ตอนที่ 10
อัลบั้ม: เรื่องราวของ 3 สาวพี่น้อง ต่างพ่อแม่ แต่อยู่ในครอบครัวเดียวกันใน "สามใบไม่เถา"
แม้ว่าแสงฉานกับอุรวสาจะหมางเมินกันทั้งเพราะทิฐิและงอน แต่ลึกๆแล้วยังแอบดูแลห่วงใยกัน
วันนี้อุรวสาแพ็กกระเป๋าลากออกไป แสงฉานทำอาหารอยู่ในครัวออกมาถามว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจะไปนอนเฝ้าคุณพ่อที่โรงพยาบาล ถามแค่นั้นแล้วกลับไปทำอาหารต่อแต่ยังคอยเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวของเธอ จนได้ยินเสียงออกจากประตูไป ก็ถอนใจซึมๆ
อึดใจเดียวเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น แสงฉานรีบไปดู เห็นเวศม์มายืนเซียวๆอยู่หน้าบ้าน
เวศม์บอกว่ามาขอข้าวกินสักมื้อ แต่ที่แท้มีเรื่องไม่สบายใจ พอกินข้าวเสร็จ แสงฉานปรับทุกข์ขึ้นก่อนว่า
“วสาทำตัวเหมือนตัวเองไม่ผิด รู้ทั้งรู้ว่านายพงษ์ชัยเอางานมาบังหน้า วสาก็ยังไม่ยอมโอนงานให้คนอื่นแถมยังมาว่าผมไม่มีเหตุผลบ้างล่ะ เอาแต่อารมณ์บ้างล่ะ”
“ใจเย็นๆ วสาเป็นคนรับผิดชอบงานนะแสง เธอไม่ยอมทิ้งงานง่ายๆอยู่แล้ว”
“บางครั้งนะเวศม์ ผมอดคิดไม่ได้ว่า ระหว่างงานกับผม วสาเลือก...งาน...”
“อย่าคิดไปเองสิ คู่ชีวิตกันทะเลาะกัน มีส่วนผิดส่วนถูกสลับกันไปนั่นแหละ”
“ตอนผมแต่งงานใหม่ๆ เพื่อนฝรั่งคนนึงบอกผมว่า ชีวิตแต่งงานช่วงสามปีแรกยากที่สุด ผ่านช่วงนี้ไปได้ก็อยู่กันยาว ผมเริ่มคิดว่า ผมอาจไม่ผ่านช่วงที่ยากที่สุดนี้”
“หนักแน่นไว้ อย่าให้นายพงษ์ชัยป่วนชีวิตคู่ มันเคยทำลายความรักของผมมาแล้ว ผมไม่อยากเห็นมันทำลายความรักของเพื่อนผม”
แสงฉานไม่รับปากและเปลี่ยนเรื่องคุย ถามเวศม์ว่าเรื่องของเขากับอันตราเป็นอย่างไร ทำไมวันนี้ถึงเศร้ามาแต่เช้า
“เริ่มไปไม่เป็นแล้ว เหมือนๆจะเอาชนะใจลูกสาวได้ ก็ต้องจำนนกับความผิดที่เราเคยก่อกับพ่อเขาไว้ แสง...เวลาเราชอบใครสักคนมากๆ บางครั้งมันทำให้เรากลายเป็นคนโง่ คิดหาทางแก้ปัญหาอะไรไม่ออกซะงั้น บอกตรงๆนะแสง เรื่องของอันตราทำให้ผมไปไม่เป็น ผมไม่รู้จะทำยังไง”
แสงฉานได้แต่มองหน้าเวศม์ ต่างก็มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก แม้จะเห็นใจแต่ก็ไม่รู้จะช่วยกันอย่างไร
ooooooo
วันต่อมา แสงฉานทำอาหารมาเยี่ยมอัษฎา เจอพงษ์ชัยกับอนุวัติที่หิ้วกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมเช่นกัน แสงฉานถามหน้าตึงว่ามาทำอะไรที่นี่ พงษ์ชัยตอบกวนๆว่า “มาเยี่ยม... ว่าที่พ่อตา” แสงฉานแค่นหัวเราะเดินไปอีกทาง
“เชิญขำไปเถอะ ตอนจบจะขำไม่ออก เมื่อเห็นคุณวสาเปลี่ยนใจจากเชฟกระจอกอย่างคุณมาซบอกผม”
แสงฉานฉุนขาดหันผลักอกพงษ์ชัยทันที อนุวัติผลักอกแสงฉานแทนเจ้านาย อุรวสาไปซื้อของกลับมาเห็นพอดี เธอรีบเข้าไปขอร้องว่าเวลานี้ไม่ควรมาทะเลาะกัน หันบอกแสงฉานให้กลับไปก่อน แล้วหันไปเชิญพงษ์ชัยเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ
แสงฉานกลับไปอย่างหัวเสียที่อุรวสาเข้าข้างพงษ์ชัย อุรวสาเข้าใจความรู้สึกของสามี เธอบอกพงษ์ชัยอย่างป้องกันความเข้าใจผิดว่า “กรุณาเข้าใจด้วยนะคะคุณพงษ์ชัย ที่ดิฉันเกรงใจคุณ เพราะคุณเป็นแขกของคุณพ่อ”
“ไม่ว่าคุณอุรวสาจะมีเหตุผลอะไร ผมก็ยอมรับ” พงษ์ชัยยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่อุรวสาหน้านิ่งเมินไปทางอื่น ไม่เล่นด้วย
เวลาเดียวกัน บราลีไปตามอินทุอรที่เต็นท์ในโรงรถเก่าบอกว่าเอาของขึ้นรถเสร็จแล้วไปโรงพยาบาลกันเถอะ
อินทุอรยังนั่งเศร้า บอกบราลีว่าตอนเด็กๆตนชอบมานอนในเต็นท์หลังนี้ให้คุณพ่อเล่านิทานให้ฟัง เธอพรรณนาความประทับใจในสถานที่แห่งนี้ว่า เวลาถูกเพื่อนแกล้งร้องไห้กลับมา คุณพ่อก็พามานั่งตักปลอบตนในนี้ พอเรียนมหาวิทยาลัย ได้คะแนนไม่ดี คุณพ่อก็จัดปาร์ตี้เล็กๆในเต็นท์ให้ตนหายเศร้า พูดน้ำตาคลอว่า...
