สมาชิก

ภพรัก

ตอนที่ 4

ในห้องทำงาน ภพธรนั่งเซ็นเอกสารอยู่ นับดาวเปิดประตูผางเข้ามาพร้อมเอกสารฉบับหนึ่ง สีหน้าไม่สู้ดีนัก ภพธรตำหนิทำไมไม่เคาะประตูก่อน เธอบอกมีเรื่องด่วน

“ด่วนแค่ไหนคุณก็ต้องเคาะประตู”

“ระหว่างเรายังมีเรื่องอะไรต้องปิดบังกันอีกเหรอคะ” นับดาวไม่พอใจวางเอกสารลงตรงหน้า จ้องภพธรอย่างค้นหาความจริง “เมื่อเดือนที่แล้วพี่ธรโอนเงินหลายแสน ไปที่ชลบุรี”

ภพธรอึกอักนิดหน่อยก่อนจะโต้ว่ามันแปลกตรงไหน นับดาวถามโอนไปทำไม เขาอ้างว่าเพื่อนเก่าเดือดร้อนขอความช่วยเหลือ นับดาวแย้ง เช็กแล้วเขาโอนไปที่โรงพยาบาล

“ใช่...ก็เค้าป่วย”

“ดาวไม่เคยได้ยินว่าพี่ธรมีเพื่อนที่ชลบุรี”

“เธอต้องรู้จักเพื่อนพี่ทุกคนเหรอ ทำไม...คิดว่าอะไรนับดาว เธอต้องรู้จักให้เกียรติกันมากกว่านี้นะถ้าต้องการจะคบกันต่อไป”...นับดาวชะงักจ้องภพธรอย่างจับผิด...

ในขณะที่น้ำรินยังเฝ้ามองเหยี่ยวค้นรายชื่อว่ามีชื่อย่อ PN บ้างหรือยัง เหยี่ยวตอบว่า

“ในเขตปริมณฑลผมได้รายชื่อผู้ประสบอุบัติเหตุเป็นผู้หญิงมา 3 ราย ทั้ง 3 ยังไม่ฟื้น” น้ำรินตื่นเต้นถามทำอย่างไรต่อ “ตามไปที่โรงพยาบาลสิ ดูกันให้จะๆไปเลยว่าร่างคุณอยู่ไหนกันแน่”

“หมายความว่าวันนี้ฉันจะได้เจอร่างตัวเอง เข้าร่างได้แล้วใช่ไหม”

“มีความเป็นไปได้สูง”

น้ำรินกระโดดไชโยดีใจ โผเข้ากอดเหยี่ยวแต่กลับทะลุร่างเขาไป ต่างคนต่างเขิน เหยี่ยวตัดบทบอกให้รีบไปแล้วเดินนำไปก่อน แม่บ้านเดินผ่านงงที่เห็นเหยี่ยวคุยคนเดียว...น้ำรินยังตื่นเต้นดีใจที่ตัวเองจะได้กลับเข้าร่าง เหยี่ยวเตือน “อย่าเพิ่งมโน ผมบอกแค่มีโอกาส”

“น่า ตราบใดที่เรายังมีชีวิต เราก็ยังมีความหวังไม่ใช่เหรอ แล้วเราจะไปกันยังไง”

“ไปแค่จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ผมบอกให้จ่านกน้อยไปเอากุญแจรถส่วนกลางมาแล้ว”

นกน้อยเดินควงกุญแจออกมาจากสำนักงาน บอกเหยี่ยวว่าเรียบร้อยมีรถว่างพอดี เหยี่ยวพอใจมากถามขอรถมอเตอร์ไซค์มาคนละคันเลยใช่ไหม นกน้อยตอบว่า

“มอเตอร์ไซค์ไม่ว่างครับหมวด มีแต่รถยนต์” เหยี่ยวหน้าเปลี่ยนสี “น่า...อย่าวิตกไปเลย เดี๋ยวผมขับให้เรียบนิ่งสุดฤทธิ์เลย ไปไกลแค่ไหนหมวดก็ไม่รู้สึกอึดอัดหรอก เชื่อผมเหอะ”

น้ำรินมองอาการของเหยี่ยวพอจะเดาออกว่าเขากลัวแค่ไหน พอนั่งในรถ เหยี่ยวพิงเบาะหน้าหลับตาทำสมาธิน้ำรินชะโงกหน้าจากเบาะหลังมาถามเขาไหวไหม เขาพยักหน้าหงึกๆ

“คุณกลัวการนั่งรถทางไกลขนาดนี้เลยเหรอ”

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก มากกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว” เหยี่ยวส่งรายชื่อโรงพยาบาลและชื่อคนไข้ให้นกน้อย “ไปโรงพยาบาลตามรายชื่อนี้เลยนะจ่า เริ่มจากไกลสุดก่อน”

นกน้อยเห็นว่าจันทบุรีก็ร้อง “โอ้โฮ ไกลโขอยู่นะ หมวด คราวที่แล้วไปทำคดีแค่นครปฐม หมวดยังเครียดจนอ้วกแล้วอ้วกอีก”

“เอาน่า...ผมกำลังตามหาผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ผมรับปากกับเขาไว้แล้ว ต้องทำให้สำเร็จ”

น้ำรินยิ้มปลื้มอยู่ข้างหลัง...ระหว่างทาง เหยี่ยวนั่งพะอืดพะอม น้ำรินถามอย่างห่วงใยว่าไหวแน่หรือเขาพยักหน้า แต่แล้วนกน้อยต้องจอดรถให้เหยี่ยวลงไป

อ้วกหลายรอบ บางครั้งไม่ทัน เขาชะโงกหน้าออกไปเอง นกน้อยคอยลูบหลังให้ น้ำรินเห็นอาการเขาแล้วสงสาร

เหยี่ยวอ่อนเพลียผล็อยหลับ แต่เขาก็ฝันถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับครอบครัวที่ติดตาเขามาตลอด เขาผวาขึ้นสุดตัวหายใจถี่หอบ นกน้อยเหลียวมองปลอบว่า

“เที่ยวนี้เราเดินทางไกลมากไปหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว อดทนอีกนิดนะหมวด ผู้หญิงคนนั้นคงสำคัญกับหมวดมากสินะ ถึงยอมทนขนาดนี้น่ะ”

