สมาชิก

มงกุฎดอกส้ม

ตอนที่ 4

อาเง็กออกจากห้องเยนหลิงอย่างเร็วรีบเดินลงไปชั้นล่าง แต่ตายังคอยชำเลืองมองไปชั้นบนอย่างอยากรู้ อยากเห็น ครู่หนึ่งเห็นเจ้าสัวเดินลงบันไดมาเมื่อถึงหน้าห้องเยนหลิงก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงของโรสแว่วมา

โรสร้องงิ้วด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย สายตามองมายังเจ้าสัวอย่างเว้าวอน แต่เจ้าสัวไม่สนใจเปิดประตูห้องเยนหลิงเข้าไป เสียงโรสยิ่งเศร้าโหยหวนร้าวรานใจ จนประตูห้องเยนหลิงปิดสนิท โรสจึงหยุดร้อง เดินเข้าห้องตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยหัวใจที่บอบช้ำ

อาเง็กซุ่มดูอยู่ พอเห็นเจ้าสัวเข้าห้องเยนหลิงก็ดีใจ รีบไปบอกป้าพุ่มให้เปลี่ยนเอาโคมแดงมาแขวนที่หน้าห้องเยนหลิงแทน

แม้จะตรอมใจ แต่โรสก็ยังไปดูงิ้วต่อจากเมื่อคืน เรื่องราวเศร้าไม่น้อยกว่าเมื่อคืน แต่โรสร้องไห้หนักกว่าเมื่อคืน ต้องคอยยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยลีลาของนางเอกงิ้ว


ทรงชัยมาดูงิ้วเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ดูงิ้วนักเพราะสายตาคอยจับจ้องที่โรสอย่างสนใจมาก จนกระทั่งงิ้วจบ โรสเดินออกมาเจอทรงชัยมาดักส่งยิ้มให้ เธอยิ้มให้อย่างรักษามารยาทแล้วเดินผ่านไป

ทรงชัยยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งชอบโรสอย่างจริงจัง

พอกลับมาถึงบ้าน โรสตรงเข้าไปเขย่าอาจูที่นั่งรอจนหลับอยู่ที่บันไดหน้าตึก ถามอาจูว่า

"นายท่านอยู่ห้องอีผู้ลีเรอะ"

อาจูพยักหน้าอย่างเห็นใจ โรสทำหน้าหมั่นไส้มองไปที่ห้องเยนหลิงเห็นโคมแดงแขวนอยู่แล้วเดินเข้าห้องตัวเองพอเข้าห้องก็จับข้าวของเหวี่ยงกระจุยกระจายระบายอารมณ์ อาจูหลบไปนั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง

ครู่หนึ่งโรสลุกขึ้นมาเปิดแผ่นเสียงร้องเพลงโหยหวนทำนองเศร้าสร้อย ตัวเองก็ร่ายรำไปตามเนื้อเพลงทั้งน้ำตา อาจูมองตาละห้อยด้วยความสงสารคุณนายของตัวเอง

เม่งฮวยสวดมนต์อยู่ แว่วเสียงเพลงจากห้องโรสก็หงุดหงิดมือที่นับลูกประคำสั่นระริก ปากก็พึมพำ "เจ๊กอั้ก...เจ๊กอั้ก..."

คำแก้วเองก็ได้ยินเสียงเพลงจากห้องของโรส เธอนอนลืมตาโพลงมองเพดาน ในแววตามีทั้งความกังวลและอ่อนหวาน ในความนึกคิด ภาพก้องเกียรติจ้องมองตน สบตากัน และชูถ้วยน้ำชาก้มหัวให้อย่างมีมารยาท ยังวนเวียนอยู่อย่างไม่อาจสลัดได้

แม้คำแก้วจะพยายามข่มตาให้หลับ แต่ความคิดก็ยังฟุ้งซ่าน...