“ทุกครั้งที่ชีวิตอินมีปัญหา คุณพ่อจะรออยู่ที่นี่เสมอ วันนี้คุณพ่อป่วยหนัก อินจะทิ้งคุณพ่อไปได้ยังไง คุณแม่คะ อินไม่ไปเรียนบัลเล่ต์ที่อเมริกาแล้วค่ะ”
บราลีไม่อยากขัดใจลูกตอนนี้ ได้แต่มองเต็นท์ที่พ่อลูกช่วยกันต่อขึ้นมา เป็นที่ที่มีความหลังความประทับใจและความรักมากมายที่พ่อลูกมีให้ต่อกัน...
ooooooo
เมื่อศศิพิมลไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้บุษบาบัณอีกต่อไป เธอจึงลงมือเอง
เย็นนี้เธอไปนั่งที่ร้านของแสงฉาน พอเห็นเขาออกมาเธอส่งสัญญาณให้เพื่อนชายที่นั่งคนละโต๊ะ ฝ่ายนั้นโวยวายทันทีว่า ตนสั่งสเต๊กแบบ Medium Rare แต่ทำสุกจนจะไหม้อยู่แล้ว แถมในซุปก็ยังมีเส้นผมอยู่อีก
บริกรยื่นรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งให้แสงฉาน เขาดูแล้วบอกว่าลูกค้าสั่งเป็นแบบ well done แล้วเข้าไปดูในซุปก็ไม่เห็นเส้นผม ลูกค้าตะแบงว่า บริกรจดผิดและเส้นผมที่ว่าตนก็ทิ้งไปแล้ว แสงฉานจึงขอโทษแทนบริกรและจะทำมาให้ใหม่
“ไม่! ผมจะไปเขียนรีวิวในเว็บ ร้านไม่ได้เรื่องอย่างนี้ควรจะเจ๊งๆไปซะ” ลูกค้าฮึดฮัดจนแสงฉานหน้าเสีย
จังหวะนั้นเองบุษบาบัณแทรกเข้ามาคุยกับลูกค้าคนนั้น...
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะคุณลูกค้า ทางร้านขอยกเว้นค่าอาหารมื้อนี้เป็นการขอโทษ และมอบไวน์ขวดนี้ให้ด้วยค่ะ” เธอหันไปหยิบไวน์ให้ ลูกค้าคนนั้นบอกว่าแบบนี้ค่อยพูดกันได้หน่อย ตนไม่เอาเรื่องก็ได้
บุษบาบัณหันยิ้มหวานกับแสงฉานอย่างโชว์ฝีมือ แสงฉานขอบคุณที่ช่วยเจรจาให้ เธอเข้าไปจับบ่าเขาบอกว่า เห็นร้านเขามีปัญหาคนรู้จักกันก็ต้องช่วย พูดอย่างผู้รู้ว่า
“พวกลูกค้าผู้ชายน่ะ บางครั้งก็ต้องใช้ความอ่อนหวานของผู้หญิง แสงไม่รู้เหรอ” ไม่พูดเปล่า ยังขยับเข้าใกล้กุมมือเขาไว้พูดต่อว่า “ได้อะไรตอบแทนหน่อยก็หมดเรื่องแล้ว เอ๊ะ...แล้วนี่คุณวสาไปไหนล่ะ”
แสงฉานอึกอัก บอกว่าไปเฝ้าคุณพ่อมั้ง เธอถามทันทีว่าทำไมต้องมั้ง เหมือนไม่แน่ใจ เห็นแสงฉานอึกอักก็ตัดบท
“ฮึ! ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร มีภรรยาทำงานเก่งก็ต้องทำใจนะจ๊ะ เขาไม่ค่อยเห็นค่าของสามีเท่าไหร่หรอก” เห็นแสงฉานถอนใจก็ทิ้งระเบิดต่อ “ถอนหายใจออกมาแบบนี้ แสดงว่าบุษพูดตรงใจน่ะสิ มีอะไรปรึกษาบุษได้นะ ผู้หญิงอย่างบุษ...เข้าใจผู้ชายที่ถูกทำร้ายจิตใจอย่างแสงดี”
อุรวสามาเห็นเต็มตาได้ยินเต็มสองหู เธอฉุนขาดที่แสงฉานไม่พูดแก้ให้ตนเลยสักคำ หันหลังเดินขึ้นรถไปทันที
แสงฉานเอามือออกอย่างสุภาพ ขยับถอยออก ขอบคุณแล้วขอตัว บุษบาบัณมองตามยิ้มร้าย!
พอกลับถึงคอนโดคืนนี้ก็มีเรื่องทันที อุรวสาเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบใหญ่บอกว่าจะกลับไปอยู่กับคุณพ่อ แสงฉานตกใจ ถามว่า “ไปอยู่?!”
“ค่ะ ไปอยู่ คุณอยู่คนเดียวเงียบๆ ก็ถามตัวเองดูนะคะ ว่าจะเลือกใคร ระหว่างฉันคนนี้กับคุณอาไก่แก่แม่ปลาช่อนคนนั้น!” พูดแล้วลากกระเป๋าออกไปปิดประตูปัง แสงฉานอึ้ง ยืนคว้างอยู่กลางห้อง
พออุรวสาไปถึงบ้าน บอกอันตรากับอินทุอรว่า ตนทะเลาะกับแสงฉานจะกลับมาอยู่บ้านสักพัก อินทุอรถามว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร ร้ายแรงมากเลยหรือ?
“พี่ปวดหัว ไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้” แล้วลากกระเป๋าขึ้นข้างบนพอคนใช้ช่วยเอากระเป๋าเข้าห้อง เธอสั่งว่าออกไปช่วยล็อกประตูให้ด้วย พอคนใช้ออกไป เธอก็ทิ้งตัวนอนบนเตียงอย่างหมดแรง น้ำตาซึมแต่บอกตัวเองว่า เราต้องเข้มแข็ง! พยายามกลืนน้ำตาไว้ในอก
แสงฉานเองก็เศร้า ไปนั่งบนเตียงมองที่นอนที่ไร้ร่างอุรวสา...อย่างไม่รู้ว่า เธอจะกลับมาเมื่อไร...