“มันเป็นสัญญา...ผมต้องทำตามสัญญา” ...น้ำรินยิ่งปลาบปลื้มในตัวเหยี่ยว

มาถึงโรงพยาบาลจันทบุรี เหยี่ยวเข้าติดต่อเจ้าหน้าที่ ค้นข้อมูลผู้หญิงที่ได้รับอุบัติเหตุเมื่อไม่กี่วัน พยาบาลบอกว่าคนไข้ชื่อปวีณา นัฐสิริกร ได้ฟื้นแล้วญาติเพิ่งรับตัวกลับไปเมื่อเช้า เหยี่ยวกับน้ำรินผิดหวังที่ไม่ใช่ร่างของน้ำริน แต่ยังเหลืออีกสองราย จ่านกน้อยไม่รู้เรื่อง ให้ตามไปดูที่บ้าน เหยี่ยวกลับบอกไม่เป็นไรให้ไปอีกสองแห่งก่อนจะค่ำ น้ำรินคิดอะไรได้ บอกเหยี่ยว

“เดี๋ยวก่อน หมวดน่าจะขอตัวช่วยจากนางพยาบาลก่อนดีกว่าค่ะ...”...เหยี่ยวทำหน้าฉงน

ระหว่างรถแล่นต่อไป เหยี่ยวนั่งดมยาดมที่ขอจากพยาบาล ทำให้อาการวิงเวียนดีขึ้นแต่ยังพะอืดพะอมอยู่ พอมาถึงโรงพยาบาลระยอง น้ำรินหวังว่าจะพบร่างตัวเอง แต่ต้องผิดหวังอีกเพราะหญิงที่ได้รับอุบัติเหตุได้ฟื้นแล้วเช่นกัน...จ่านกน้อยขับรถต่อมายังโรงพยาบาลชลบุรี พยาบาลบอกว่าคนไข้ที่ได้รับอุบัติเหตุยังไม่ฟื้น แต่ญาติเพิ่งขอย้ายผู้ป่วยเข้ากรุงเทพฯเมื่อเช้า เหยี่ยวรีบขอชื่อโรงพยาบาล น้ำรินยิ้มอย่างมีความหวังอีกครั้ง

ในวันเดียวกัน สงครามมาเยี่ยมธาราอีกและนำดอกแก้ววางที่โต๊ะข้างเตียงเช่นเดิม เขามองเธอนึกถึงภาพในอดีต สมัยธาราเป็นนักศึกษา ตัวเขาเป็นนักเรียนนายร้อย ทั้งสองมักจะเดินกลับบ้านด้วยกัน ผ่านต้นแก้ว

ข้างทาง ธาราจะเก็บดอกแก้วทุกครั้ง และเลือกเก็บช่อที่สวยไม่ช้ำแม้มันจะอยู่สูงเพียงใด เขาจึงเป็นคนเก็บให้เพราะรู้ว่าเธอต้องพยายามเก็บมันให้ได้...แววตาสงครามบ่งบอกถึงความรักและห่วงใยที่ยังมีต่อเธอ แต่พอเขา

คล้อยหลังกลับ ธาราค่อยๆรู้สึกตัว เห็นเบื้องหลังเขาเดินออกไป

ระหว่างนั้น เหยี่ยว น้ำรินและจ่านกน้อยเดินมาจากอีกทาง จึงไม่เห็นสงคราม นกน้อยเดินนำหน้าจึงไม่ได้ยินเหยี่ยวคุยกับน้ำริน เธอถามอาการเหยี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง

“ยังสบายดีอยู่ อย่างน้อยผมก็มาถึงจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัยนะ”

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ไม่เป็นไร ผมแค่รักษาสัญญา”

“ไม่แค่นั้นหรอก” น้ำรินดักคอ เขาจึงออกตัว

“เพราะผมเป็นตำรวจมั้ง ก็เลยชอบคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ผมคิดเสมอว่า คนที่มีชีวิตเพื่อคนอื่น คือคนที่มีคุณค่าแก่การมีชีวิต”

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อฉัน” น้ำรินยิ้มประทับใจ

เหยี่ยวหันมามองรู้สึกอึ้งๆสบตาเธออย่างผูกพัน “ผมทำด้วยความเต็มใจ”

ooooooo

ธารารู้สึกตัวขึ้นมาแต่ยังอ่อนเพลีย สะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น พยาบาลกำลังวัดความดันเช็กสายน้ำเกลือ ธาราเห็นดอกแก้วที่วางอยู่ พึมพำเสียงเครือว่า...ดอกแก้ว

“เพื่อนคุณที่เป็นตำรวจเอามาให้ค่ะ” พยาบาลกล่าว

ธารารำพึง สงครามมาที่นี่หรือ พยาบาลจึงบอกว่า ผู้การมาเยี่ยมทุกวัน นี่ก็เพิ่งกลับไป พยาบาลเตรียมเข็นเตียงธาราออกไปเอกซเรย์สมอง ตามคำสั่งอาจารย์หมอ ธาราพยักหน้ารับรู้

บริเวณเคาน์เตอร์ น้ำรินยืนลุ้นข้างเหยี่ยวที่ยืนรอ หมอเดินออกมาถาม “หมวดเหยี่ยวจากสำนักงานสืบสวนพิเศษ ที่โทร.มาถามเรื่องคนไข้เพิ่งย้ายมาจากชลบุรีใช่ไหมครับ”

เหยี่ยวรีบรับว่าใช่แล้วถามอาการคนไข้ หมอตอบว่า ยังสลบไม่ได้สติ คนไข้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ สมองกระทบกระเทือนอย่างแรง นอนไม่ได้สติมาร่วมเดือน...

น้ำรินบอกเหยี่ยวต้องเป็นร่างตนแน่ เหยี่ยวจึงขอเข้าเยี่ยมคนไข้ ท่าทางหมอลังเล เหยี่ยวจึงย้ำ

“เป็นเรื่องสำคัญมากครับหมอ ขอแค่ให้ผมเห็นหน้าคนไข้เท่านั้นก็พอ”

หมอครุ่นคิดสักพักก่อนจะพาเหยี่ยวไปที่ห้องไอซียู แต่กำชับ “ผมอนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่เกินห้านาทีนะครับ”

เหยี่ยวรับคำ พอดีพยาบาลเข็นเตียงธาราผ่านเหยี่ยว น้ำรินเห็นธาราก็ชะงักรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก เดินตามเตียงธาราไปจนถึงห้องเอกซเรย์สมอง พยาบาลให้ธารารอเจ้าหน้าที่เตรียมอุปกรณ์สักครู่ น้ำรินชะเง้อมองผ่านม่าน ทำให้ไม่เห็นหน้า แต่รู้สึกผูกพันห่วงใยจึงตัดสินใจเดินเข้าไปข้างเตียง ธาราปรือตามอง นิ่วหน้าเหมือนพยายามมองให้ชัด