ooooooo

วันรุ่งขึ้น คำแก้วตื่นแต่เช้า เอาผ้าคลุมไหล่เดินออกจากห้องไปเดินเล่นที่แถวศาลาท่าน้ำเห็นพระสงฆ์พายเรือบิณฑบาต ชาวบ้านพายเรือสัญจรไปมา ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ตั้งใจว่าวันนี้จะไปขอโทษเจ้าสัว

เวลาเดียวกัน ก้องเกียรติตื่นเช้าเช่นกันตั้งใจจะออกไปเดินเล่นที่สนาม เขาชะงักเมื่อเห็นคำแก้วเดินอยู่ เขาตัดสินใจเดินไปทางนั้น

คำแก้วเดินผ่านคนสวนที่กำลังเอาพุ่มเบญจมาศที่มีดอกพราวมาเรียงเป็นอักษรจีนมีความหมายว่าโชค ความมั่งคั่ง อายุมั่นขวัญยืน และความสุข คำแก้วเดินมาหยุดยืนดู คนสวนจัดเรียงเสร็จพอดี คำแก้วยิ้มให้คนสวนอย่างมีไมตรีจิต คนสวนยิ้มรับเดินค้อมตัวแยกไป

ข้างหลังคำแก้ว ก้องเกียรติกำลังเดินตามมาพอเข้าใกล้เขาร้องทัก

"กู๊ดมอร์นิ่งคำแก้ว"

คำแก้วหยุดเดิน ก้องเกียรติเดินมาถึงพอดี เธอพูดเปรยๆอย่างถือดีว่า

"ถ้าจะถืออาวุโสเป็นเกณฑ์ คุณชายใหญ่ไม่ควรจะเรียกชื่อฉันลอยๆอย่างนี้"

"ถ้างั้น...ฉันจะเรียกเธอว่าคุณนายที่สี่ แต่ถ้าจะนับวัยวุฒิ เรียกคำแก้วเฉยๆก็ถูกต้องแล้วเพราะเธอคงอ่อนกว่าฉันหลายปี ถามจริงๆเธออายุเท่าไหร่" เมื่อคำแก้วไม่ตอบเขาตัดบท "ไม่บอกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากรู้แล้ว"

คำแก้วยังยืนนิ่งมองดูพุ่มเบญจมาศที่ถูกเรียงเป็นตัวอักษร ก้องเกียรติถามขึ้นว่า

"เธอชอบดอกเบญจมาศเหมือนกันหรือ นึกว่ามีฉันคนเดียวที่ลุกขึ้นมาชื่นชมมันแต่เช้า ไม่ยักรู้ว่าเธอตื่นเช้าเหมือนกัน"

คำแก้วบอกว่าตนชอบดอกเบญจมาศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาถามว่าเธอชอบดอกอะไรมากที่สุด คำแก้วหลุดปากไปว่า "ดอกส้ม" ก้องเกียรติแปลกหูถามว่าดอกอะไรนะ ฟังไม่ถนัด คำแก้วเปลี่ยนเป็นว่าตนชอบดอกไม้ทุกชนิด แล้วพูดย้ำว่า

"เกลียดอย่างเดียวคือดอกเบญจมาศที่เอามาจัดเรียงเป็นตัวหนังสือแบบนี้" ก้องเกียรติถามว่าเพราะอะไร "เพราะมันดูไม่เป็นธรรมชาติ แทนที่จะอยู่ตามไร่ตามสวน กลับมาเสนอหน้า ชูคอ เบ่งบาน เย่อหยิ่ง อวดดี เป็นดอกไม้ดีๆไม่ชอบ ดัดจริตเป็นตัวหนังสือเจ๊กแป๊ะ"

ยิ่งพูดคำแก้วก็ยิ่งเสียงดังอย่างมีอารมณ์ พอพูดจบเธอก็ยืนนิ่ง ทั้งสองสบตากัน คำแก้วรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ฉับพลันก้องเกียรติก็หัวเราะลั่นออกมาอย่างขบขัน จนคำแก้วมองค้อนๆว่าขำอะไร