ข่าวไวปานไฟลามทุ่ง รุ่งขึ้นพงษ์ชัยก็หัวเราะสะใจเมื่ออนุวัติมารายงานเรื่องอุรวสากลับไปนอนที่บ้านพ่อแม่
“อุรวสากลับมาอยู่บ้านพ่อแม่แล้วเหรอ...พอแยกกันก็ไม่ยากที่จะเข้าไปเป็นมือที่สาม สุดท้ายก็ต้องหย่ากัน!”
ooooooo
วันเดียวกัน เมื่อบราลีที่เฝ้าอัษฎาอยู่ที่โรงพยาบาลรู้ว่าอุรวสากลับมานอนบ้านก็ตกใจถามว่าจะหย่ากันหรือ
อุรวสาบอกว่าไม่ถึงขั้นนั้น แต่บราลีก็ยังไม่สบายใจ เรียกลูกทั้งสามมาเตือนว่า
“คุณพ่อรู้ต้องไม่สบายใจแน่ๆ ฟังแม่นะทุกคน หัวใจคุณพ่อไม่ค่อยดี คุณหมอห้ามเครียด ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไรอย่าบอกให้คุณพ่อรู้เด็ดขาด ให้บอกแม่คนเดียว”
พอดีพยาบาลเข็นรถพาอัษฎากลับมาที่ห้อง บอกว่าหัวใจของเขายังเต้นผิดจังหวะ ยังผ่าตัดไม่ได้
ครู่หนึ่งพยาบาลอีกคนก็เข้ามาบอกบราลีว่า คุณหมออำพลเรียนเชิญที่ห้อง
หมออำพลแจ้งแก่บราลีว่า ตนได้รับมอบหมายจากคณะแพทย์ให้มาแจ้งอาการป่วยของอัษฎาว่า การผ่าตัดครั้งนี้มีความเสี่ยงสูง ระหว่างผ่าตัดถ้าควบคุมไม่ดีความดันเลือดมีปัญหา หัวใจเขาที่เต้นผิดจังหวะอยู่แล้วจะยิ่งมีปัญหาเพิ่ม สรุปว่า
“เคสนี้จำเป็นต้องใช้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งทางเรากำลังประสานงานเรื่องนี้อยู่ การผ่าตัดคงต้องทิ้งช่วงไปสักระยะ”
เมื่อลูกๆทุกคนรู้ต่างทุ่มเทจะหาทางช่วยคุณพ่อ อุรวสาจะหาข้อมูลหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องหัวใจกับเนื้องอกที่ต่างประเทศเพื่อช่วยทีมแพทย์ที่นี่อีกทางหนึ่ง อันตราจะศึกษาเรื่องการออกกำลังที่ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ส่วนอินทุอรจะดูแลเรื่องอาหารให้คุณพ่อ
“พี่เชื่อมั่นว่า ถ้าเราสามพี่น้องช่วยกัน คุณพ่อจะต้องหายเป็นปกติ เราจะทำทุกวิถีทางให้คุณพ่ออยู่กับพวกเราให้นานที่สุด” อุรวสาบอกน้องๆ ทุกคนจับมือเป็นสัญญา ให้กำลังใจกันและกัน
ooooooo
อินทุอรบอกอัษฎาขณะเข็นรถพามาพักผ่อนที่สวนหย่อมในโรงพยาบาลว่าตนตัดสินใจจะไม่ไปเรียนบัลเล่ต์ที่อเมริกาแล้ว อยากอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อมากกว่า
อัษฎาโทษว่าตนกำลังทำลายความฝันของลูก บ่นว่าพ่อไม่น่าป่วยเลย พ่อกลายเป็นคนฉุดรั้งความฝันของลูกไปแล้ว
“ความฝันของอินคือการได้เป็นนักบัลเล่ต์ก็จริง แต่มันจะสมบูรณ์ไปไม่ได้ถ้าไม่มีคุณพ่ออยู่ในที่นั่งคนดู เสียงปรบมือของคุณพ่อดังที่สุด แล้วก็เพราะที่สุด”
อัษฎาขอโทษที่ตนทำหน้าที่พ่อได้ไม่ดี
“คุณพ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดแล้วค่ะ ตอนนี้เป็นโอกาสที่อินจะได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีบ้าง อินจะดูแลคุณพ่อเพื่ออนาคตของครอบครัวเราค่ะ”
“พ่อไม่รู้ว่าจะได้ดูความสำเร็จของลูกทุกคนหรือเปล่า แต่อยากให้จำไว้...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อจับตามองอินอยู่เสมอ”
อัษฎากอดอินทุอรไว้อย่างรักสุดหัวใจ อดน้ำตาไหลไม่ได้ เมื่อนึกว่า ไม่รู้ตัวเองจะอยู่ได้ถึงวันนั้นหรือเปล่า...
ooooooo
บราลีนั่งคุยกับภิสิตที่มาเยี่ยมอัษฎา ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าไม่สบายใจ บราลีบอกว่าตอนนี้พวกเรากำลังช่วยกันทำให้ร่างกายและจิตใจของอัษฎาแข็งแรงที่สุดเพื่อเตรียม พร้อมผ่าตัด
ภิสิตบอกว่ายิ่งเครียดก็ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ บราลีได้จังหวะเสนอว่า ถ้าเขาห่วงอัษฎา รับปากได้ไหมว่าจะเป็นแค่อาที่ดีของหนูอินเท่านั้น ภิสิตกระอักกระอ่วนใจในคำขอนี้ ยืนยันทั้งที่ใจหวั่นไหวว่า
“ผมรักพี่อัษเหมือนพี่ชาย หนูอินก็คือหลานของผม”
อินทุอรพาอัษฎากลับเข้าห้องพอดี เธอยิ้มหวานไหว้ภิสิต “สวัสดีค่ะ อาสิต”
“สิตมาก็ดีแล้ว พาหนูอินไปกินข้าวข้างนอกหน่อยสิ ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะหนูอิน เห็นหนูเศร้าตลอดแบบนี้พ่อไม่สบายใจ ฝากดูแลหลานด้วยนะ
นอกจากตัวพี่เองแล้วก็มีสิตนี่แหละที่พี่ไว้ใจที่สุด” อัษฎาเอ่ย
ภิสิตอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลบสายตาอัษฎา พอหันเจอสายตาของบราลีก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่เมื่ออัษฎาเป็นคนเอ่ยปาก ภิสิตจึงพาอินทุอรออกไป เธอเสนอให้ไปบ้านป้าอัปสร บอกว่าที่นั่นคลายเครียดให้ตนดีที่สุด
สิ่งคลายเครียดไม่ใช่เสียงเพลง แต่กลับเป็นความสนุกสนานขี้เล่นของป้าแต๋วกับป้าต้อยที่มีมุกให้เขาได้ตลอด
ขณะอินทุอรคุยกับสามป้าอย่างสนุกสนานอยู่นั้น ป้าอัปสรเอะใจถามว่าภิสิตหายไปไหน ก็พอดีมีเสียงเปียโนแว่วมา เป็นการบรรเลงเพลงที่กระท่อนกระแท่น แต่มีความหมายมาก เพราะเป็นเพลงที่อินทุอรในวัย 9 ขวบได้เต้นรำกับอาสิตเป็นครั้งแรก และประทับใจมาจนตราบวันนี้...