“คุณมองเห็นฉันไหม”

“น้ำ...น้ำใช่ไหม” เสียงธาราแหบพร่า

“คุณพูดว่าอะไรนะคะ” น้ำรินได้ยินไม่ถนัด

พลันเจ้าหน้าที่เข้ามาขอโทษที่ให้รอแล้วเข็นเตียงธาราไป น้ำรินมองตามอย่างสงสัย...น้ำรินเดินมาที่หน้าห้องไอซียู เหยี่ยวกำลังมองหาจนนกน้อยถามว่ามองหาใคร พอเห็นเธอมาก็กระซิบถามหายไปไหนมา เธอบอกเขาว่า เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้จักแต่รู้สึกแปลกๆ แปลกจนบอกไม่ถูก ไม่ทันที่เหยี่ยวจะซัก พยาบาลเข้ามาบอกหมออย่างร้อนรนว่าคนไข้ชัก

“พวกคุณรออยู่ที่นี่ ผมขอตัวก่อนนะ” หมอบอกเหยี่ยวแล้วรีบเข้าไปในห้องไอซียู

น้ำรินถามเหยี่ยว “เป็นไปได้ไหมว่าพอดวงจิตของฉันมาอยู่ใกล้ร่าง ก็เลยเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างอาจกำลังเรียกให้ฉันกลับเข้าไปก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบเข้าไปเลยสิ”

“งั้นฉันเข้าไปก่อน เดี๋ยวเจอกันนะหมวดเหยี่ยว” น้ำรินจะเดินทะลุประตูเข้าไป

เหยี่ยวเรียกเธอไว้ น้ำรินหันมาถามมีอะไร เขา รู้สึกกังวล “ถ้าดวงจิตกลับเข้าร่างได้ แล้วคุณฟื้น ผมจะได้เจอคุณในร่างมนุษย์ใช่ไหม”

น้ำรินรับว่าแน่นอน เหยี่ยวจึงย้ำ เธอต้องฟื้นนะ น้ำรินรับคำ “ฟื้นสิ...ยังไงฉันก็ต้องมาขอบคุณหมวดแน่ ไม่ต้องห่วงหรอก” ว่าแล้วน้ำรินก็เดินทะลุประตูเข้าไป

ทันทีที่เข้ามา น้ำรินเห็นหมอกับพยาบาลช่วยกันปั๊มหัวใจคนไข้ เธอตกใจคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เสียงตี๊ด...ดังยาวแสดงว่าชีพจรหยุดเต้น ทันใดเกิดแสงสว่างวาบเหมือนตอนที่เห็นวิญญาณเด็กลอยขึ้นไป น้ำรินตกใจ “ไม่จริง เขามารับวิญญาณของฉันแล้วเหรอ”

น้ำรินกลั้นใจเดินเข้าไปที่แสงสว่างนั่น ปรากฏร่างหญิงสาวผมยาวคล้ายเธอ หันมายิ้มให้ แล้วร่างสลายไปกับแสงสว่างนั้น น้ำรินตกตะลึงพรึงเพริด...

เหยี่ยวยืนรอหน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจ

จ่านกน้อยยืนคุยโทรศัพท์อยู่ห่างๆ คุณหมอออกมาบอกเหยี่ยวว่า คนไข้หัวใจหยุดเต้นแล้ว เหยี่ยวตกใจยืนช็อกน้ำตาเอ่อล้นเพราะความผูกพันที่ตัวเองก็คิดไม่ถึง หมอเดินไปเขาทรุดนั่ง รู้สึกเหมือนกำลังสูญเสีย พยายามระงับความรู้สึก น้ำรินออกมายืนตรงหน้า ถามเขาเป็นอะไร ชายหนุ่มลืมตาขึ้นตะลึง

“คุณยังอยู่! ดวงจิตของคุณไม่ได้สลายไปพร้อมกับร่างนั้นเหรอ”

“นั่นไม่ใช่ร่างฉัน”

“คุณรู้ไหมว่าผมดีใจมากแค่ไหน ที่คุณยังอยู่แบบนี้ ผมดีใจที่ได้พบคุณอีก” เหยี่ยวเผลอลุกขึ้นโผกอด ...ได้แต่ลม รู้สึกเก้อเขิน

“ขอบคุณนะที่ทำเพื่อฉัน ขอบคุณจริงๆ” น้ำรินก็เขินไม่ต่างกัน

จ่านกน้อยเข้ามาเรียกเหยี่ยว ถามยิ้มอะไร เขารีบปฏิเสธ นกน้อยถามถึงคนไข้รอดไหมและใช่คนที่ตามหาหรือเปล่า เหยี่ยวส่ายหน้าและบอกว่าไม่รอด น้ำรินชวนกลับ บ่นเหนื่อย

“ดวงจิตอย่างคุณเหนื่อยเป็นด้วยเหรอ” เห็นน้ำรินถลึงตา “ผมแซวเล่นน่า ขอโทษนะที่วันนี้ช่วยอะไรคุณไม่ได้ พยายามแทบตาย สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”

“เอาน่า...อย่างน้อยฉันก็รู้ว่ามีคนเป็นห่วงฉัน”

เหยี่ยวถามว่าใคร น้ำรินมองเขาแล้วอมยิ้ม เดินเลี่ยงไป เหยี่ยวมองตามหัวใจพองโต...ระหว่างนั่งรถกลับ เหยี่ยวมักจะเหลียวมองน้ำรินที่เบาะหลัง จ่านกน้อยแปลกใจถามมีอะไรข้างหลังถึงชำเลืองมองบ่อย เหยี่ยวอ้างเหมือนมีคนแอบมอง นกน้อยตกใจรีบมองกระจกมองหลัง เหลียวซ้ายแลขวา เกรงเป็นพวกค้ายา เหยี่ยวยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ไม่ใช่พวกยาเสพติดหรอก แต่อาจจะเป็นพวกยาใจ...เมารถเหรอ” เหยี่ยวถามเมื่อเห็นน้ำรินทำท่าจะอ้วก แต่นกน้อยกลับตอบว่าเปล่าครับ เหยี่ยวทำหน้าเซ็งๆ

