ตอนที่ 7
คุณหญิงยื่นมือไปรับหนูน้อยจากบานเย็นไปอุ้ม ยิ้มแย้มชื่นชมว่าหน้าตาน่าเกลียดน่าชัง ถามว่าชื่ออะไร เมื่อบานเย็นอึกอัก คุณหญิงเลยชิงตัดบทว่าถ้ายังไม่ได้ ตั้งตนจะตั้งให้เอง เสนอว่า
"ลูกชายพ่อกิติกับแม่อุษาเขาชื่อเกียรติกร พ้องชื่อพ่อกิติ เจ้าหนูนี่ใช้ชื่อ ยิ่งยง อิงชื่อเยื้อนของคุณตา" พูดแล้วคุณหญิงก็ชะงักที่พลั้งปากเอ่ยชื่อเยื้อนออกมา พอบานเย็นถามว่าคุณตาไหน คุณหญิงก็กลบเกลื่อนว่า "คุณตาไหนก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันชอบชื่อนี้ ส่วนชื่อเล่นฝ่ายโน้นเขาชื่อตาอ๊อด เราเรียกเจ้าหนูนี่ว่า ตาอู๊ดก็แล้วกัน จะได้รู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ไปอยู่ที่พระนครจะได้ไม่มีใครสงสัย"
บานเย็นใจหายวาบถามว่าหมายความว่าอย่างไร คุณหญิงจะให้ตนกับลูกไปอยู่พระนครหรือ คุณหญิงมองหน้า บานเย็นจงใจพูดจิกเข้าถึงหัวใจว่า
"ไม่ใช่หล่อน ตาอู๊ดคนเดียว"
บานเย็นรู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกจากร่าง ผวาไปหาอ้อนวอนว่าตนจะเลี้ยงลูกเอง คุณหญิงถามสวนทันทีว่าจะเลี้ยงให้เป็นโรคเรื้อนตามกันหรือ ทำให้บานเย็นชะงักเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
คุณหญิงอ้างว่าบานเย็นเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หายขาด หรือจะให้ลูกแขนขาด้วนเสียก่อน สามัญสำนึกของความเป็นแม่ถึงจะบังเกิด
หวินฟังอยู่ด้วยทนไม่ได้เสนอตัวจะเลี้ยงตาอู๊ดให้เอง เพราะที่ผ่านมาตนก็เป็นคนเลี้ยงเสียเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ถูกคุณหญิงตวาดให้หุบปาก ขู่ว่านี่ตนยังไม่ได้ชำระความที่หวินกับเพิ่มปิดบังเรื่องบานเย็นคลอดมาตั้งเดือนแล้วเลย
บานเย็นว้าวุ่นใจเอาแต่ร้องไห้ คุณหญิงหันมาหว่านล้อมต่ออีกว่า
"อีกเรื่องที่สำคัญมากก็คือเรื่องการศึกษานะนังเย็น หล่อนจะให้ลูกไปเรียนเขียนอ่านในวัดอย่างนั้นหรือ ที่พระนครมีโรงเรียนฝรั่งดีๆมากมาย มหาวิทยาลัยที่วิทยาการดีๆก็มี หล่อนจะปล่อยให้ลูกงมโข่งอยู่ที่ไทรโศกนี่หรือยังไง"
"เย็นทราบค่ะว่าคุณหญิงหวังดีกับลูกของเย็น แต่รอให้ตาหนูโตกว่านี้อีกสักนิดไม่ได้หรือคะ"
"โตจนติดโรค โตจนรู้ความแล้วว่าใครเป็นแม่ ใจคอหล่อนคงอยากให้ลูกรู้เสียเต็มประดาสินะว่ามีแม่เป็นโรคเรื้อนน่ะ" คุณหญิงใช้ไม้ตาย แม้จะพูดเรียบๆแต่บานเย็นรู้สึกเหมือนถูกคมมีดกรีดเข้ากลางใจ น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยนึกถึงความจริงข้อนี้เลย...
บานเย็นตัดสินใจให้เพิ่มช่วยตามใบ้มาพบที่เฉลียงเรือนพัก ใบ้งงๆว่าบานเย็นเรียกไปทำไมทั้งที่เพิ่งไล่ออกมาหยกๆ แต่เมื่อขึ้นไปเห็นบานเย็นนั่งอยู่กับหวินทั้งสองมองตาอู๊ดที่หลับอยู่ในกระด้งไร้เดียงสานัก เมื่อใบ้เข้าไปบานเย็นเรียกให้นั่งลง ใบ้ทรุดนั่งที่หัวบันได บานเย็นเรียก
"เข้ามานั่งใกล้ๆตาหนูนี่" เมื่อใบ้คลานเข้าไปเธอหยิบสายสิญจน์ที่วางอยู่บนพานยื่นให้ "ผูกข้อมือให้ตาหนูเสียสิ เดี๋ยวคุณหญิงจะพาตาหนูไปอยู่พระนครแล้ว เราอาจจะ...ไม่ได้เห็นหน้าแกอีก..."
บานเย็นพูดได้แค่นั้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ใบ้เจ็บแปลบเข้าถึงหัวใจปากสั่นระริกน้ำตาไหลพรากรับสายสิญจน์ จากบานเย็นผูกข้อมือหนูน้อยด้วยมือสั่นเทา ปากก็พึมพำไม่เป็นภาษา แต่ทุกคนเดาได้ว่าใบ้กำลังอวยพรให้ลูก
บานเย็นสะอื้นฮัก เพิ่มน้ำตาไหลเป็นทาง ส่วนหวินทนไม่ได้ร้องไห้โฮออกมา คุณหญิงเมินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่ยอมแสดงความหวั่นไหวอะไรออกมา เมื่อใบ้ผูกข้อมือลูกแล้วประคองเท้าหนูน้อยขึ้นมาเอาหน้าเกลือกหอมอย่างแสนอาลัย คุณหญิงก็ตวาดว่า
"พิรี้พิไรอยู่นั่นแหละ ออกมาได้แล้วเจ้าใบ้ กลิ่นโคลนสาบควายไม่ติดตัวหลานข้าแล้วหรือ"
ใบ้ค่อยๆวางเท้าหนูน้อยที่ประคองขึ้นจูบลง น้ำตาไหลพราก พอดีดำวิ่งเข้ามาร้องบอกว่าท่านเจ้าคุณยงยศกลับมาแล้ว รอคุณหญิงอยู่ที่ท่าเรือ
บานเย็นลุกขึ้นขอไปเก็บข้าวของของลูก คุณหญิงไม่เอาถามว่าใครจะกล้าใช้ เดี๋ยวเชื้อโรคพานติดไปถึงคนที่พระนครเข้าให้ สั่งให้ส่งตาอู๊ดให้เร็วๆ
บานเย็นหันไปมองลูก อาลัยเหมือนใจจะขาด...