อินทุอรเดินไปดู ถามว่า “อาสิตจะหัดเล่นเพลงนี้เหรอคะ”
“หนูอินสอนอาได้ไหม”
“ได้สิคะ ทำไมอาสิตอยากเล่นเพลงนี้ล่ะคะ”
“เพราะมันเป็นเพลงที่เราเต้นรำด้วยกันเป็นครั้งแรก จำได้ไหม”
“จำได้สิคะ...มาค่ะ อินจะสอนอาสิตเอง” อินทุอรสอนเปียโนให้ภิสิตในบรรยากาศหวานๆ ที่ต่างก็คิดถึงอดีต...
ภิสิตส่งอินทุอรกลับไปที่โรงพยาบาลแล้ว อินทุอรนั่งเล่นไลน์แชตกับภิสิต เป็นคลิปวีดิโอที่ภิสิตเล่นเพลงเมื่อบ่ายนี้ แต่กระท่อนกระแท่น อินทุอรดูคลิปนี้แล้วยิ้ม อัษฎาเห็นลูกสาวดูไอแพดแล้วยิ้มถามว่า ทำอะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อินทุอรสะดุ้งรีบกอดไอแพดไว้คิดหาทางแก้ตัว...
“อิน...เล่นเกมเศรษฐีค่ะ เนี่ย...อินสร้างแลนด์มาร์คได้แล้วค่ะ” อัษฎาสนใจลุกมานั่งข้างๆ บอกให้สอนพ่อเล่นบ้าง “แต่...อินว่ามันดึกแล้ว คุณพ่อน่าจะเข้านอนได้แล้วนะคะ” อัษฎาอิดออดว่าเพิ่งสามทุ่มเอง “ตั้งสามทุ่มแล้วต่างหากค่ะ ถ้าอยากสุขภาพดีก็ควรจะรีบเข้านอนหัวค่ำนะคะ”
อินทุอรใช้ความอ่อนหวานของตนพูดจนอัษฎายอมไปนอน พอคุณพ่อไปนอน อินทุอรก็ถอนใจอย่างโล่งอก...
ooooooo
ส่งอินทุอรแล้ว ภิสิตกลับไปที่บ้านป้าอัปสรอีก บอกว่ากำลังเห่อเล่นเปียโน ถูกป้าอัปสรแซวอย่างรู้ทันว่าเห่อเปียโนหรือเห่อครู? ภิสิตยิ้มเขินๆไม่ตอบ
ขณะเดินออกมาส่งภิสิตนั้น ป้าอัปสรหว่านล้อมเขาว่า
“ชีวิตเรามันสั้น ถ้ามั่นใจว่าความสุขของเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ทำไปเถอะ”
“เพราะไม่มั่นใจน่ะสิครับป้า ผมไม่อยากทำร้ายพี่ชายที่ผมเคารพมากที่สุด”
“แล้วสิตจะทำร้ายตัวเองกับหนูอินด้วยการไม่ให้รักกันอยู่อย่างนี้หรือ?” ภิสิตอึ้งกับความจริงที่ขัดแย้งกับหัวใจ ป้าอัปสรอ่านใจออก พูดอย่างรู้ใจว่า
“ความรักเป็นของแปลก ยิ่งวิ่งหนีก็ยิ่งไล่ตาม ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ”
“แต่ถ้าเป็นความรักที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม ก็ต้องหักห้ามยับยั้งชั่งใจให้ได้ ผมกับหนูอินจะเป็นแค่อาหลานเท่านั้นครับ”
ป้าอัปสรฟังแล้วได้แต่ถอนใจ ส่วนภิสิตนิ่งไปอย่างหนักใจ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า
ooooooo
ด้วยความรู้สึกที่ผิดต่ออัษฎา เวศม์นั่งเคาะหน้าจอคอมฯแล้วยิ้มดีใจ สั่งลูกน้องที่อยู่ด้านนอกว่า
“ลูกค้าฮ่องกงเริ่มตอบรับ...ซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเราแล้ว” ลูกน้องถามว่าแล้วจะเอาอย่างไร “เสนอไปที่กลุ่มลูกค้ายุโรปกับอเมริกา แนะนำให้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเร็ว”
เวศม์ยิ้มดีใจ เขาต้องการไถ่โทษที่บริษัทตนมีส่วนทำให้บริษัทของอัษฎาเกือบล้มละลาย เขาจึงเริ่มระดมทุนจากนักลงทุนแนะนำให้ซื้อหุ้นของบริษัทอัษฎา
อัษฎาแปลกใจกับปรากฏการณ์นี้ เขานั่งคุยกับสมศักดิ์ที่สวนหย่อมในโรงพยาบาลว่า ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีกลุ่มทุนจากต่างประเทศมาซื้อหุ้นบริษัทเราในตลาด? สมศักดิ์ดีใจด้วยเพราะถึงไม่เยอะแต่ก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้าง แล้วทั้งสองก็พากันงงว่าเป็นไปได้ยังไงเพราะหุ้นของเราไม่ใช่หุ้นชั้นดีที่น่าซื้อ สมศักดิ์รับปากว่าจะไปสืบมาให้
แม้เหตุการณ์จะดูแปลกๆ แต่อัษฎาก็ดีใจที่ลูกๆ จะได้สบายใจขึ้นบ้าง สมศักดิ์ถามว่า แล้วลูกสาวสามคนหายไปไหนหมด ตนอุตส่าห์เอาเรื่องดีๆมาบอก
“หนูอินออกไปหาข้าวกลางวันให้ฉันกิน คุณวสาน่าจะทำงานที่บริษัท ส่วนเจ้าอันเห็นบอกว่าจะไปที่ฟิตเนส ไปจ่ายเงินเดือน”
ooooooo
อันตราไปที่ฟิตเนส เธอต้องหงุดหงิดเมื่อเวศม์เดินเข้ามาถามว่าคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง เธอไม่ตอบแต่บอกว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน แล้วเดินนำเข้าด้านใน เวศม์ตามไปอย่างอยากรู้ว่าเธอจะคุยเรื่องอะไร
อันตราพาเวศม์มายืนเผชิญหน้าบนเวทีมวย เธอกล่าวโทษว่าเขาต้องรับผิดชอบเรื่องที่บริษัทของคุณพ่อเกือบพังเพราะเฮดฟันจ์ต่างชาติ เขาบอกว่าตนขอโทษไปนับสิบๆครั้งแล้วและตนก็กำลังพยายาม...