“เอียนพวกหลงตัวเอง ฉันมองคุณเพราะจะดูว่าคุณจะอ้วกรึเปล่า” น้ำรินเบ้ปาก

เหยี่ยวบ่น จะพูดอีกทำไมตนอุตส่าห์พยายามไม่นึกถึง นกน้อยงงบอกตนยังไม่ได้พูดอะไรเลย น้ำรินเป็นห่วงอาการเหยี่ยวจึงคิดหาทางช่วย ด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น “นี่คุณๆ...หนังเรื่องอะไรนะ ที่นางเอกกับพระเอกเจอกันบนเรือ แล้วเรือชนภูเขาน้ำแข็งจนจมน่ะ”

เหยี่ยวตอบเรื่องไททานิค นกน้อยงงอีกหาว่าเหยี่ยวเมารถจนเห็นเรือไททานิค เหยี่ยวแก้ตัวว่าตนแค่คิดถึงชื่อหนังเพื่อให้ลืมอาการพะอืดพะอม นกน้อยหลงเชื่อ จากนั้นเหยี่ยวก็ลืมอาการของตัวเองเพราะคอยตอบคำถามของน้ำรินตลอดทาง

ooooooo

กลับถึงบ้าน เหยี่ยวจูงจักรยานเข้ามายังคงเล่นทายชื่อหนังกับน้ำริน แนนวิ่งออกมา น้ำรินเบ้ปากแขวะแฟนเก่ามารอ เหยี่ยวแกล้งถามรู้ได้อย่างไร ทำให้แนนงงเขาพูดอะไร เหยี่ยวรีบถามแนนมานานแล้วหรือ เธอบอกว่ามาทำก๋วยเตี๋ยวต้มยำหมูตุ๋นสูตรแม่ของเธอให้เขา เหยี่ยวยิ้ม

“รู้ใจจริงๆ กำลังอยากกินเลย” ว่าแล้วเหยี่ยวก็โอบไหล่แนนเดินเข้าบ้าน

น้ำรินมองตาเขียวปั้ด เข้ามาเห็นยายนวลนั่งทานอย่างเอร็ดอร่อย เหยี่ยวแซวยายทานไม่รอ ยายนวลติง หิวจนจะเป็นลมแล้ว วันนี้วันหยุดแล้วออกไปไหนมา เหยี่ยวหาข้อแก้ตัวว่าไปธุระกับจ่านกน้อย แล้วหันไปขอก๋วยเตี๋ยวจากแนนชามหนึ่ง แนนยิ้มเดินเข้าครัว เผลอเอามือลูบไหล่ตัวเองปลื้มๆ น้ำรินเห็นอาการแนนยิ่งหมั่นไส้ เหน็บเหยี่ยว

“เข้าใจนะว่ารักกันแต่ช่วยแสดงความรักในที่ลับหน่อย ไม่ใช่แสดงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้”

ยายนวลหูผึ่ง ถามมีอะไรกัน เหยี่ยวแก้ตัวและแกล้งหยอด “ไม่มีอะไรหรอกยาย ผมก็แค่เดินโอบไหล่แนนเข้าบ้านมา คนสนิทกันเดินโอบกันไม่ใช่เรื่องแปลก หรือคุณไม่ชอบ”

น้ำรินปฏิเสธเสียงสูงอ้างผู้หญิงเสียหาย ยายนวลขมวดคิ้วคิดตาม เหยี่ยวรู้สึกว่าน้ำรินหึง แกล้งยียวนคงต้องไปขอโทษแนนเพราะผู้หญิงอย่างแนนต้องให้เกียรติมากกว่านี้ ว่าแล้วก็เดินตามแนนเข้าไปในครัว น้ำรินยิ่งหงุดหงิด ยายนวลเอ่ยถามเพราะตามองไม่เห็น

“หนูน้ำ ยายถามตรงๆนะ หนูเห็นหนูแนนกับเหยี่ยวสนิทกันแล้วหนูรู้สึก...”

น้ำรินตกใจคิดว่ายายจะถามว่าตนหึงหรือ จึงรีบปฏิเสธ “หนูไม่ได้รู้สึกหึงหมวดเหยี่ยวกับหมวดแนนเลยนะคะ”

“ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่จะถามว่ามันดูไม่เหมาะสมจริงๆใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ ไม่เหมาะสมเลย ถึงจะสนิทกันแบบเพื่อน แต่ยังไงหมวดเหยี่ยวก็เป็นผู้ชาย หมวดแนนมาบ้านบ่อยๆแบบนี้ มันดูไม่ดีค่ะ” น้ำรินได้ทีใส่ใหญ่

ยายนวลจึงคิดว่าต้องจัดการอะไรสักอย่าง น้ำรินยิ้มดีใจเข้าใจว่าคงห้ามแนนมาบ้านอีก...พอเหยี่ยวออกไปส่งแนนหน้าบ้าน เขาเอามือลูบท้องตัวเอง ขอบใจที่แนนทำของอร่อยๆให้ทาน ถ้าเธอทำให้ทั้งชีวิตคงสบาย แนนเขินอายหันมาลายายนวล แล้วเตือนเหยี่ยวอย่าลืมพรุ่งนี้ยายนวลมีนัดตรวจเบาหวานตอนบ่าย ยายนวลนึกได้ขอบใจที่เอาใจใส่ เหยี่ยวแตะไหล่แนนเชิงขอบคุณ บอกให้ขี่รถกลับดีๆ ถึงบ้านแล้วโทร.หาด้วย แนนยิ้มปลื้ม

พอเหยี่ยวจะเดินเข้าบ้าน ยายนวลเรียกไว้บอกอยากคุยเรื่องแนน ยายเกริ่นว่าเขาคบกับแนนมาตั้งแต่ก่อนเธอจะไปเรียนเมืองนอก เธอเข้าออกบ้านเราจนเป็นเรื่องธรรมดา มันอาจดูไม่ดีในสายตาคนอื่น เหยี่ยวเห็นน้ำรินแอบยิ้ม ก็คิดจะเยาะเธอ จึงบอกยายนวลว่าจะบอกแนนไม่ให้มาบ้านเราบ่อย ยายแย้ง ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ที่พูดอยากให้เขาทำอะไรให้มันถูกต้อง ไม่ให้แนนเสียหาย เหยี่ยวพูดไม่ทันคิด

“แหม...งั้นผมขอแนนแต่งงานซะเลยดีไหม จะได้อยู่ด้วยกันเลย”

ยายสวนไม่เห็นต้องให้บอกกันตรงๆ น้ำรินหันขวับ มามองหน้ายายนวลอย่างคาดไม่ถึง...ที่ยายนวลคุยกับเหยี่ยว แนนได้ยินทั้งหมด แอบยิ้มดีใจ รอฟังคำตอบเหยี่ยวที่ยายนวลย้ำถาม

“ความจริงเรากับหนูแนนก็คบกันมาหลายปี ถ้าจะพูดจะคิดเรื่องสร้างอนาคตร่วมกัน อย่างจัดงานแต่งงาน มันก็ไม่เห็นจะแปลก รึเหยี่ยวว่าไง...”