ที่ห้องเยนเหลิงเจ้าสัวยังนอนอยู่ เธอลุกเบาๆเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างมองไปข้างล่าง แล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นก้องเกียรติกับคำแก้วยืนอยู่ด้วยกัน ก้องเกียรติยังหัวเราะขำๆคำแก้วก็ยังค้อนเคืองๆ

เยนเหลิงมองทั้งสองด้วยความสงสัยว่าทั้งคู่กำลังจีบกันอยู่...

ooooooo

ก้องเกียรติหยุดหัวเราะมองคำแก้วอย่างสนใจว่าเธอคิดแปลกดี พูดอย่างอยากคุยต่อว่า

"ความจริงแล้วดอกไม้พวกนี้มันเป็นเองเมื่อไหร่ล่ะ คนต่างหากทำให้มันเป็น แต่ว่าแปลกนะ ฉันชอบ" เห็นคำแก้วทำท่าเยาะๆ เขาแกล้งพูดยั่ว "ตัวหนังสือดอกไม้ ฉันว่าน่าดูออก น่าดูกว่าใช้พู่กันเขียนบนกระดาษ"

"ฉันนึกแล้วเชียว ฮึ!"

"นึกว่าไงหรือ" ก้องเกียรติถามมีเสียงหัวเราะกลั้วในน้ำเสียง นัยน์ตาระยิบมีแววขำๆ


"นึกว่าคุณชายก็เหมือนคนอื่น ชอบอะไรที่จอมปลอม ดอกไม้ไม่อยู่ส่วนดอกไม้ มนุษย์ไม่อยู่ส่วนมนุษย์ ดอกไม้อยากเป็นมนุษย์ มนุษย์อยากเป็นดอกไม้ ทุกอย่างจอมปลอม" คำแก้ว สบตาเขาอย่างท้าท้าย

ก้องเกียรติมองเธออย่างทึ่งแกมพอใจ แต่ก็ไม่แสดงมาก คำแก้วขยับจะเดินไป เขารีบบอก

"เดี๋ยว...ช่วยพูดให้เข้าใจง่ายๆกว่านี้ได้หรือเปล่า"คำแก้วบอกว่าไม่เชื่อว่าเขาไม่เข้าใจ "ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เธอพูดจามีความหมายลึกซึ้ง ลึกซึ้งเกินกว่าอายุของเธอ แม้อายุเท่าฉันก็ยังฟังไม่เข้าใจ"

"ไม่มีอะไรซับซ้อน ฉันว่าดอกไม้อยากเป็นมนุษย์ ตัวอักษรนี่มันก็คือมนุษย์ไม่ใช่เหรอ"

"แล้วมนุษย์อยากเป็นดอกไม้ล่ะ"

คำแก้วพยายามสะกดความร้าวรานใจแต่ไม่สำเร็จ น้ำตาค่อยๆไหล่เอ่อออกมาขณะพูด

"ฉันนี่ไง...มนุษย์ที่อยากเป็นดอกไม้ ดอกไม้ที่ให้คนเด็ดไปย่ำยี" เสียงเธอสะท้านสั่นเครือ

ก้องเกียรติตะลึงใจหายด้วยความสงสาร คำแก้วร้องไห้แล้ววิ่งออกไป

ส่วนเยนหลิงที่อยู่ตรงหน้าต่างหลบวูบเข้าห้องไปทันที

ooooooo

คำแก้ววิ่งร้องไห้ไปซบหน้ากับขั้นบันไดในตึกร้องไห้ จนตัวสั่นสะท้าน

ส่วนก้องเกียรติเดินซึมๆกลับเข้าตึกหลังเล็ก เจอเพื่อนทั้งสามเดินเรียงหน้ากันลงมาหา เรืองยศเอ่ยขึ้นก่อนว่า "เห็นคุยกับแม่เลี้ยงสองคนตั้งนาน ถ้าคุณเตี่ยเห็นเข้าคงไม่ชอบใจนัก"