“ขอโทษอย่างเดียวคงไม่ได้ผล เรามาชำระแค้นในแบบของเรา เรื่องนี้จะได้จบเสียที” อันตราตัดบท
“เอา...ถ้าคุณต้องการแบบนั้นก็ได้” เวศม์รับคำท้า แต่ไม่ทันตั้งหลักก็ถูกอันตราต่อยเปรี้ยงเข้าแล้ว ดีที่เขาหลบทัน พวกกองเชียร์มาเฮกันอยู่รอบเวทีมวยเพราะเคยเห็นคู่นี้ชกกันมาแล้ว ชกทีไรทั้งมันทั้งฮาทุกที
แต่ครั้งนี้ไม่มีฮา เพราะอันตราชกไม่ยั้งอย่างต้องการเอาคืนให้พ่อจริงๆ เวศม์เองก็ปล่อยให้เธอชก อาศัยการหลบเป็นการป้องกันตัวเท่านั้น แต่ก็พลาดถูกอันตราต่อยเปรี้ยงเข้าที่ปากเต็มแรงจนเซ เลือดออกซิบๆ ต่อยแล้วยังกระหนาบว่า
“ต่อไปนี้ ห้ามนายมาที่นี่อีก! ค่าสมาชิกฉันจะโอนคืนไปให้เต็มจำนวน”
เวศม์เช็ดเลือดที่ปาก บอกเธอว่าต้องการคำอธิบายที่ชัดกว่านี้
“เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อฉันไม่มีวันยอมรับคนที่ทำลายบริษัทที่พ่อสร้างมาทั้งชีวิต เราควรหยุดความสัมพันธ์ไว้เพียงแค่นี้ ก่อนที่จะมีใครเสียใจมากไปกว่านี้”
เวศม์บอกว่าตนกำลังหาทางแก้ไข เธอตัดบทว่าการชกเมื่อกี๊จะเป็นการชกครั้งสุดท้ายของเราสองคน ตนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ย้ำว่า “ฉันรักพ่อมากที่สุดในชีวิต ฉันจะไม่มีวันทำเรื่องที่พ่อไม่สบายใจ...ออกไปจากชีวิตฉันเสียเถอะ!”
เวศม์จำต้องเดินจากไปทั้งที่เศร้าแสนเศร้า ทั้งสองต่างหันหลังเดินจากกันทั้งที่เจ็บปวด...
ooooooo
ความบาดหมางระหว่างอุรวสากับแสงฉานยังอึมครึม แม้หลายครั้งต่างก็จะโทร.หากันแต่ด้วยความทิฐิก็เปลี่ยนใจ จึงต่างฝ่ายต่างเศร้าด้วยความคิดถึงกัน
บุษบาบัณฉวยโอกาสนี้แทรกเข้ามา เธอจ่ายเงินให้ รปภ.พาขึ้นมาจนถึงหน้าห้อง แล้วเคาะประตูเรียก พอแสงฉานเปิดประตูเห็นบุษบาบัณยืนอยู่พร้อมขวดไวน์ เขาบอกว่ากำลังจะนอนแล้ว แต่ก็แพ้ความเจ้าเล่ห์ของเธอที่ ทำทีขอเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็โมเมหาแก้วมารินไวน์ดื่มกัน แปลกที่เธอเปิดขวดไวน์ไว้ก่อนแล้ว
ความคิดถึงอุรวสาทำให้แสงฉานดื่มรวดเดียวหมดแก้ว บุษบาบัณยิ้มสมใจ ทำทีเดินไปดูวิวที่หน้าต่างถ่วงเวลาให้ยานอนหลับในไวน์ออกฤทธิ์
ไม่นานแสงฉานก็ล้มลงหลับสนิท บุษบาบัณถอดเสื้อเขาและห่มผ้าให้ พูดคนเดียวอย่างสมใจ...
“ถือว่าบุษช่วยเร่งขั้นตอนให้นะคะ แยกกันอยู่ก็ดีแล้ว จะได้หย่ากันเร็วๆ” แล้วเธอก็หยิบมือถือมาโทร.ออก
อุรวสารับสายถามว่าโทร.มาดึกๆอย่างนี้หวังว่าคงมีเรื่องสำคัญพอ?
“ไม่รู้วสาจะเห็นว่าสำคัญไหม แต่สำหรับอาสำคัญฮึ... คอนโดวสาน่าอยู่มาก ตบแต่งเองหรือเปล่าจ๊ะ”
อุรวสาร้อนผ่าวไปทั้งตัว เมื่อรู้ว่าบุษบาบัณอยู่ที่ห้องกับแสงฉาน ถูกบุษบาบัณพูดยั่วจนทนไม่ได้ก็พาน้องๆ ลิ่วไปที่คอนโดอย่างดุดันจนอินทุอรติงว่า “เจอหน้าอาบุษแล้วคุยกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งรีบถล่ม” ผิดกับอันตราที่ยุว่าอัดให้แหลกเลย!
พอเข้าห้อง เห็นบุษบาบัณนอนกอดแสงฉานอยู่บนเตียง อันตราด่าทันทีว่าเป็นอาประสาอะไรแย่งสามีหลาน!
“อาบุษทำร้ายพวกเราทำไมคะ” อินทุอรยังอ่อนหวาน ถูกบุษบาบัณสวนมาอย่างหยาบคายว่า
“ทีแกแย่งผัวฉันล่ะ ทำไมไม่คิดบ้าง!”
“ทุเรศ! โดนผัวทิ้งเองแล้วโทษคนอื่น” อันตราสวนทันควัน
ผู้หญิงสี่คนโต้เถียงกันลั่นห้อง แต่แสงฉานก็ยังไม่ตื่น อุรวสารู้ทันทีว่าผิดปกติ พอถูกบุษบาบัณด่าอันตราว่า
“นังเด็กก้าวร้าว โดนเอาคืนแล้วเจ็บไหมล่ะ พี่สาวสุดที่รักของพวกแกกำลังจะโดนผัวทิ้ง!”
อุรวสาก้าวสวบๆ เข้าไปตบหน้าบุษบาบัณฉาดหนึ่ง บอกว่า “ตบให้อาบุษฉลาดขึ้น แสงนอนหลับลึกขนาดนี้ ไม่มีทางทำอะไรผู้หญิงคนไหนได้ แผนวางยานอนหลับผู้ชาย มันสิ้นคิดสิ้นดี!!” ด่าแล้วตบอีกฉาดหนึ่ง “ส่วนตบครั้งที่สอง วสาเอาคืนให้น้อง อย่าสบประมาทหนูอินอีก!”
อุรวสาลงโทษบุษบาบัณจนสะใจแล้วจะกลับ อินทุอรถามว่าแล้วแสงฉานล่ะ?