น้ำรินรอฟังคำตอบเขาเช่นกัน เหยี่ยวนิ่งไปอึดใจก่อนจะทำเป็นหาวหวอดๆ ไว้คุยกันทีหลัง ยายดึงมือถามเมื่อไหร่ ควรคิดถึงอนาคตได้แล้ว ให้คิดถึงจิตใจแนนบ้าง เหยี่ยวมองยายนวลแล้วมองหน้าน้ำริน ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงอือ...ส่งๆไปก่อน แล้วเดินจ้ำเข้าบ้าน น้ำรินใจหายวาบ มองไปเห็นแนนยืนฟังอยู่ ยายนวลบ่นไล่หลัง

“อือๆของเอ็งนี่แปลว่าอะไรวะไอ้เหยี่ยว...อย่าลืมไปคุยกับหนูแนนนะ อย่างน้อยหมั้นหมายกันไว้ก่อนก็ยังดี เร็วๆด้วย ผู้หญิงดีๆอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายนะเว้ย”

เหยี่ยวหน่ายใจล้มตัวลงนอนบนเตียง น้ำรินตามเข้ามาพาลต่อว่าเหงื่อเต็มตัวนอนเข้าไปได้อย่างไร เหยี่ยวแกล้งตีหน้าซื่อ “จริงด้วย เหงื่อเต็มแบบนี้จะนอนได้ยังไง ต้องถอดเสื้อก่อน”

น้ำรินร้องลั่นไม่ได้ให้ถอดเสื้อ เหยี่ยวแกล้งปลดเข็มขัดกางเกง น้ำรินเอ็ดลั่น “ฉันให้คุณไปอาบน้ำต่างหาก หัดทำตัวให้เป็นระเบียบหน่อย กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่แล้ว”

“อาการอย่างนี้ เหน็บแนมใช่ไหม” เหยี่ยวทำหน้ากรุ้มกริ่ม

“จะเหน็บแนมเรื่องของคุณกับแฟนทำไม” เหยี่ยวตอบว่า...หึง “บ้าเหรอ! คนอย่างฉันไม่มีวันหึงคุณหรอก” เหยี่ยวเย้าจริงหรือ น้ำรินย้ำจริงสิ

เหยี่ยวแกล้งร่ายตามเพลง แน่นะ น้ำรินก็ตอบตามเพลง แน่สิ...เหยี่ยวร้องต่อเป็นเพลง ไม่ยั่วนะ มายั่วสิ คนอวดดี จะอวดดี งั้นพี่ไป จะไปแห่งใดหรือนี่...น้ำรินโวย ไม่ขำ

“ผมไม่ได้บอกว่าคุณขำ แต่บอกว่าคุณหึง”

“ฉันไม่ได้หึง” น้ำรินหงุดหงิดสะบัดหน้าเดินทะลุประตูออกไป เหยี่ยวยิ้มอย่างมั่นใจ น้ำรินเดินหงุดหงิดออกมาที่สวน “หึงบ้าอะไร...ที่หงุดหงิดเพราะหาร่างยังไม่เจอต่างหาก ขนาดยังไม่แต่งงานยังไม่มีเวลาช่วย แล้วถ้าแต่งงานไปแล้ว ฉันจะอยู่ตรงไหน”

“อยู่ตรงกลางหัวใจเลยไงจ๊ะ” เหมือนพายุหมุนเข้ามา ปรากฏร่างปริกยิ้มยั่ว

“อย่ามายั่วนะป้าปริก เดี๋ยวแช่งให้ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเลย”

“แหม...หล่อนพูดเหมือนฉันมีโอกาสจะได้ผุดได้เกิดเลยว่ะ”

น้ำรินนึกได้เล่าเรื่องที่ตนฟาดโดนคีย์บอร์ดของเหยี่ยวกระจาย แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว ปริกจึงบอกต้องมุ่งจิตให้แน่วแน่ไปที่สิ่งของนั้น ปริกให้ลองทำกับตุ๊กตาสีฟ้าที่ยังวางอยู่บนโต๊ะ

น้ำรินพยายามเพ่งจิตสามารถสัมผัสตุ๊กตาได้ชั่วครู่ก็หล่น ปริกหัวเราะ “ฮ่าๆ มือใหม่หัดทำก็เงี้ยแหละถ้าง่ายๆผีก็ทำได้ทุกตัวดิ มีเคล็ดลับอยู่ที่ว่า ต้องเริ่มจากของเล็กๆก่อน อย่าใจร้อน”

น้ำรินมุ่งมั่นจะต้องทำให้ได้ ปริกคอยเป็นกำลังใจ...

จนดึกดื่น ทั้งสองนั่งคุยกัน ปริกบอกถ้าเซ็งเหยี่ยวมาก ให้ไปเที่ยวป่าหิมพานต์กับตนสองสามวัน ตนนัดเต้นคัพเวอร์กับมักกะลีผล น้ำรินทำหน้าตื่นเต้นจริงหรือ ปริกหัวเราะ “แฮะๆ ไม่จริง จะบ้าเหรอ มักกะลีผลที่ไหนเต้นคัพเวอร์”

“ทำไมป้าปริกชอบหลอกฉันนะ” น้ำรินหน้างอ

“อ้าว ก็เพราะหล่อนหลอกง่ายไง นอกจากจะให้คนอื่นหลอกได้แล้ว ยังชอบหลอกตัวเองอีกว่าไม่มีความรู้สึก ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้น ฮิๆ” น้ำรินทำทีไม่รู้หมายถึงใคร ปริกหัวเราะ “ทีเรื่องจริงดันหาว่าหลอก อะไรที่หลอกดันคิดว่าจริง มนุษย์หนอมนุษย์ ชอบหลอกตัวเอง ชีวิตง่ายๆก็ทำให้วุ่นวายซะงั้น” ปริกบ๊ายบายจะไปป่าหิมพานต์สามวัน

“ป้าปริกจะไม่อยู่สามวันเลยเหรอ”