หวินเป็นคนอุ้มอู๊ดไปส่งที่เรือ คุณหญิงรับไป ไล่หวินให้กลับไปเสียแล้วสั่งตาผาดคนขับเรือให้ออกเรือเลย หวินจึงจำต้องขึ้นมายืนที่ท่ากับเพิ่มดูเรือที่นำตาอู๊ดห่างออกไปทุกที...ด้วยความรู้สึกใจหาย...
ooooooo
บานเย็นทนดูลูกถูกพรากไปต่อหน้าไม่ได้ หลบไปนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไทร ใบ้เองก็ไปนั่งอีกฟากหนึ่งของต้นไทร ต่างเจ็บปวดจนแทบจะหัวใจสลายที่ลูกถูกพรากไปจากอก
บานเย็นยังคิดไม่ตกกับการที่คุณหญิงหาข้ออ้างยื้อแย่งตาอู๊ดไปให้ได้ ด่าว่าต่างๆนานาว่าไม่มีจิตเมตตาลูกเอาเสียเลย ทำให้ลูกเกิดมาแล้วจะฆ่าให้ตายกับมือเยี่ยงนี้มันเห็นแก่ตัวชัดๆ เพราะถ้าตาอู๊ดโตขึ้นมารู้ว่าแม่ตัวเองเป็นโรคเรื้อนและยังถ่ายทอดโรคนี้ให้ด้วย นี่แหละเป็นการฆ่าลูกทั้งเป็น ถ้าดึงดันจะฆ่าลูกเสียให้ได้ก็ฆ่าเสียเดี๋ยวนี้เลย
ไม่พูดเปล่า คุณหญิงยังคว้าตาอู๊ดขึ้นมาทำท่าจะฟาดลงพื้นด้วย ทำให้บานเย็นตกใจร้อง ห้ามสุดเสียง ร้องไห้โฮโผเข้ากอดคุณหญิงพร่ำบอกว่า "เย็นยอมแล้วค่ะคุณหญิง เย็นยอมแล้ว!!"
คุณหญิงถีบบานเย็นกระเด็นไปอย่างรังเกียจ ใบ้ทนไม่ได้กระโจนเข้าแย่งและทำท่าจะผลักคุณหญิง บานเย็นเห็นดังนั้นพุ่งเข้าดึงมือใบ้ไว้ตวาดไม่ให้ทำอะไรคุณหญิง เพราะ คุณหญิงเปรียบเสมือนแม่แท้ๆของตน ถ้าจะทำคุณหญิงก็ให้ทำตนแทนดีกว่า
พอใบ้ชะงักคลายมือจากคุณหญิง ก็ถูกคุณหญิงตบหน้าไม่ยั้ง ทั้งตบทั้งด่าอย่างบ้าคลั่ง จนใบ้เลือดออกทั้งจมูก ทั้งปากคุณหญิงก็ยังไม่ยอมหยุด บานเย็นขอร้องให้พอพร้อมทั้งอุ้มลูกส่งให้ คุณหญิงจึงยอมหยุดตบตีรับตาอู๊ดไปยิ้มอย่างผู้ชนะ!
นั่นคือเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปหลัดๆ บานเย็นคิดแล้วเจ็บร้าวจนทนไม่ได้ลุกวิ่งอ้าวออกไป ในขณะที่ใบ้ยังนั่งเหมือนหุ่นหน้าตาเขรอะไปด้วยเลือดอยู่ที่เดิม
ooooooo
บานเย็นวิ่งเตลิดไปตามริมตลิ่ง หมายไปดักดูเรือธีระรัตน์ที่บ่ายหน้าเข้าพระนคร อยากเห็นลูกอีกสักครั้ง เธอเห็นเรือกำลังจะพ้นโค้งน้ำอยู่แล้ว ทนไม่ได้ ตะโกนสุดเสียง "ตาหนู...ลูกแม่..."
คุณหญิงสะดุ้งเล็กน้อย ส่วนท่านเจ้าคุณยงยศหันมอง ถามคุณหญิงว่าใครกัน
"เอ่อ...คนบ้าน่ะค่ะ มันคลอดลูกตายเลยเห็นใครอุ้มเด็กไม่ได้ พานเหมาว่าเป็นลูกตัวเองไปเสียหมด ไอ้ผาด...รีบเร่งเครื่องออกไปเร็วๆสิ เดี๋ยวก็ได้ถึงพระนครค่ำมืดกันพอดี" คุณหญิงเร่งผาดแล้วหันมายิ้มกับท่านเจ้าคุณฯเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ไม่เหลียวมองไปข้างหลังอีกเลย
ooooooo
บานเย็นเห็นเรือธีระรัตน์แล่นออกไปไกลเท่าไรก็เหมือนหัวใจแหลกสลายไปเพียงนั้น สุดท้ายเธอตะโกนสุดเสียง "ตาหนู...รอแม่ด้วย..." แล้วกระโจนลงน้ำไปทันที
เสียงตะโกนของบานเย็นดังไปถึงต้นไทรใหญ่ ใบ้ที่กำลังนั่งเป็นหุ่นตาลอยอยู่นั้นสะดุ้งจากภวังค์ลุกไปดูก็ไม่เห็นบานเย็นแล้ว ฉุกคิดได้ว่าบานเย็นคงวิ่งตามเรือไป จึงลุกวิ่งไปทางนั้น ไปถึงปรากฏว่าผิวน้ำตรงที่บานเย็นกระโดดลงไปนั้นสงบนิ่งราบเรียบ คิดว่าเธอคงกลับไปที่เรือนแล้ว
ขณะใบ้กำลังหันกลับนั่นเอง เหลือบเห็นรองเท้าของบานเย็นลอยขึ้นมา ใบ้พุ่งลงไปทันที แหวกดำว่ายควานหา ก็ไม่เจอตัว ทะลึ่งพรวดขึ้นมาหายใจแล้วดำลงไปอีก คราวนี้เห็นบานเย็นนอนนิ่งอยู่ที่ท้องน้ำแล้ว ใบ้ว่ายเข้าไปคว้าตัวเธอลากขึ้นมาบนฝั่ง
บานเย็นหมดสติไปแล้ว ไม่ว่าใบ้จะจับเขย่าอย่างไรก็ไม่รู้ตัว สุดท้ายใบ้ยกร่างบานเย็นพาดบ่าจะพากลับบ้าน ระหว่างวิ่งมานั่นเอง บานเย็นสำลักน้ำออกมาติดๆกันหลายครั้ง
เมื่อพากลับมาถึงเรือน เพิ่มกับหวินช่วยกันปฐมพยาบาล จนบานเย็นเริ่มรู้สึกตัว เธอขยับและพลิกตัวเบาๆ ทุกคนที่เฝ้าอยู่ต่างโผเข้าหาด้วยความดีใจ พอลืมตาดูก็เห็นทุกคนจ้องอยู่ด้วยความห่วงใย