“หมดฤทธิ์ยานอนหลับคงตื่นเองแหละ” ว่าแล้วเดินนำน้องๆกลับไป
บุษบาบัณแค้นใจถลาตามออกมาจะเอาเรื่อง พอบุษบาบัณออกมา ประตูห้องก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ
แต่บุษบาบัณไม่เพียงเอาคืนอะไรไม่ได้ พอเธอกระชากไหล่อันตราหันมาก็ถูกอันตราซัดครึ่งปากครึ่งจมูกจนหน้าหงาย กุมจมูกโวยวายว่าถ้าดั้งหักจะแจ้งตำรวจจับ
“อินจะฟ้องกลับว่าเมื่อวันก่อน ที่โรงพยาบาลอาบุษตบหน้าทำร้ายร่างกายอิน อินจะให้อาสิตเป็นพยาน อาบุษต้องเจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ!” บุษบาบัณชี้หน้าว่าสามพี่น้องร้ายพอกัน อินทุอรที่ปกติอ่อนหวาน แต่วันนี้เผ็ดร้อนขึ้นมาจนไม่น่าเชื่อ สวนไปว่า “พี่ๆปกป้องอิน อินก็ต้องปกป้องพี่ๆ แต่คนไม่ดีอย่างอาบุษไม่มีใครอยากปกป้อง แม้แต่สามีเก่าตัวเอง!”
บุษบาบัณถูกพูดแทงใจดำแค้นจนเต้นเร่าๆ ทั้งอุรวสาและอันตรามองอินทุอรทึ่ง สามพี่น้องหัวเราะกันแล้ว จะพากันกลับ บุษบาบัณลุกขึ้น หันกลับจะเปิดประตูห้องเข้าไป ปรากฏว่าประตูล็อก เธอแผดเสียงกรี๊ดๆอยู่ตรงนั้นแทบจะคลั่ง!
ooooooo
บุษบาบัณกลับถึงบ้านอย่างเจ็บแค้น เพราะไม่เพียง ตีครอบครัวของอุรวสากับแสงฉานไม่แตกยังถูกสามพี่น้อง รุมกระหน่ำทั้งด่าทั้งตบเสียจนแทบไม่มีชิ้นดี
“ไม่มีทาง! ฉันจะไม่มีวันรามือจากแสงฉาน” บุษบาบัณคำราม เอามือลูบรอยที่ถูกอุรวสาตบ “นังอุรวสาทำให้ฉันเจ็บมากเท่าไหร่ ฉันต้องเอาคืนมากเป็นร้อยเท่า นังสามพี่น้องมันรุมฉัน ฉันก็จะทำลายมัน รวมทั้งภิสิตด้วย”
“แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา ความแค้นก็คือไฟ เธอถือเอาไว้ มือเธอก็ไหม้ ใจเธอก็ร้อน มันมีแต่พังกับพัง แม้แต่ตัวเธอเอง” ศศิพิมลเตือนสติหลังจากฟังบุษบาบัณระเบิดอารมณ์อยู่นาน แต่ไม่ได้ผล เมื่อบุษบาบัณฟังแล้วตาวาวแค้นตะโกนลั่น
“ฉันไม่แคร์! ขอให้ฉันได้แก้แค้นก็พอใจแล้ว!”
ooooooo
แสงฉานรู้สึกตัวตื่นเอาเที่ยง งงตัวเองว่ามานอนที่เตียงได้ยังไง หยิบมือถือดูเห็นมิสคอลก็พึมพำ
“วสาโทร.มา...เมื่อวานเย็น” วางมือถือแล้วคิดๆ ก่อนตัดสินใจลุกพรวดออกไป
อุรวสาอยู่ที่ออฟฟิศ เธอคุยโทรศัพท์มือถือกับอัษฎา บอกว่ากำลังเครียดกับงาน พรุ่งนี้จะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อ
พอเธอวางสาย เสียงเคาะประตูดังขึ้น พงษ์ชัยเปิดประตูเข้ามาพร้อมอาหารหลายกล่องล้วนดูดีน่าทาน
พงษ์ชัยปากหวานว่าเดาไม่ผิดว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยซื้อมาให้ อุรวสามองด้วยสายตาห่างเหินไว้ตัว เธอขอบคุณแต่วันหลังไม่รบกวนดีกว่า พงษ์ชัยบอกว่าตนเข้าใจว่าเธอกำลังเจอปัญหาหลายอย่าง ตนเองก็เคยตกอยู่ในสภาพนี้ แล้วเล่าความเป็นมาของตัวเองให้ฟังอย่างมีเจตนาแอบแฝงว่า
“ผมมาจากครอบครัวที่แตกแยก ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อแม่ผมทะเลาะกันตลอดเวลา ญาติพี่น้องพลอยไม่มีความสุขไปด้วย สุดท้ายพอพวกเขาหย่ากัน ทุกคนกลับสบายใจขึ้น ผมเองก็มีความสุขที่ไม่ต้องเห็นความขัดแย้งในบ้าน บางทีความขัดแย้งถ้ามันจบลงที่การแตกหักมันอาจจะดีกับทุกฝ่ายก็ได้”
อุรวสาฟังอึ้งเพราะเรื่องของเขาคล้ายปัญหาของตนในปัจจุบัน พงษ์ชัยอ่านใจเธอออก พูดต่ออย่างมีเป้าหมายว่า
“ปัญหาในครอบครัวเลยทำให้ผมชินที่จะอยู่กับตัวเอง มีตัวเองเป็นเพื่อน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ตัวคนเดียว มันก็มีเหงาอยู่บ้าง” อุรวสาติงว่าเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่แวดล้อมด้วยคนมากมายไม่น่าเหงา “หึๆ น้อยไปสิครับ กลับบ้านไปเจอแต่บ้านเปล่าๆ บางทีมันก็แย่เหมือนกัน ผมอยากมีครอบครัว แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เข้าใจว่า ‘งาน’ สำคัญกับผมมากแค่ไหน”
อุรวสานิ่งไป มีความรู้สึกลึกๆว่าพงษ์ชัยเหมือนตน ที่รักงานมาก
ooooooo
คนเจ้าเล่ห์และเจนสังคมอย่างพงษ์ชัย มองออกว่าอุรวสาคิดอย่างไร ก่อนกลับยังถามเมื่อเธอเดินมาส่งที่รถว่าเย็นนี้อยากทานอะไรจะซื้อมาให้
“คงไม่มีลูกค้าคนไหนดูแลลูกจ้างดีเท่าคุณพงษ์ชัยอีกแล้วนะคะ” อุรวสาพูดด้วยความรู้สึกเป็นมิตรกับเขามากขึ้น
“หึๆ ผมแค่อยากให้คุณทำงานของผมเสร็จตามเวลาครับ” พงษ์ชัยพูดให้เป็นบรรยากาศการทำงานมากกว่าอย่างอื่น
อุรวสาขอบคุณ แต่วันนี้ตนจะกลับไปทานข้าวที่บ้าน แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมา พงษ์ชัยรีบประคองถามว่าเป็นอะไร จะให้ตนพาไปหาหมอไหม เธอบอกว่าไม่เป็นไร แค่เครียดแล้วก็พักผ่อนน้อย เดี๋ยวก็หาย
“แก!!!”