โจขัดคอเพื่อนว่าอย่าย้อนยุคมากนักเลย ไม่เห็นจะแปลกเมื่อเขาเดินไปเจอกัน คุยกันเรื่องสัพเพเหระ พูดแล้วทำเป็นหันมาถามก้องเกียรติว่าใช่ไหม เรื่องสัพเพเหระใช่ไหม พอก้องเกียรติพยักหน้า โจก็แทรกขึ้นว่าคุยกันกลางแจ้งใครจะไปว่าอะไร ย่อมได้อยู่แล้ว

เพื่อนทั้งสามแกล้งอำกันว่าใครเห็นตอนไหน ทำราวกับว่าต่างคนต่างดูที่หน้าต่างห้องตัวเอง แต่ที่จริงแล้วทั้งสามโผล่กันหน้าสลอนอยู่หน้าต่างบานเดียวกันนั่นเอง สายตาทั้งสามคนเห็นทุกอย่างในมุมเดียวกัน

ก้องเกียรติฟังเพื่อนๆแล้วไม่พูดอะไร เลี่ยงไปหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าเป็นเพลงจีนทำนองหวานซึ้ง...

คำแก้วร้องไห้จนหนำใจแล้วลุกเดินขึ้นบันได ตายังแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก  พลันเธอก็ชะงักเมื่อแว่วเสียงขลุ่ยจากตึกเล็ก เธอเดินออกไปที่ระเบียงมองทางนั้น เสียงขลุ่ยในเพลงที่หวานซึ้ง ทำให้สีหน้าคำแก้วผ่อนคลายลง

เจ้าสัวเพิ่งออกจากห้องเยนหลิง เดินผ่านมาเห็นคำแก้วจึงเดินเข้าไปแตะไหล่เธอเบาๆ แต่ทำเอาคำแก้วผวาเฮือก หันมองพอเห็นเป็นเจ้าสัวก็อุทาน "นาย..."

เจ้าสัวถามว่ามายืนตรงนี้ทำไม เธอบอกว่าไปเดินเล่นแต่เช้า เห็นเขาจัดดอกไม้กันด้วยสวยมาก ดอกไม้ทำเป็นตัวหนังสือ เจ้าสัวเหมือนไม่สนใจเรื่องดอกไม้แต่กลับมองหน้าถามว่าร้องไห้หรือ เรื่องอะไร

"เพลงขลุ่ยมันเศร้าค่ะ" คำแก้วปด แต่พอเจ้าสัวให้เล่า เธอกลับเลี่ยงไปว่า "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องไม่เป็นเรื่อง นายขา...เรื่องเมื่อคืนแก้วขอโทษ" พลางเข้าไปกราบที่อกเจ้าสัว "แก้วผิดมากที่คิดไม่ดีกับคุณชายใหญ่"

กระนั้นเจ้าสัวก็ยังไม่สนใจ ย้ำบอกว่าอยากฟังเรื่องขลุ่ย คำแก้วมองหน้าเจ้าสัวงงๆว่าทำไมจึงอยากฟังเรื่องขลุ่ยนัก หารู้ไม่ว่าเจ้าสัวแอบระแวงอยู่ในใจ

เมื่อคำแก้วพาเจ้าสัวเข้าไปในห้อง เปิดกระเป๋าหวายหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งในนั้นออกมาดู น้ำตาเอ่อท้นขึ้นมา ทำให้เจ้าสัวยิ่งสงสัยระแวงว่าเธอมีความหลังอะไรเกี่ยวกับขลุ่ย?