"เย็น...เย็นยังไม่ตายหรือคะ" บานเย็นถามทบทวน ความจำลำดับเรื่องได้ พลางลุกขึ้นนั่ง เพิ่มรีบบอกว่าใบ้เป็นคนไปช่วยเธอขึ้นมาจากน้ำ บานเย็นหันไปเกรี้ยวกราดใส่ใบ้ทันที "มันกงการอะไรของนาย นายมาช่วยฉันทำไม"
"หนูเย็น...ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะจ๊ะ" หวินทักท้วงกับท่าทีเกรี้ยวกราดของบานเย็นจนใบ้หน้าจ๋อย
"เย็นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจ้ะพี่หวิน เย็นไม่เหลือใครแล้ว เจ้าคุณพ่อก็มาจากไป ซ้ำลูกรักยังถูกพรากออกจากอก เย็นไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน เย็นอยากตาย... อยากตาย..."
บานเย็นกำมือทุบที่นอนอย่างไม่รู้จะระบายอย่างไร ใบ้รีบกระโดดขึ้นไปจับมือเธอไว้กันไม่ให้ทำร้ายตัวเอง
บานเย็นผลักใบ้จนหงายไปกับที่นอน ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
"อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวฉัน แล้วก็ไม่ต้องคิดหวังดีกับฉันอีก ฉันไม่ตายวันนี้ พรุ่งนี้ฉันก็ต้องตาย นายไม่ได้ยินที่คุณหญิงพูดหรือว่าฉันเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ นายไม่เคยเห็นใช่ไหมว่ามันน่ารังเกียจขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นก็ดูเสียให้เต็มตา"
บานเย็นถลกแขนเสื้อให้ใบ้ดูรอยแดงๆ เป็นผื่นทั้งที่แขนที่มือและที่เท้า ใบ้มองอึ้งตาค้าง
"เห็นแล้วใช่ ไหมว่ามันน่ารังเกียจน่าขยะแขยงเพียงใด ถ้าไม่อยากติดโรคจากฉันล่ะก็ รีบไปให้พ้นหน้าฉันที...ไปสิ...ไป!!!"
แทนที่ใบ้จะถอยห่าง เขากลับโผเข้ากอดบานเย็นไว้ น้ำตาคลอด้วยความสงสารจับใจ บานเย็นยังพยายามกระถดหนี ใบ้คว้ามือที่เป็นผื่นแดงของเธอขึ้นแนบแก้มอย่างแสนรัก ทำให้บานเย็นสะเทือนใจจนครางชื่อเขาออกมาด้วยความสะเทือนใจในความรักของ เขา...
"นายใบ้..."
ooooooo
เมื่อคุณหญิงพาตาอู๊ดไป ถึงบ้านธีระรัตน์ที่พระนคร พอกิติรู้ว่าคุณหญิงจะเอามาให้เลี้ยงเพราะไม่ต้องการให้ตาอู๊ดมีความผูกพัน กับบานเย็น อุษาก็รีบบอกทันทีว่าตนไม่เลี้ยงเพราะแค่ตาอ๊อดคนเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ไม่ยอมเลี้ยงลูก "อีขี้เรื้อน" นั่นอีกเป็นอันขาด
คุณหญิงถามว่าอุษา เลี้ยงตาอ๊อดอย่างไร แค่จะอุ้มก็ยังกลัวเล็บหัก ทุกอย่างก็มีแต่ใช้ให้แววทำ เมื่ออุษายื่นคำขาดว่าไม่เลี้ยงตาอู๊ด คุณหญิงพูดเฉียบขาดว่า
"หล่อน กล้าผลักไสเจ้าของมรดกไทรโศกตัวจริงออกไปให้พ้นตัวก็ตามใจ ดี...ฉันจะได้รับเลี้ยงเอง ถึงเวลาแบ่งมรดกเมื่อไหร่ ก็อย่าโผล่หน้าไปทำปั้นจิ้มปั้นเจ๋อมีเอี่ยวด้วยก็แล้วกัน"
พูดแล้ว คุณหญิงอุ้มตาอู๊ดออกไป อุษาหน้าเสียรีบดันกิติให้ไปง้อคุณหญิง กิติก็แสนจะเชื่อฟังรีบวิ่งตามไปบอกคุณหญิงว่าอย่าถืออุษาเลย คงเหนื่อยเพราะเลี้ยงลูกมาทั้งวัน บอกให้ส่งตาอู๊ดมาตนจะเลี้ยงเอง พอรับทารกจากคุณหญิง
กิติก็โอ๋ราวกับรักเสียเต็มประดา
ooooooo
หลังจากบานเย็นได้รับความช่วยเหลือจากใบ้ และเพิ่มกับหวินช่วยกันคุยชี้ให้เห็นถึงสิ่งควรไม่ควรให้คิดถึงอนาคตและมี ความหวังในชีวิต จนบานเย็นรู้สึกดีขึ้น ตำหนิตัวเองกับเพิ่มและหวินว่า
"เย็น ละอายใจ เมื่อคิดได้ว่าเราไม่ใช่คนที่สูญเสียหรือเจ็บปวดอยู่เพียงลำพังเสียเมื่อ ไหร่ ยังมีคนมากมายในโลกนี้ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียและเจ็บปวดที่หนักหนาสาหัส กว่าเย็นเสียอีก เย็นควรจะยินดีเสียด้วยซ้ำที่ตาอู๊ดไปอยู่ในที่ที่ดี มีชีวิตมีการศึกษาที่ดี ถึงเย็นจะไม่ได้เจอหน้าลูก แต่เย็นก็อุ่นใจที่มีน้าเพิ่มกับพี่หวินอยู่ข้างๆ"
"น้าอยากให้หนู เย็นนึกเสมอว่าเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน จำให้ขึ้นใจว่าอย่างน้อยในโลกนี้ก็มีคนสองคนที่รักและหวังดีกับหนูเย็นอย่าง จริงใจ" เพิ่มพูดอย่างสบายใจ ดีใจที่บานเย็นคิดได้