“ถูกต้อง นัดทำสปาไว้เต็มแพ็กเกจที่ป่าหิมพานต์ย่ะ” ปริกหมุนตัวกลับราวพายุ

น้ำรินมองไปทางหน้าต่างห้องเหยี่ยว บ่นใครหลอกตัวเอง ไม่มีใครหลอกสักหน่อย

ooooooo

รุ่งเช้า เหยี่ยวรู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตบางอย่างจึงค่อยๆลืมตาตื่น เห็นน้ำรินนั่งจ้องหน้าอยู่ห่างแค่คืบก็สะดุ้งถามเธอจะทำอะไร น้ำรินบอกให้ไปหาประวัติตนเดี๋ยวนี้ เวลาตนเหลือน้อย เหยี่ยวแปลกใจทำไม เธอบอกว่าเขากำลังจะแต่งงาน เวลาทั้งหมดก็จะเป็นของเมียและลูก

“โธ่คุณ ยายผมก็พูดไปงั้นแหละ ไม่จริงจังอะไรหรอก”

แต่พอเหยี่ยวแต่งตัวจะออกไปทำงาน ยายนวลเรียกให้เขามาเอากระดาษโน้ต เหยี่ยวเปิดอ่านเป็นเลข 12-12-14 เหยี่ยวหาว่ายายใบ้หวยจะจับเข้าซังเต ยายโวย นี่เป็นฤกษ์แต่งงานของเขากับแนนที่หลวงตาให้มา ยายนวล ยิ้มปลื้มจะได้ตัดชุดไปงานแต่งงานหลานรักสิ้นปี เหยี่ยวมองยายอึ้งๆ ไม่คิดว่ายายจะจริงจังขนาดนี้ น้ำรินรู้สึกเจ็บแปลบในใจ

วันนั้น น้ำรินออกอาการหงุดหงิด เหยี่ยวบอกว่าเป็นแค่ฤกษ์ แนนคงไม่ยอมแต่งด้วย

“น้อยไปสิ ยายอยากให้คุณแต่งงานเร็วเท่าไหร่ แฟนคุณยิ่งติดเทอร์โบอยากแต่งเร็วยิ่งกว่า สายตาหมวดแนนหวานเยิ้มขนาดนั้น เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่าเขารักคุณ”

“พูดเบาๆก็ได้ ผมรู้ว่าคุณอยู่ในอารมณ์หึงผม”

“ไม่ได้หึง! แต่ฉันเครียด...สำหรับคุณ มันอาจเป็นเรื่องสนุกที่ได้แกล้งผีอย่างฉัน แต่ฉันไม่สนุกด้วยที่ต้องมายืนดูคุณกับเมียจู๋จี๋กัน ฉันอยากจะหนีไปไหนก็ไปไม่ได้ เพราะต้องมาติดกับคุณ จะขอให้คนอื่นช่วยก็ไม่มีใครเห็นฉันนอกจากคุณ”

เหยี่ยวเห็นน้ำรินทำหน้าจะร้องไห้ก็รู้สึกผิด สัญญาจะไม่ทิ้งเธอ น้ำรินติงไม่นานเขาก็ลืม เหยี่ยวยืนยันจะลืมได้อย่างไร คนที่เห็นผีไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน มันต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่าง ที่ทำให้ตนซึ่งไม่เคยเห็นผีมาก่อน กลับมาเห็นเธอคนเดียว น้ำรินสบตาเหยี่ยวรู้สึกหวิวใจแปลกๆ

“เพื่อยืนยันคำพูดของผม วันนี้ผมอุทิศให้กับการหาร่างคุณทั้งวัน...เราจะเริ่มจากที่ที่เราเจอกันครั้งแรกดีกว่า” น้ำรินคิด เหยี่ยวโพล่งขึ้นว่า “บึงน้ำ...”

ในขณะที่ธารามีอาการดีขึ้น เล่าให้ภพธรฟังว่า เห็นน้ำรินมาหา ภพธรบอกว่าตนค้นหาน้ำรินเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ธาราไม่เชื่อเอ็ดให้หาอีกหาจนกว่าจะเจอ นับดาวถือถ้วยชามาวางให้

“ดาวว่าคุณอานอนพักก่อนเถอะนะคะ เรื่องของน้ำ ดาวจะรีบตามให้อีกแรง นี่ค่ะ...ชามะลิที่คุณอาชอบ ดาวให้แม่บ้านที่บ้านเตรียมมาให้ค่ะ”

ธาราบอกให้วางไว้ก่อน นับดาวติงจะเย็นหมด ธาราเสียงเข้มบอกให้วางก็วาง นับดาวขบกรามแน่นข่มอารมณ์ไม่พอใจ ธาราไล่ทั้งสองออกไปตามหาน้ำริน นับดาวหันมองโถชาอย่างมีเลศนัย ธาราเห็นทั้งสองออกไป แล้วก็ปล่อยน้ำตาไหลรินคิดถึงลูกสาว

หน้าห้อง ภพธรจะเดินไป นับดาวเรียกไว้อยากดูว่าธาราดื่มชาหรือยัง ภพธรแปลกใจ นับดาวยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอได้เอายาพิษผสมในกล่องใบชาที่แม่บ้านใช้ชงให้ธารา...ภพธรตกใจ

“ทำบ้าอะไรเนี่ย รู้ตัวรึเปล่า!”

“ถ้าพี่ธรไปเอาชาคืน ชาตินี้พี่ธรจะไม่ได้อะไรของพ่อคืน...ขอโทษค่ะที่ต้องพูดถึงพ่อ แต่ดาวต้องการเตือนสติ รู้ไหมว่าตอนนี้ภัยกำลังใกล้ตัวเราขึ้นทุกที” ภพธรทำหน้าฉงน “หลังจากที่พี่สั่งให้ไอ้คงคาเก็บนังแก้วตา ไอ้จ่าพ่อนกยูงมันก็ตามสืบคดีต่อไม่เลิก เราต้องเร่งให้ทุกอย่างเป็นของพี่ให้เร็วขึ้น โดยหลีกเลี่ยงใช้ไอ้คงคาแบบเดิม”

“เธอคิดว่ายาพิษของเธอ จะไม่มีหลักฐานให้ใครจับได้รึไง”