เสียงแสงฉานทั้งโกรธทั้งแค้นพุ่งเข้าชกพงษ์ชัยด้วยความโมโหสุดขีดจนพงษ์ชัยล้มลงไปกอง อุรวสาตกใจเรียกปราม แต่แสงฉานเลือดขึ้นหน้าแล้ว เขาตวาดพงษ์ชัย “หยุดยุ่งกับเมียฉันได้แล้ว”
อุรวสาบอกแสงฉานให้เลิกบ้าได้แล้ว นี่คืองานแยกกันไม่ออกหรือ แสงฉานโต้ว่าตนแยกออกแต่ “มัน” เอางานบังหน้า เธอบอกให้พอเถอะตนเหนื่อย แสงฉานฉุดมือบอกว่าเหนื่อยก็กลับบ้าน แต่อุรวสารั้งไว้ มองหน้าเขาพูดขึงขังมากว่า
“ถ้าแสงยังเป็นแบบนี้ มันจะไม่มีคำว่าเราอีกต่อไป!” สะบัดจากแสงฉานแล้วเดินเข้าออฟฟิศทันที แสงฉานมองตามไปอย่างหมดแรง ในขณะที่พงษ์ชัยแม้จะถูกต่อยปากจนล้มแต่ก็ยิ้มสะใจกับความพ่ายแพ้ของแสงฉาน
ooooooo
ที่ครัวบ้านป้าอัปสร บรรยากาศสดชื่นมาก เมื่อพวกป้าๆ ช่วยกันทำขนมช่อม่วง อินทุอรก็อ่านกาพย์ชมเครื่องคาวหวานเป็นทำนองเสนาะเสียงหวานเพราะพริ้ง จนภิสิตแอบมองอย่างชื่นชมไม่รู้ตัว
พออินทุอรอ่านจบ ป้าอัปสรก็ยกมือส่งสัญญาณให้สองป้าเห่รับพร้อมกัน ภิสิตยิ้มทั้งขำทั้งชื่นชม โดยเฉพาะชมอินทุอรว่าไม่นึกว่าคนสมัยใหม่อย่างหนูอินจะอ่านทำนองเสนาะเป็น เธอบอกว่าเคยเรียนที่โรงเรียน
ป้าอัปสรชวนชิมขนมกัน ชมอินทุอรว่า “คนอะไรเสียงก็ดี เล่นดนตรีก็เพราะ งานบ้านงานเรือนก็เหมาะใครได้ไปเป็นขวัญเรือนก็เหมือนได้เพชรไปประดับมงกุฎ สำหรับหนูอิน มีคนตาถึงแล้วนะ แต่ใจไม่ถึง จริงไหมตาสิต”
ป้าอัปสรหักมุมเสียจนภิสิตไปไม่เป็น ตอบเลี่ยงๆว่า
“ผู้หญิงที่ดีพร้อมอย่างหนูอิน ต้องเจอผู้ชายดีๆ ที่เหมาะสมอย่างแน่นอน แล้วอย่าลืมพามาให้อารู้จัก จะ ได้ช่วยดูว่าดีจริงหรือเปล่า” ภิสิตฝืนยิ้มให้ร่าเริง อินทุอรเองก็ฝืนยิ้มตอบเสียงแผ่วเกือบไม่ได้ยินว่าค่ะ ส่วนพวกป้าๆ ก็หัวเราะกันคิกคัก
ooooooo
อินทุอรกลับมาที่โรงพยาบาล อัษฎาสังเกตเห็นลูกสาวสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก แทนที่จะดีใจกลับระแวงว่าหนูอินมีแฟน ระแวงว่าป้าอัปสรพาผู้ชายมาจีบหนูอิน พอคิดจุดนี้ก็ตึงเครียดขึ้นทันที
บราลีกลัวอัษฎาจะรู้เรื่องภิสิต ติงว่า “คุณป่วยอยู่ ลูกจะไปมีแก่ใจคิดเรื่องนั้นได้ยังไงคะ ที่หนูอินสบายใจก็เพราะอาการคุณดีขึ้นมากกว่า” อัษฎาพยักหน้า บราลีจึงค่อยโล่งอก
แต่แล้วอัษฎาก็สงสัยอีกว่าทำไมกลุ่มทุนต่างชาติถึงแห่กันมาซื้อหุ้นบริษัทเรา ทั้งที่ไม่มีข่าวการลงทุนใหญ่ๆ ทั้งยังมีข่าวเชิงลบเรื่องการเงินและการป่วยของซีอีโอ เดาว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง สมศักดิ์สงสัยว่าจะเป็นภิสิตเพราะเป็นทูตหลายประเทศ รู้จักคนเยอะ อัษฎาคิดว่าไม่น่าใช่เพราะถ้าเป็นภิสิตเขาก็ต้องบอกตน
แม้อัษฎาจะเชื่อบราลีเรื่องอินทุอร แต่วันนี้พอคุยกับสมศักดิ์เสร็จเห็นอินทุอรคุยโทรศัพท์ยิ้มแย้มอ่อนหวานอยู่ก็ถามว่าคุยกับใคร อินทุอรตกใจ ปดพ่อว่าเพื่อนสมัยเรียน ก็ถูกถามอย่างจับผิดอีกว่าทำไมต้องออกมาคุยข้างนอก
“อินไม่อยากรบกวนคุณพ่อกับคุณอาศักดิ์ เห็นว่ากำลังคุยเรื่องงานซีเรียสกันอยู่”
“ก็แล้วไป พ่อคิดว่าหนูอินแอบไปคุยกับแฟนเสียอีก” พูดแล้วหันไปขึ้นเตียง อินทุอรถอนใจโล่งอก ไม่รู้ตัวว่าถูกคุณพ่อแอบมองอย่างสงสัยจับผิดอยู่
ooooooo
วันนี้เวศม์เอาซองขาวไปที่ฟิตเนส ไม่เจออันตราเลยฝากพนักงานไว้ พอออกมาก็เจอศศิพิมล เธอบอกว่าไปหาที่บ้านไม่เจอคิดว่าเขาต้องมาที่นี่เลยตามมา
เวศม์ติงว่าน่าจะโทร.บอกก่อนจะได้ไม่ต้องมาถึงที่นี่ ศศิพิมลถามว่ากลัวอันตราเข้าใจผิดหรือ ยืนยันว่าเรื่องของเราจบแล้ว ตนจะอธิบายให้อันตราฟังเอง เวศม์บอกว่าเธอคงไม่อยากฟังหรอก แล้วจับแขนศศิพิมลพาออกจากฟิตเนส
อันตรามาเห็นพอดี! เธอสะบัดหน้าพรืดไปทางอื่น เวศม์หน้าเสีย ศศิพิมลถามเวศม์ว่ามีเรื่องอะไรกันหรือ? เวศม์ไม่ตอบพาเดินไปที่ลานจอดรถ ปรากฏว่าอันตราเดินตามมากระชากไหล่เวศม์เอาซองเงินคืนบอกว่าไม่ต้องการเงินของเขา
เวศม์เล่นแง่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาเพราะตนไม่ได้ทำผิดกฎ ยืนกรานจะใช้ฟิตเนสที่นี่จนกว่าจะหมดสัญญา
ทั้งสองโต้เถียงกันรุนแรง อันตราไม่ยอมรับเวศม์เป็นสมาชิกบอกว่าแม้แต่หน้าเขาตนก็ไม่อยากเห็น แต่เวศม์ยืนยันจะอยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะยกโทษให้ ตนยอมให้เธอต่อยถ้าทำให้เธอสบายใจขึ้น
โต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แล้วอันตราก็หันหลังเดินกลับไป ศศิพิมลมองทั้งสองอย่างเศร้าใจที่ตัวเองกลายเป็นคนนอกของเวศม์ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง!