พอดีใบ้ถือถาดใส่ ถ้วยชามที่เพิ่งล้างเสร็จกลับเข้ามาในครัว หวินเลยรีบพูดขึ้นว่า
"นับ เจ้าใบ้อีกคนก็รวมเป็นสาม" แล้วป้องปากกระซิบกับบานเย็น "ถ้าไม่นับ เดี๋ยวมันอาละวาดอีก"
ใบ้ทำหน้าเหลอหลาไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน บานเย็น เพิ่ม กับหวินเห็นท่าทางของใบ้เลยหันมองหัวเราะให้กัน หยอกใบ้ไปในที
เมื่อบานเย็นจะกลับเรือน ใบ้ถือตะเกียงเดินตามมาส่ง จนใกล้เรือนเธอบอกให้ใบ้กลับไปได้แล้วแต่ใบ้ก็ยังเดินตามไปจนถึงบนเรือน บานเย็นระแวงกลัวจะมีเรื่องอีก หันไปพูดเสียงดังกับใบ้ว่า
"ที่ฉัน ให้นายตามมาส่ง ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเกิดขึ้นอีกนะนาย ใบ้ นายอย่าเข้าใจผิดนะ"
ใบ้รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ทำท่าทางให้รู้ว่าตนแค่อยากมานอนเฝ้าเธอที่เฉลียงเท่านั้น ว่าแล้วใบ้ก็ล้มตัวลงนอนตรงเฉลียงให้บานเย็นสบายใจ บานเย็นรู้สึกผิดที่มองเจตนาของใบ้ผิดจึงหันเดินเข้าห้องไป
จนดึก อากาศเริ่มเย็น ใบ้นอนขดตัวงอเป็นกุ้งอยู่ที่เดิม บานเย็นเปิดประตูออกมาเห็น เธอย้อนกลับเข้าไปเอาเครื่องนอนมาให้ สะกิดให้รู้ตัว พอใบ้ลืมตาเห็นบานเย็นเอาผ้าห่มกับหมอนและเสื่อมาให้ แทนที่จะรับไปปูนอน ใบ้กลับรับไปกอดไว้อย่างซาบซึ้งใจ รู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจทั้งที่ยังไม่ได้ห่มผ้าเลย...
ooooooo
ด้วยความคิดถึงลูก บานเย็นเอาผ้าอ้อมของลูกมากอดดมดอมและอุ้มไว้ในอกร้องเพลงกล่อมราวกับลูก อยู่ในอ้อมกอดตัวเอง ใบ้ที่นั่งคลุมผ้าอยู่ที่เฉลียงก็เหม่อมองพวงปลาตะเพียนที่ตัวเองสานไว้ให้ ลูกด้วยความคิดถึงลูกไม่น้อยกว่าบานเย็น
ขณะนั้นเองมีเสียงปืนดัง ขึ้นหลายนัด ใบ้ลุกพรวดขึ้นเงี่ยหูฟังว่าเสียงปืนดังมาจากทางไหน
ที่ ป่าด้านหลังสวนไทรโศกนั่นเอง ฉัตรพงษ์กับลำดวนที่อุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมกอด พากันวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีตายเมื่อถูกไล่ยิง ทั้งที่ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร
ที่แท้ มันคือทนต์ โจรใจเหี้ยมที่ปล้นฆ่ามานับไม่ถ้วนมันเป็นคนในละแวกนั้น เมื่อพ้นโทษมามันก็ปล้นอีก มันพาสมุนวิ่งไล่ตามฉัตรพงษ์กับลำดวน ตะโกนสั่งสมุน "กุดหัวมันทั้งผัวทั้งเมีย!!"
เสียงปืนดังไปถึงบ้าน ไทรโศก บานเย็น เพิ่ม และหวินพากันมาสังเกตการณ์ เพิ่มสงสัยว่าคงเป็นโจรปล้นบ้านใครแถวนี้ ส่งปืนให้ใบ้กระบอกหนึ่ง สั่งหวินให้พาบานเย็นกับเจ้าดำหลบเข้าไปอยู่ในห้องลงกลอนประตูหน้าต่างให้ แน่นหนาใครเรียกก็อย่าเปิดนอกจากตนกับใบ้
แล้วเพิ่มกับใบ้ก็ระดมคน งานชายพร้อมอาวุธอีก 3 คน วิ่งไปตามทางที่ได้ยินเสียงปืนเมื่อครู่
ปรากฏว่าฉัตรพงษ์กับลำดวนถูกโจรไล่ตามทัน มันยิงทั้งสองคนตายเคียงกัน แล้วทำท่าจะยิงทารกในอ้อมกอดของลำดวน มันสั่งสมุนว่า
"ทำอย่างไร ก็ได้ อย่าให้ใครจำหน้ามันทั้งคู่ได้ก็แล้วกัน"
เพิ่ม ใบ้ และคนงานวิ่งมาถึงพบแต่ศพของฉัตรพงษ์ กับลำดวนนอนตายหน้าเละจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ที่ทุกคนสะเทือนใจคือ มีทารกในผ้าขาวทับอยู่บนอกของแม่เลือดเกรอะ ไปทั้งตัว เมื่อเพิ่มเข้าไปอุ้มขึ้นมา ทารกร้องไห้จ้า เพิ่มรีบให้ใบ้อุ้มทารกกลับบ้านไปทันที
ใบ้อุ้มทารกตรงไปที่ห้อง บานเย็นปรากฏว่าประตูลงกลอนแน่นหนาจะร้องเรียกก็ไม่ได้เลยถีบประตูโครมๆ ทำเอาคนในห้องตกอกตกใจพากันหาอาวุธมาเตรียมป้องกันตัว พอประตูพังปรากฏว่าใบ้อุ้มทารกยืนอยู่ตรงประตู
ooooooo
วางทารกน้อยลงแล้ว ใบ้รีบเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเลือดตามเนื้อตัวหนูน้อยอย่างแผ่วเบาถนอมรัก บานเย็นมองอย่างเวทนาพึมพำอย่างรับไม่ได้ว่าทำไมคนเราถึงได้ใจคอโหดเหี้ยม ถึงเพียงนี้ หวินเองก็บ่นงึมงำว่าเอาเงินเอาทองไปอย่างเดียวไม่ได้รึไง ทำไมถึงต้องยิงกันหน้าเละเหมือนจะฆ่าล้างโคตรกันเลย