“ถ้ามีหลักฐานก็ไม่ใช่นับดาวสิคะ” นับดาวยิ้มอย่างมั่นใจ ทั้งสองเดินเข้าลิฟต์

เผอิญสงครามเดินออกจากลิฟต์อีกตัว ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นกัน...ระหว่างนั้นธารานั่งมองถ้วยชาน้ำตาไหลริน คิดถึงอดีต วันที่น้ำรินแอบกลับจากเมืองนอก ทำเซอร์ไพรส์มากอดตน แล้วยังชงชาดอกมะลิที่ซื้อมาเป็นของฝากจากอังกฤษ “หาซื้อยากนะคะ น้ำสั่งเป็นพิเศษให้แม่เลย ความหอมของชาดอกมะลิจะทำให้ผ่อนคลายและหายเครียดนะคะ”

“แค่เห็นหน้าลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่ก็หายเครียดไปเยอะแล้วล่ะลูก” ธารากอดน้ำริน

ธาราคิดถึงอดีตประคองถ้วยชาจดปาก ทันใด สงครามเปิดประตูเข้ามาจึงชะงัก สงครามเองก็ตกใจไม่รู้ว่าเธอฟื้นแล้ว ธาราเห็นเพื่อนเก่าเหมือนเขื่อนน้ำตาแตก ร้องไห้โฮออกมา สงครามเข้ารับถ้วยชาวางลงถามเป็นอะไร ธาราบอกว่าคิดถึงลูก

“ฉันอยากกอดน้ำริน อยากบอกรักเขา ยังไม่สายเกินไปใช่ไหมที่ฉันจะทำแบบนั้นกับลูก ยังไม่สายเกินไปใช่ไหมถ้าฉันจะเริ่มทำอะไรด้วยความรู้สึกมากกว่าเหตุผล”

สงครามโอบกอดปลอบธารา...ในขณะที่ภพธร

มองมือถือที่สลักตัวอักษร PN ด้วยสีหน้าครุ่นคิด นับดาวเห็นถามอย่าบอกนะว่าลังเลจะไม่จัดการธารา ภพธรไม่ตอบบอกให้เธอกลับไปทำงาน นับดาวน้อยใจเพราะที่ทำทุกอย่างก็เพื่อเขา แต่ดูเขาไม่มั่นใจ

เมื่อธารารู้สึกดีขึ้น สงครามเอาถ้วยชาซึ่งดื่มหมดมาวางที่โต๊ะ เธอเปรยว่ากลิ่นชาดอกมะลิจะทำให้หายเครียด สงครามว่าเธอเพิ่งฟื้นไม่ควรดื่มชากาแฟ ธารามองสงครามอย่างละอายใจ ขอบคุณที่เขามาเยี่ยมทุกวัน เขาชะงักเจ็บแปลบในใจตัดบทขอตัวกลับดื้อๆ ธารามองตามหลังอย่างรู้สึกผิด นึกถึงอดีตที่สงครามบาดเจ็บนอนอยู่โรงพยาบาลของรัฐ ธาราต่อว่าสีหน้าเอาเรื่อง

“ทำไมคุณต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการจับพวกค้ายาบ้านั่นด้วย”

“มันเป็นหน้าที่ที่ผมภูมิใจจะทำ แล้วคุณรู้ไหม เมื่อเช้าท่านผู้การมาเยี่ยมผม ท่านบอกว่าจะเลื่อนขั้นให้ผมด้วย อีกไม่นานผมจะได้เป็นรองสารวัตร เงินเดือนผมจะมากพอที่จะเลี้ยงคุณได้ เราแต่งงานกันนะ” สงครามกุมมือธารา

แต่ธาราดึงมือออก บอกเขาว่าตนรอไม่ได้ ตนต้องการมีชีวิตอยู่บนความจริง วันนี้ที่ตนมาเพื่อบอกลา เธอยอมรับว่าเขาเป็นคนดีมาก แต่ยังไม่ที่สุดสำหรับเธอ ธาราเดินจากไป สงครามตกใจพยายามลงจากเตียง บังเอิญปัดแจกันดอกแก้วตกแตกกระจาย...

ooooooo

ขณะที่สงครามเดินมาขึ้นรถ รู้สึกเหงื่อท่วมตัว อาการผิดปกติ หายใจติดขัด...ด้านภพธรนั่งดูรูปถ่ายวันรับปริญญาของตัวเองแล้วหวนนึกถึง วันนั้นเขารู้สึกเดียวดาย เพื่อนๆมีญาติพี่น้องมาร่วมถ่ายภาพ แต่ตัวเขาไม่มีใครเลย จนจะเดินกลับ ธาราเข้ามาขวางพร้อมช่างภาพ

“ดีใจด้วยนะ อาไม่พลาดมาแสดงความยินดีกับธรหรอก เพราะอารับปากกับพ่อของเธอแล้วว่า จะดูแลลูกของเขาให้ดีที่สุด” ธาราให้ภพธรยิ้มถ่ายรูปคู่กัน...

แต่ก็ยังมีปมอดีตที่ยังคาใจ วันที่พ่อของภพธร

กระโดดตึกฆ่าตัวตาย เขาเพิ่งอายุ 12 แหวกผู้คนที่มุงดูเข้ามาเห็นสภาพพ่อ เขาโผเข้ากอดพ่อร้องไห้โฮ มีเพียงกระดาษจดหมายยับๆที่พ่อทิ้งไว้ให้ ข้อความว่า “มันโกงเรา พ่อขอโทษ” ทำให้เขาเชื่อว่าธาราเป็นคนโกงพ่อของเขา...

บ่ายวันนั้น เหยี่ยวขี่จักรยานมาบึงที่เกิดอุบัติเหตุกับน้ำริน เธอจำได้ดีว่าเธอได้พบเขาที่นี่ เหยี่ยวว่าแถวนี้อาจจะมีหลักฐานบางอย่างหลงเหลือ เช่น กระเป๋าสตางค์ แหวน กำไล น้ำรินฉุกคิดถึงสร้อย อาจจะตกแถวนี้เธอมองไปตามพื้น เห็นร่องรอยสีสเปรย์ฉีดพ่นเป็นรูปคน

“หมายความว่ายังไง” น้ำรินครุ่นคิด

ทันใด เสียงกราดเกรี้ยวของชลชาติดังขึ้น “ก็แปลว่ามีคนตายไง แล้วคนคนนั้นก็คือกู!”