เมื่อกลับมาถึงบ้านเวศม์ ศศิพิมลจึงบอกธุระของตนว่า เพื่อนชวนลงทุนเปิดร้านอาหารไทยที่โน่น ตนจะยืมเงินเขาสักก้อนพอตั้งหลักได้ก็จะรีบคืน เวศม์ให้ด้วยความเต็มใจบอกว่าดีใจที่เธอคิดจะยืนด้วยขาตัวเองไม่ต้องพึ่งนายพงษ์ชัยต่อไป
“ขอบใจจ้ะ” ศศิพิมลยิ้มแต่น้ำตาคลอทั้งเพราะความรักและซาบซึ้งน้ำใจเขา
“เพราะพี่เหมือนพี่สาวผมคนนึง” เวศม์ย้ำจริงใจ แต่ทำให้ศศิพิมลเศร้ายิ่งขึ้น
ooooooo
แสงฉานกลับถึงคอนโด ไม่ว่ามองไปตรงไหน ก็เศร้า วังเวงไปหมด ได้แต่นั่งซึมด้วยความคิดถึงอุรวสาสุดหัวใจ
พงษ์ชัยฉวยโอกาสที่ทั้งสองยังไม่คืนดีกัน รุกให้ร้าวฉานกันยิ่งขึ้น วันนี้ถึงกับมาหาอุรวสาถึงที่บ้านอัษฎา แสดงความห่วงใยที่เธอหน้ามืดบ่อยๆ เมื่ออุรวสาปรารภว่า ปัญหาชอบมาพร้อมๆกัน ทั้งเรื่องงาน เรื่องคุณพ่อและเรื่องส่วนตัว พงษ์ชัยได้ทีพูดอย่างผู้มีประสบการณ์แต่จงใจยุว่า
“มนุษย์งานอย่างเรา ต้องรู้จักตัดเรื่องไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต โฟกัสแค่เรื่องสำคัญๆ อย่างเรื่องงานกับคุณพ่อก็พอ” เมื่อเธอบอกว่ากำลังพยายาม พงษ์ชัย
ยิ่งได้ใจยุต่อ “ที่ผมไม่แต่งงานเพราะกลัวชีวิตคู่มาถ่วงให้งานไม่สำเร็จ เจอคนเข้าใจดีก็ดีไป แต่เจอคนไม่เข้าใจ ทำยังไงก็ไม่เข้าใจ เสียเวลางานเสียเวลาชีวิต เราไม่มีความสุข พ่อแม่เราก็ทุกข์”
พงษ์ชัยยุจนอุรวสาเครียดปวดหัวตาพล่าหน้ามืดเซจะล้ม พงษ์ชัยรีบช้อนร่างเธออุ้มเข้าไปในบ้าน
“ออกไป!” แสงฉานเข้ามาเจอภาพบาดตาบาดใจตวาดไล่แล้วเข้าผลักพงษ์ชัยออกไป ฝ่ายนั้นอ้างว่าตนเป็นแขกของอุรวสาเขาไม่มีสิทธิ์ไล่ แสงฉานสวนว่าแต่ตนเป็นสามี พงษ์ชัยบอกให้รอภรรยาเขาตื่นก่อนแล้วถามว่าเธออยากให้ใครอยู่ใครไป แสงฉานฉุนขาดตวาดว่า “แกทำอะไรวสา!”
“ไม่ได้ทำ แค่หวังดีอยากให้คุณวสามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องอยู่กับสามีห่วยๆ”
แสงฉานเลือดขึ้นหน้าต่อยโครมที่หน้า แต่พงษ์ชัยหลบทันและสวนกลับชกปากแสงฉานจนล้ม แม่บ้านตกใจเข้ามาถามว่าอะไรกัน พงษ์ชัยจึงหุนหันกลับไป ไม่นานอุรวสาก็รู้สึกตัว แสงฉานดีใจมากถาม “เป็นไงบ้างครับที่รัก” อุรวสาไม่ตอบแต่กลับถามว่า “คุณพงษ์ชัยล่ะ” ทำให้แสงฉานเสียความรู้สึกมากตอบหน้าตึงว่ากลับไปแล้ว
เห็นปากแสงฉานแตกเธอถามว่าปากเป็นอะไร เขาไม่ตอบยกอ่างน้ำที่เช็ดตัวให้เธอไปห้องน้ำ ก็พอดีพงษ์ชัยโทร.มา พอเธอกดรับเห็นเขากำลังซับเลือดที่มุมปากอยู่ในจอ ไม่ทันถามพงษ์ชัยก็บอกก่อนว่า
“เมื่อกี๊ผมลืมบอกคุณว่ากำลังให้ลูกน้องเซิร์จชื่อทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาผ่าตัดให้คุณอัษฎา” เธอขอบคุณถามว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นตนไม่รู้เรื่องเลย “คุณเป็นลมผมก็เลยพามาพักในบ้าน แต่คุณแสงเข้าใจผิดก็เลยซัดผมซะน่วม แค่นี้ก่อนนะครับผมต้องไปหาหมอ”
อุรวสาหน้าเสีย พอดีแสงฉานออกจากห้องน้ำ เธอลุกยืนมองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจ แสงฉานรีบบอกว่า
“ที่รัก...ลุกขึ้นมาทำไม เดี๋ยวหน้ามืดอีกนะ”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” อุรวสาหน้าเครียดเสียงเข้มจนแสงฉานชะงัก
ooooooo