"มันก็คงอย่าง นั้นล่ะ ดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้ว ผัวเมียคู่นั้นไม่ใช่คนแถวนี้แน่ อาจจะมีเรื่องมาจากที่อื่นแล้วตามล่าจนมาฆ่ากันตายที่นี่ก็เป็นได้" เพิ่มคาดคะเน
หวินถามว่าแล้วจะจับไอ้โจรห้าร้อยนี่ได้ไหม เพิ่มบอกว่าได้ยินผู้ใหญ่ว่าท่าจะยากเพราะหน้าตาคนตายก็เละเทะเสียจนสืบไม่ ได้ว่าเป็นใคร มาจากไหน
"แล้วหนูคนนี้ล่ะคะ ผู้ใหญ่จะทำอย่างไร" บานเย็นถามอย่างสนใจ
"ไม่มีใครรู้หรอกว่าเด็กคนนี้อยู่ในที่เกิดเหตุ และเป็นลูกของผัวเมียคู่นั้น ตอนที่ผู้ใหญ่มา เจ้าใบ้มันอุ้มเด็กหลบออกมาแล้ว" เพิ่มเล่าสภาพตอนนั้น บานเย็นแววตาเป็นประกายดีใจ รีบถาม
"ถ้าไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแล้ว ไม่มีญาติที่ไหนมาตามละก็ เย็นขอเลี้ยงเด็กคนนี้เองนะคะน้าเพิ่ม"
ใบ้ เงยหน้ามองบานเย็นขวับ เพิ่มฟังแล้วบอกบานเย็นว่าที่ใบ้รีบอุ้มเด็กออกมาก็เพราะอย่างนี้แหละ ทั้งยังขอร้องไว้ด้วยว่าอยากจะรับหนูคนนี้ไว้เป็นลูกเสียเอง
บานเย็น หันมองหน้าใบ้ ต่างรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของกัน และกันที่ต้องการเลี้ยงทารกน้อยนี้ไว้
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น บานเย็นไปนั่งทอดถอนใจที่ใต้ ต้นไทรตามเคย เพิ่มเดินเข้ามาถามว่าคิดถึงคุณอู๊ดหรือบานเย็นเปรยๆว่าป่านนี้จะเป็น อย่างไรบ้างก็ไม่รู้
พอดีหวินอุ้มทารกน้อยเข้ามาบอกว่าถ้าได้เลี้ยง หนูคนนี้คงช่วยให้หายคิดถึงคุณอู๊ดไปได้บ้าง บานเย็นมองหนูน้อยพูดหน้าเศร้าๆว่าให้ใบ้เลี้ยงเถอะเขาคงคิดถึงลูกไม่น้อย กว่าตน
"แต่เจ้าใบ้บอกว่านังหนูนี่คงอยากอยู่กับหนูเย็นมากกว่า ถ้าหนูเย็นจะรับเป็นลูกมันก็ไม่ขัดอะไร" พอหวินพูดเสร็จบานเย็นถามอย่างกระตือรือร้นว่าจริงหรือ เพิ่มเลยช่วยสนับสนุนอีกคนว่า
"ถ้าไม่มีญาติที่ไหนมาตามก็ถือว่าหนู คนนี้ทำบุญร่วมกับหนูเย็นมา การเลี้ยงดูใครสักคนให้เติบโตเป็นคนดี ถือเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ น้าเชื่อว่าหนูเย็นทำได้"
ดำที่ เฝ้าคลอเคลียดูหนูน้อยตั้งแต่แรกที่เอามา เอื้อมมือไปเขี่ยเท้าหนูน้อยถามว่าจะให้ชื่ออะไรดี บานเย็นนิ่งอึ้งดีใจที่จะได้เลี้ยงหนูน้อย หันมองไปรอบๆ พลันก็คิดได้บอกว่าชื่อไทรงามดีไหม พลางรับหนูน้อยจากหวินมาอุ้ม มองหน้า หนูน้อยหยอกอย่างแสนรัก พูดราวกับหนูน้อยรู้เรื่องว่า
"แม่ได้อุ้มลูกเป็นครั้งแรกที่นี่ แม่ตั้งชื่อตามต้นไทรนี่ก็แล้วกันนะจ๊ะ ลูกจะได้เติบโตและแผ่กิ่งก้านสาขาสร้างความร่มเย็นและเป็นที่พักพิงของใครๆ ได้เหมือนอย่างต้นไทร"
หวินอาสาขอเลี้ยงให้เองบอกว่าเลี้ยงเด็ก ผู้ชายมาเบื่อแล้วขอลองเลี้ยงเด็กผู้หญิงดูบ้าง ดำทำหน้าเหวอตัดพ้อว่า แม่พูดแบบนี้ตนก็เป็นหมาหัวเน่าสิ เพิ่มกับหวินเลยหัวเราะชอบใจ ส่วนบานเย็นก็ยังหยอกคุยกับไทรงามในอ้อมอกอย่างแสนรักว่า
"แม่คนนี้ จะเลี้ยงหนูไทรงามเป็นอย่างดี ให้สมกับเป็นลูกแท้ๆของแม่ทีเดียวจ้ะ"
ใบ้ที่แอบดูแอบฟังอยู่ตั้งแต่ต้น ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดชื่นมีชีวิตชีวาของบานเย็น หญิงสาวที่เขารักเทิดทูนยิ่งกว่าชีวิต
ooooooo
พ.ศ. 2501
22 ปีต่อมา ที่บ้านธีระรัตน์ในพระนคร มีการถ่ายรูปครอบครัวกันอย่างมีความสุข เพราะเป็นวันที่ยิ่งยงหรืออู๊ด ในวัย 22 ปี ได้รับปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยม อันดับ 1 ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม แต่ในดวงตาก็ยังแฝงไว้ด้วยความเศร้า
คุณหญิงใน วัย 66 ปี กิติ 45 ปี และอุษาในวัย 42 ปี ที่ยังแต่งตัวเปรี้ยวกระชากวัย ทุกคนยืนถ่ายรูปกับยิ่งยงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