น้ำรินตกใจ ชลชาติกระชากน้ำรินเข้ามาบีบคอ จะดูดวิญญาณเธอให้แตกสลาย หญิงสาวพยายามจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ เหยี่ยวหาหลักฐานอยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงน้ำริน

“ปล่อยฉันเถอะ ฉันทำบุญให้แล้ว จะเอาอะไรจากฉันอีก”

“บุญแค่นั้นกูไม่รับ รู้ไหมว่ามึงทำอะไรกับชีวิตกู กูต้องตายเพราะมึง...มึงทำให้กูต้องตาย กูไม่ปล่อยให้มึงทำภารกิจสำเร็จหรอก มึงต้องอยู่กับกูที่นี่ เป็นสัมภเวสี เป็นผีเร่ร่อนเหมือนกู รอจนกว่าจะมีคนมาตายแทน” ชลชาติบีบคอน้ำริน ร่างเธอมีหมอกสีขาวจะออกจากร่าง

พอดีเหยี่ยวเดินมาเห็นท่าทางน้ำรินแปลกๆ แต่ไม่เห็นชลชาติ ก็ถามเธอเป็นอะไร เธอบอกว่าผีกำลัง

ดูดวิญญาณเธอ เหยี่ยวงงไม่คิดจะมีเรื่องแบบนี้ แต่ก็ตั้งสติถอดสร้อยพระออกไปจ่อตรงหน้าน้ำริน ทันใดแสงสีทองเปล่งประกาย ทำให้ชลชาติร้อนวาบจนต้องปล่อยร่างน้ำริน เธอหันมาบอกเหยี่ยวให้วิ่ง เหยี่ยวจึงวิ่งตามเธอไปอย่างงงๆ

กลับถึงบ้าน เหยี่ยวยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำรินบอกว่า ตนกำลังหาสร้อยอยู่ผีชลชาติก็โผล่มา เหยี่ยวฉุกคิด ล้วงสร้อยในเสื้อแจ็กเกตออกมาชูให้น้ำรินดู ว่าใช่สร้อยนี้หรือไม่ น้ำรินตาโพลงเอื้อมมือจะจับแต่จับไม่ได้ ถามเขาเอามาจากไหน

“ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมความทรงจำของผมถึงหายไป ผมลืมไปเลยว่าเคยเก็บสร้อยเส้นหนึ่งได้ที่ริมบึง แล้วใส่ไว้ในแจ็กเกตตัวนี้”

น้ำรินถามย้ำเขาเก็บสร้อยไว้ในเสื้อตัวนี้ตลอดเวลาหรือ เขาพยักหน้า เธอพอเข้าใจแล้วมันถึงทำให้วิญญาณเธอติดกับเขา เหยี่ยวไม่อยากเชื่อ...น้ำรินนึกถึงนกยูง ยอดชัดรวมถึงชลชาติ ทั้งสามอาจตายเพราะตน แต่เหยี่ยวปลอบว่าคนอย่างเธอ เห็นแมลงสาบยังวิ่งหนีจะฆ่าใครได้ น้ำรินไม่กล้าเล่าเรื่องนกยูงให้ฟัง ได้แต่ถามเขาว่า “ถ้าฉันไม่ดีอย่างที่คุณคิด ทำร้ายใครต่อใครหลายคน ถ้าฉันกลับเข้าร่างได้ คุณจะเกลียดฉัน จะตามจับฉันไหม”


เหยี่ยวอึ้งไม่มีคำตอบ...คืนนั้นน้ำรินนอนละเมอ “อย่า...อย่าทำฉัน แม่...แม่ช่วยน้ำด้วย”

เหยี่ยวเข้ามานั่งมอง อยากจะลูบผมเธอก็ทำไม่ได้ ได้แต่มองใบหน้าสวยหวานของเธออย่างพินิจ พึมพำ “คุณทำร้ายใครไม่ได้หรอก...ผมรู้”

หลายวันผ่านไป ธาราได้กลับมาอยู่บ้านในสภาพนั่งรถเข็น ภพธรกับนับดาวดูแลความเรียบร้อย แต่ก็ยังโดนธาราเหวี่ยงวีนไม่ต้องการคนดูแล ต้องการให้พวกเขาตามหาน้ำรินให้เจอ นับดาวข่มอารมณ์โกรธ ชงชาดอกมะลิมาวางให้ธาราจิบ ภพธรรายงาน

“วันจันทร์นี้จะมีงานวันครอบครัวต้านภัยยาเสพติด ที่เราจัดเป็นประจำทุกปีร่วมกับสำนักงานสืบสวน” ธาราถามว่าเธอต้องเป็นประธานเปิดงานใช่ไหม ภพธรบอกตนจะดูแลให้

แต่ธาราคิดว่าจะไปเอง อยากมีอะไรทำให้คลายความคิดถึงลูก นับดาวสบตาภพธรยิ้มอย่างพอใจที่เห็นธาราจิบชาไปหลายอึก...

เช้าวันหนึ่ง เหยี่ยวตื่นมาเห็นน้ำรินยังนอนหลับ จึงเข้าไปอาบน้ำ น้ำรินฝันถึงภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ตนนั่งรออย่างกระวนกระวาย มองนาฬิกาข้อมือที่เหมือนกับของธารา จู่ๆไฟในร้านก็หรี่ลง ไฟเชิงเทียนติดขึ้นทีละดวง มีมือหนึ่งชูสร้อยตรงหน้า คือสร้อยตัวอักษร PN พร้อมกล่าว สุขสันต์วันครบรอบที่รู้ใจกัน...น้ำรินเรียกพี่ธร แต่ในฝันไม่เห็นหน้าชายคนนั้น เสียงกริ๊งดังขึ้น

น้ำรินลืมตาตื่น เห็นเหยี่ยวสวมเสื้อกล้ามเดินออกจากห้องน้ำ กดปิดนาฬิกาปลุก เธอบ่นกำลังฝันถึงอดีต เหยี่ยวแขวะแน่ใจหรือว่าภาพความทรงจำ ไม่ได้คิดไปเอง หญิงสาวบอกว่าจริง เป็นภาพตนอยู่กับคนรัก คนที่ให้สร้อยเส้นนั้น ตนมั่นใจว่าเขาเป็นแฟน เหยี่ยวหน้าเสียโดยไม่รู้ตัว น้ำรินบอกว่าตนเรียกเขาว่าพี่ธร เท่ากับมีข้อมูลเพิ่มขึ้นว่าตนมีแฟนชื่อธร

เช้าวันเดียวกัน ธาราดื่มชาดอกมะลิ คิดถึงน้ำรินอีก พยาบาลเข้ามาบอกว่าได้เวลาเดินทาง ธาราขอไปหยิบนาฬิกาที่ลูกสาวให้มาสวม ทั้งที่มันไม่เดินแล้ว แต่เธออยากใส่เพราะคิดถึงน้ำริน

ooooooo

ภพรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด