย จะไปเมื่อไหร่บอกแล้วกัน ฉันอาจจะไปส่งเธอ” พูดแล้วผละไปจนอารยาปฏิเสธความหวังดีของเขาไม่ทัน
แต่เมื่อเดินกลับมาที่ห้องภคินีอีกครั้ง อารยาก็ตะลึงงันถอยไปพิงผนังหน้าเสีย เมื่อเห็นรุจกำลังตรวจภคินีอยู่ เสร็จแล้วภคินีขอให้พี่ชายประคองให้นั่ง จังหวะนั้นเอง รุจหันมาเห็นอารยาเข้าเต็มตา
อารยายังยืนตะลึงงันอยู่ จนภคินีร้องถามว่าไม่ดีใจกับตนหรือที่หมอจะมาให้ชีวิตใหม่แก่ตน แล้วภคินีก็คุยอวดกับรุจว่า
“อารยาดูแลภคินีทุกอย่างเลยค่ะหมอ เป็นทั้งพยาบาล เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนที่ให้กำลังใจภคินี ไม่อย่างนั้นภคินีก็ไม่อยากจะอยู่อีกแล้วในโลกนี้”
รุจพูดถึงความรู้สึกของคนที่ป่วยแบบเธอว่าจะอารมณ์หงุดหงิดเศร้าหมองควบคุมตัวเองยาก คนที่จะอยู่ด้วยต้องใจเย็นและอดทนกับอารมณ์ของเรา เขายังแอบกระแนะกระแหนอารยาเมื่อมีโอกาส แต่ต่อหน้าทุกคนแล้ว เขาทำเป็นไม่รู้จักเธอ เย็นชา เมินเฉย จนอารยาประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ลึกๆ
ooooooo
ตกเย็นรุจจะกลับไปพักที่บ้านพักในโรงพยาบาลเชียงใหม่ ขอเขาไว้สองสามคืนเพราะลางานมาได้เท่านี้ ภาคินัยเดินเข้ามาขอร้องให้เขาพักที่นี่สักคืน รุจเกรงทางโน้นจะห่วงเพราะแจ้งไว้แล้ว
ภาคินัยถามว่ามีรายงานจากโรงพยาบาลในอำเภอไปถึงหมอหรือว่ามีเคสของภคินีที่นี่
“ไม่มีหรอกครับ ผมทราบจากคนอื่น ผมทราบจากเพื่อน บ้านที่เป็นญาติคุณภาคินัย” รุจบอกว่าชาลีเป็นคนบอกตนโดยชาลีเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่าตนเคยมาที่นี่ รู้จักที่นี่มาก่อน
ถามไถ่ไปมาจึงรู้ว่าที่แท้ก็คนกันเองทั้งนั้น ภาคินัยสรุปรวบรัดว่าตกลงเขาพักที่นี่สักคืนก็แล้วกัน
ดังนั้น น้าสังวาลย์จึงวานให้อารยาเอาน้ำดื่มไปไว้ที่ห้องรุจให้ด้วย อารยาใจเต้นไม่เป็นส่ำ เดินเอาน้ำเข้าไปวางที่โต๊ะ เหลือบมองรุจเห็นเขาจ้องอยู่ แต่ไม่พูดอะไรเลย อารยาหน้าเสียกับท่าทีเย็นชานั้น ค้อมตัวเดินออกจากห้องไป
พอออกไปแล้ว เธอว้าวุ่นใจกับท่าทีเย็นชาของเขา ทั้งที่หนีมาถึงนี่แล้วก็ยังตามมาให้เห็นอีก
ooooooo
ส่วนที่ห้องรับแขกบ้านรุจิโรจน์ หลังจากพวกแม่ๆทั้งสามรู้เรื่องเครื่องเพชรหายและอัมพาเป็นคนที่ ขโมยไปจากปากของรุจและท่านขุนฯแล้ว ต่างไม่เชื่อ มีแม่พร้อมคนเดียวที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เลยเถียงกับแม่พินที่ไม่เชื่อเด็ดขาด ทั้งสองเถียงกันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบ ท่านขุนฯจึงแทรกขึ้น บอกทุกคนว่า การหายไป ของอารยานั้น พวกเรามีความผิดทุกคน เพราะทั้งอัมพาและท่านต่างฝากฝังอารยาไว้กับพวกเรา
“ฉันข้องใจคุณหนูมาก ไม่รู้คุณหนูคิดยังไง อยากจะรู้เสียจริงๆ ทำไมเธอถึงได้เฉยเมยเหมือนไม่มีหัวใจขนาดนั้น คนทั้งคนออกไปจากบ้าน ไม่เห็นคุณหนูจะรู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย อยากจะรู้เสียจริงๆว่าไม่คิดถึงคุณน้อยเลยเหรอ” แม่พินพูดเสียจนทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้
แต่ที่เรือนพักของสามแม่ นายสุข สิงห์ มณี และบัวกับนายเสือ นั่งกินข้าวกันอยู่ ทุกคนเป็นห่วงอารยา มณีบ่นคิดถึงคุณน้อยของตน นายสุขบอกว่าทุกคนก็คิดถึง บัวแย้งว่าแต่คุณหนูคงไม่คิดถึงเพราะไม่ชอบคุณน้อย เห็นว่าอยู่เรื่อยๆ
สิงห์เป็นคนพูดติดอ่างปกติจะไม่ค่อยพูด แต่วันนี้ทนไม่ได้พูดหน้าตาขึงขังทั้งที่ติดอ่างอย่างมากว่าคุณหนูนั่นแหละคิดถึงมากกว่าใครๆ พอทุกคนมองขวับถามว่ารู้ได้ไง สิงห์พูดอย่างมั่นใจว่า ตนว่าคุณหนูรักคุณน้อย
“ฮ้า...คุณหนูรักคุณน้อยจริงเหรอ แกรู้ได้ไง” ทุกคนถามพร้อมกัน สิงห์ตาพราวตอบอวดๆ
“ฉะ...ฉัน...ดะ...ดูตา...คุณหนู เวลามอง...คะ...คุณน้อย” พูดแล้วยิ้มกริ่มยืดอกภูมิใจมาก
ooooooo