หลังจากถ่ายรูปแล้ว อู๊ดเอาพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบรูปท่านเจ้าคุณฯ บอกกล่าวด้วยความเคารพว่า
"ผมสัญญาครับเจ้าคุณปู่ ว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อวงศ์ตระกูล และจะรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี และคุณงามความดีของสกุลธีระรัตน์ให้ยั่งยืนสืบไปครับ" จากนั้นหันมากราบแทบเท้าคุณหญิง "ผมกราบขอบพระคุณคุณย่ามากนะครับที่ส่งเสียเลี้ยงดูผมจนมีวันนี้ได้"
คุณหญิงลูบหัวอู๊ดรำพันถึงความยากลำบากที่กว่าจะมาถึงวันนี้ แต่ก็ภูมิใจที่พาหลานมาถึงวันเวลาแห่งความสำเร็จนี้ได้ อู๊ดกราบขอบคุณและขอให้คุณย่าพักผ่อนให้สบายเพราะเหนื่อยมามากแล้ว
อุษาฟังอย่างหมั่นไส้ที่คุณหญิงเอาดีใส่ตัวคนเดียวเลยแทรกขึ้นบ้างว่าจะดูแล คุณย่าคนเดียวหรือ ตอนที่คลอดอู๊ดออกมาแม่ก็เจ็บเจียนตายเหมือนกัน กิติทวงบุญคุณบ้างว่าตนก็ป้อนน้ำขะ...พลั้งปากไปได้แค่นั้น กิติก็รีบหยุดเพราะเขาป้อนน้ำข้าวเลี้ยงอู๊ดมาตั้งแต่เป็นทารก ผิดกับอ๊อดที่กินแต่นม กิติรีบเปลี่ยนเป็นว่า "พ่อป้อนนมลูกจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าที่ลูกจะโตเป็นหนุ่ม
ใหญ่ขนาดนี้"
"ผม ซาบซึ้งในพระคุณของทุกคนล่ะครับ ผมเป็นธีระรัตน์ ผมก็ต้องดูแลทุกคนในธีระรัตน์สิครับ"
ฟังอู๊ดแล้วทุกคนยิ้มหน้าบานตา เป็นประกายวาวอย่างมีความหวังที่รอคอยมาถึง 22 ปี ส่วนอู๊ดยิ้มบริสุทธิ์จริงใจและมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้อย่างที่พูดกับพ่อแม่ และย่าไว้
ooooooo
สองวันต่อมา บานเย็นในวัย 42 ปี กระสับกระส่ายไม่เป็นอันทำอะไร ไปคอยชะเง้อดูที่ท่าน้ำหูก็เงี่ยฟังเสียงเรือที่แล่นมา พอเห็นเรือของธีระรัตน์เข้าเทียบท่า บานเย็นโผเข้าหาเพิ่ม ที่แม้จะล่วงเข้า 59 ปีแล้วแต่ก็ยังกระฉับกระเฉงแข็งแรง
"ตาอู๊ดเป็นยังไงบ้าง" บานเย็นถามทันทีที่เพิ่มก้าวขึ้นท่าน้ำ
"น้าเอาเงินให้คุณหญิงแล้วก็ รีบออกมา ไม่ได้อยู่รอพบเธอหรอก เห็นคุณหญิงท่านว่าที่กระทรวงเรียกไปสัมภาษณ์ เรียนจบวิศวะฯแถมยังได้เกียรตินิยมอันดับ 1 อย่างนี้ ใครที่ไหนก็อยากชิงตัวไปทำงาน" เพิ่มเล่าอย่างภูมิใจ บานเย็นฟังแล้วภูมิใจยิ่งกว่ายิ้มเต็มหน้าอย่างสดชื่น บอกว่า
"เย็นภูมิใจในตัวลูกเหลือเกินจ้ะน้าเพิ่ม"
เพิ่มบอกว่าคุณหญิงท่านฝาก จดหมายมาให้บานเย็นพลางควักส่งให้ บานเย็นรีบรับไปอ่าน พออ่านจบ เพิ่มถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ พอบานเย็นบอกว่าท่านเขียนมาขอขึ้นเงินเดือนให้ตาอู๊ด เพิ่มก็โวยวายว่า
"เฮ้ย...ขอ กันตั้งแต่แบเบาะจนจบปริญญาแล้วก็ยังไม่เลิกขออีกหรือ"
บานเย็นเล่า รายละเอียดให้ฟังว่า ท่านบอกว่าระหว่างที่อู๊ดหางานทำต้องใช้เงินมากกว่าเดิม ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่ารับประทานอาหารนอกบ้าน ค่าเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าจิปาถะ เล่าจบเพิ่มบ่นว่าเรียกร้องยิ่งกว่าตอนส่งอู๊ดเข้าเรียนอนุบาลอีก บานเย็น ก็บอกว่าช่างเถอะ ถ้าทำให้อู๊ดสะดวกขึ้น ถึงต้องจ่ายมากกว่านี้ก็ยอมเพราะ
"ตอน นี้เย็นเองก็ไม่ต้องกระเหม็ดกระแหม่อะไรแล้วด้วย เพราะหนูงามก็เรียนจบแล้ว เออ จริงสิ นี่น้าเพิ่มแวะไปหาหนูงามที่บ้านคุณเจนมารึเปล่าจ๊ะ"
เพิ่ม เล่าว่าพอออกจากบ้านธีระรัตน์ก็ตรงไปเลย หนูงามบ่นคิดถึงทุกคนมากแถมยังกำชับด้วยว่าพรุ่งนี้ให้ทุกคนแต่งตัวหล่อๆ สวยๆมาถ่ายรูปให้หายคิดถึงกันด้วย
บานเย็นยิ้มอย่างมีความสุข ภูมิใจในตัวไทรงามอย่างที่สุด
ooooooo
ที่สวนมะลิหน้าเรือน พักของบานเย็น กลายเป็นเป้าหมายที่ทุกคนรุมกันมาเก็บดอกมะลิ ใบ้กับดำมาเก็บก่อน แต่พอหวินมาถึงก็แทรกเข้าไปเก็บอย่างชำนาญ จนดำกับใบ้ยืนงง
ทุกคนเก็บดอกมะลิด้วยความตั้งใจที่จะประดิษฐ์เอาไป รับขวัญไทรงามในวันรับปริญญานั่นเอง...
จนเช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนที่ไทรโศกอยู่ในชุดที่สวยที่สุดหล่อที่สุด หน้าตาก็ผัดแต่งเสียผ่องแผ้ว ทรงผมก็เรียบกริบดูดีกันทุกคน ที่สำคัญแต่ละคนมีมะลิที่ประดิษฐ์อย่างตั้งใจติดมือเข้าพระนครมาด้วย
เมื่อ เข้ามาในมหาวิทยาลัย ทุกคนก็พากันชะเง้อมองหาไทรงาม จนกระทั่งเห็นไทรงามในหมู่บัณฑิตใหม่ ต่างเรียกพร้อมกัน หนูงาม...น้องงาม...
ไทรงามในวัย 22 ปีหน้าตาสดใส เบิกตาโตเมื่อหันมาเห็นแม่ พ่อ ลุง ป้า และพี่ดำ เธอวิ่งมาหาอย่างร่าเริง ยกมือสวัสดีทุกคน สุดท้ายคือ "สวัสดีค่ะพี่ดำสุดหล่อ"
"สวัสดีครับ ว่าที่คุณหมอ" ดำยิ้มหน้าบาน จากนั้นก็ผลัดกันอวยพร โดยหวินเริ่มก่อน
"ป้า ขอให้หนูงามประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่จะทำต่อไปนะลูกนะ" ว่าแล้วเอาพวงมาลัยมะลิที่ร้อยเป็นพวงกลมๆคล้องข้อมือให้หลานสาว
"ลุงขอให้หนูงามประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่จะทำต่อไปนะลูกนะ" เพิ่มอวยพรแล้วสวมมะลิที่ร้อยยาวคล้าย สร้อยหลายๆเส้นคล้องคอให้ ดำรีบเข้าไปส่งช่อดอกมะลิเล็กๆที่พันรวมกันแล้วติดเข็มกลัดที่ด้านหลังกลัดที่ขอบชายเสื้อครุยใกล้หัวใจให้ไทรงามอย่างตั้งใจ อวยพรด้วยความปลื้มปีติ
"พี่ขอให้น้องงามมีจิตใจที่เบิกบานมีความสุขตลอดไปนะจ๊ะ"
ใบ้เดินยิ้มฟันขาวเข้าไปส่งมะลิที่อัดแน่นอยู่ในกระทงใบตองคล้ายช่อบูเกต์ที่เขาเคยทำให้บานเย็น มองไทรงามน้ำตาคลอ ลูบผมเธอด้วยความรัก แม้ใบ้จะพูดไม่ได้ แต่สีหน้าแววตาและอากัปกิริยาบ่งบอกถึงความรักที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้ที่ให้กับไทรงาม...
แล้วทุกคนก็แหวกเป็นทางให้บานเย็นเข้าไป เธอส่งกระแตดอกมะลิซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งมะลิกิ่งใหญ่ให้ไทรงาม เอ่ยด้วยความปลื้มปีติตื้นตันใจว่า
"แม่ขอให้ลูกของแม่มีใจกรุณาปรานีและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อทุกคน ขอให้ลูกมองเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกันนะลูกนะ"
ไทรงามกราบที่อกแม่น้ำตาคลอ ตอบรับเสียงเครือด้วยความตื้นตันใจว่า
"ค่ะ งามจะจำคำแม่เย็นไว้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของงามเลยค่ะ แล้วงามก็ต้องขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ ที่มาแสดงความยินดีกับงาม ดูสิ...ป่านนี้ต้นมะลิของแม่เย็นไม่โกร๋นไปหมดแล้วหรือคะ" ไทรงามพูดติดตลก ที่ในอ้อมกอดและทั้งตัวเธอเต็มไปด้วยดอกมะลิที่เก็บจากต้นและประดิษฐ์ด้วยมือของคนที่รัก
"หนูงามเก่งมากเลยนะหลานที่เรียนจบหมอด้วยอายุเพียงแค่นี้" เพิ่มชื่นชม
"ไม่ได้หรอกคะต้องรีบเรียนให้จบ งามจะได้รักษาแม่เย็นของงามอย่างเต็มที่เสียที" พูดจบก็โผเข้ากอดบานเย็นไว้แน่น ท่ามกลางสายตาของทุกคนจากไทรโศกที่มองอย่างปลื้ม ปีติอย่างที่สุด
ooooooo
ที่มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย ยิ่งยงเดินผ่านบัณฑิตใหม่ นิสิต และผู้ปกครอง เขามองหาใครคนหนึ่งอยู่อย่างร้อนใจ
และที่กลุ่มคนบ้านไทรโศก บานเย็นฝากมะลิในรูปทรงต่างๆไว้กับหวิน ขอไปรายงานตัวที่หอประชุมก่อน ให้ทุกคนหาที่นั่งพักผ่อนเพราะกว่าจะเสร็จคงนาน
ดำอาสาไปส่ง ไทรงามดีใจบอกว่าจะได้แนะนำให้รู้จักเพื่อนๆ อวดว่าเพื่อนตนทุกคนน่ารักทั้งนั้นแถมยังโสดทุกคนด้วย อนุญาตให้ดำจีบได้ถ้าไม่กลัวเข็มฉีดยา ว่าแล้วก็คว้าแขนดำพาวิ่งไป
ดำถูกไทรงามลากไป เขาร้องบอกน้องว่าไม่ต้องรีบก็ได้ พูดไม่ทันขาดคำไทรงามก็เหยียบอะไรบางอย่างทำให้ขาพลิกถึงกับทรุดลง ดำตกใจบอกให้รอนี่เดี๋ยวตนจะไปหายามาทาให้ ว่าแล้ววิ่งอ้าวไปเลย
บานเย็นนั่งบีบนวดข้อเท้าอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกดีขึ้น พอดีเห็นใครคนหนึ่งมายืนข้างๆ เธอลุกขึ้นคว้าข้อมือพาวิ่งต่อมุ่งหน้าไปที่หอประชุม
ที่แท้คือยิ่งยงที่เดินชะเง้อมองหาเด่นดาวที่นัดกันไว้แต่ ยังไม่เจอ มาถูกไทรงามหลับหูหลับตาคว้าข้อมือพาวิ่งไปเสียก่อน
ไทรงามพายิ่งยงเข้าไปแนะนำแก่เพื่อนสาวกลุ่มใหญ่ ทุกคนมองกันตะลึงแล้วพากันกระดี๊กระด๊าทั้งกลุ่ม ไทรงามแนะนำว่านี่พี่ชายตน บางคนทำท่าโล่งอกที่ไม่ใช่แฟน บางคนก็ถามว่าชื่ออะไร
ไทรงามบอกว่าชื่อดำพร้อมๆกับที่ยิ่งยงบอกว่าชื่ออู๊ด เลยทำให้ไทรงามหันมองหน้า แล้วเธอก็อายแทบแทรกแผ่นดินหนีที่ไปคว้ามือใครก็ไม่รู้ลากมาแนะนำแก่เพื่อนๆ เธอรีบขอโทษแล้วผละออกไปทันที บอกเพื่อนๆที่ถามกันงงๆว่า แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง เรียกทุกคนให้รีบตามตนมาก่อน
ยิ่งยงมองไทรงามแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูทั้งความน่ารักและความกะเปิ๊บกะป๊าบของเธอ
ส่วนเด่นดวง เดินหายิ่งยงจนแสบเท้าเดินต่อไม่ไหวเพราะถูกรองเท้ากัด ต้องนั่งลงถอดรองเท้าออกมาดูแผล ทันใดนั้น มือหนึ่งก็ยื่นเข้ามาทายาให้ ละเลงนวดพลางบอกว่า
"แถวนี้ไม่มียาอะไรขายเลย พี่เลยขอยาหม่องคุณป้าที่ตึกด้านหลังมาทาไปก่อนนะ เป็นแผลถลอกด้วยนี่ แสบไหม"
"แสบน่ะสิ ถามได้" เด่นดวงแทบจะกรี๊ดใส่ ทำให้ดำชะงักเงยหน้ามอง พอเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ตนทายาให้ก็ตะลึงอ้าปากค้าง เด่นดวงพูดอย่างไม่พอใจว่า "เอามือสกปรกของนายออกไปจากเท้าฉันเดี๋ยวนี้ ผู้ชายอะไรไม่มีมารยาท ไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือจงใจจะแต๊ะอั๋งฉันก็ไม่รู้ คนบ้า ลามกที่สุด"
เด่นดวงลุกขึ้นใส่รองเท้าเดินกะเผลกออกไป กัดฟันทนทั้งที่แสบร้อนที่แผล ส่วนดำมองตามไปยังอ้าปากค้าง เขาไม่มีโอกาสได้ชี้แจงอะไรเลย เพราะถูกเด่นดวงว่าเอ๊า...ว่าเอา แล้วก็ผละไป
เด่นดาวเดินหาจนเจอยิ่งยง เธอดีใจมากจ้ำอ้าวไปหาเขาต่อว่าอย่างอ่อนหวานว่า
"ดาวคิดว่าพี่อู๊ดจะไม่มาเสียแล้ว"
"ยังไงพี่ก็ต้องมาแสดงความยินดีกับน้องสาวของพี่ ยินดีด้วยนะครับ" ยิ่งยงยื่นของขวัญให้ เด่นดาวยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยขอบคุณอย่างอ่อนหวาน มองของขวัญในมืออย่างหวงแหน แล้วเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกหวงแหนยิ่งกว่า
ooooooo
ไทรงามพาเพื่อนสาวๆไปจับกลุ่มกันอีกมุมหนึ่ง จนดำตามมาเจอ เธอตรงเข้าไปบ่นพี่ชายว่าไปไหนมาปล่อยให้ตนทึกทักใครก็ไม่รู้ว่าเป็นเขาอยู่นานสองนาน
"พี่ก็ซวย ดันเอายาไปทาให้ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ เลยถูกด่าเสียจมหู ก็พี่คิดว่าเป็นน้องงามนี่นา"
เลยกลายเป็นปล่อยไก่ทั้งคู่ ไทรงามตัดบทว่าช่างเถอะแล้วพาไปแนะนำให้รู้จักเพื่อนๆ
ถูกพวกเพื่อนแซวว่า นี่พี่ชายตัวจริงแน่นะ อีกคนชมว่า ดาร์ก ทอลล์ แอนด์แฮนซั่มไม่แพ้ตัวปลอมเลย แล้วพากันหัวเราะคิกคัก
ไทรงามทำหน้างอนๆกับเพื่อนๆ ที่แซวความโก๊ะของตน ส่วนดำยืนงงเป็นไก่ตาแตกไม่รู้ว่าเขาหยอกเขาแซวเรื่องอะไรกัน
พวกลุงป้าน้าอาจากไทรโศกพากันไปนั่งรอเป็นนาน สองนาน ทั้งไทรงามและดำก็ยังไม่มาสักที นั่งคุยกันถึงความสำเร็จของลูกหลานกันอย่างสบายใจ ยิ้มแย้มมีความสุข
จู่ๆยิ่งยงก็มายืนข้างหลังบานเย็นกับใบ้ที่นั่งอยู่ด้วยกัน เขาเข้ามาทักทายเพิ่มนั่นเอง
ยิ่งยงถามว่ามาแสดงความยินดีกับใครหรือ เพิ่มอึกอักแล้วปดว่าแสดงความยินดีกับหลานลูกชายหวินที่เป็นแม่ครัวเก่าแก่ที่บ้านธีระรัตน์ พลางแนะนำให้รู้จักกับหวิน แต่พอหันมาจะแนะนำบานเย็นกับใบ้ ทั้งสองก็รีบขอตัวแล้วลุกไปเลย ยิ่งยงเองก็ขอตัวเช่นกันเพราะนัดสัมภาษณ์เรื่องงานไว้ บอกเพิ่มว่าเอาไว้เจอกันที่บ้านก็แล้วกัน
ยิ่งยงเดินออกไปแล้ว บานเย็นกับใบ้ที่แอบดูอยู่หลังต้นไม้ มองตามลูกชายไปน้ำตาคลอ
ooooooo