ooooooo

ขณะเม่งฮวยกำลังสวดมนต์อยู่ที่มุมไหว้พระนั้น ก้องเกียรติเข้ามาถามแม่ว่าสวดมนต์เสร็จหรือยัง เม่งฮวยมองลูกด้วยความดีใจบอกว่าเสร็จแล้ว ก้องเกียรติจึงพาแม่ไปเดินชมตัวอักษรต้นเบญจมาศที่สวน เม่งฮวยเดินไม่ถนัดนักจึงเกาะแขนก้องเกียรติไว้ กระนั้นก็ยังสะดุดอะไรบางอย่างจนเซจะทรุด ก้องเกียรติประคองแม่ไว้พาไปนั่ง แล้วคุกเข่านวดเท้าให้แม่อย่างห่วงใย

"พอแล้วอาตั่วตี๋" เม่งฮวยน้ำตาเอ่อด้วยความปลื้มปีติอบอุ่นในการปฏิบัติของลูก ก้องเกียรติจึงลุกขึ้นนั่งข้างแม่ เม่งฮวยพึมพำ "เฮ้อ...สี่คน...สี่คน อีกหน่อยก็ห้า หก เจ็ด" พูดแล้วก็สะอื้นในอกบอกลูกชายว่า "ม้าคงทนม่ายล่ายสักวัน ม่ายอยากทน ม่ายอยากเห็งอารายอีกแล้ว อยากตาย...อยากตาย"

ก้องเกียรติกอดแม่ไว้ด้วยความสงสาร ปลอบใจแม่ว่าตนยังอยู่นี่ เรียกตนได้ตลอดเวลา ตนจะมาหาทันที แต่พอฟังแม่บอกว่า "อีคงที่สี่...ม้าเกียดมัน!" ก้องเกียรติก็อึ้ง เพราะเป็นคนที่ตนกำลังสนใจพอดี

ooooooo

เมื่อพากันไปนั่งที่ระเบียงนั่งเล่นด้านหลัง เจ้าสัวรินน้ำชาดื่มอย่างชื่นใจ คำแก้วถามว่าสารทจีนเป็นวันอะไร เจ้าสัวเล่าว่าสารทจีนเป็นการไหว้เจ้าเดือนเจ็ดวันที่สิบห้า เรียกกันว่าตงง้วงโจ่ย ไหว้ครั้งที่ห้าของปี พอคำแก้วถามตามประสาว่าสนุกไหม เจ้าสัวมองหน้าคำแก้วอย่างเอ็นดูที่ไม่ประสากับประเพณีจีน เล่าต่ออีกว่า

"ไหว้เจ้าเป็นประเพณี วันสารทจีนเนี่ย เลาไหว้เจ้าที่โต๊ะหนึ่ง อีกโต๊ะหนึ่งเลาจาไหว้บรรพบุรุษ แต่เลามีพิเศษ อีกชุดหนึ่ง คือไหว้ต้นตระกูลจีน"

จนมาถึงวันไหว้ ทุกคนในครอบครัวมากันพร้อมหน้า มีเครื่องไหว้มากมายทั้งของกินของใช้ คำแก้วยังจำที่เจ้าสัวเล่าให้ฟังได้ว่า...

"ต้นตระกูลจีนนี่ม่ายใช่ต้นตระกูลของเลานะ เป็นพวกคนจีนที่มาเมืองไทยสมัยแลกๆ เป็นรุ่นบุกเบิก พวกนั้น บางคนตายไปม่ายมีลูกหลานจาสืบต่อสกุล ม่ายมีคนจัดโต๊ะไหว้ให้ อย่างที่คนไทยเลียกว่าผีไม่มีญาติไง เลาก็ถือเป็นต้นตระกูลจีนทั้งหมด หลายๆบ้านเลยตั้งโต๊ะไหว้ให้พวกนี้ล่วย เล่าเรียกว่าไหว้ ฮ้อ เฮีย ตี๋"

ขณะเจ้าสัวนั่งเป็นประธานในพิธีไหว้นี้ ก้องเกียรติซึ่งอยู่ในกลุ่มลูกๆคอยชำเลืองมองคำแก้ว เธอเองก็ลอบมองเขาพอสบตาก็หลบทันที เรืองยศสังเกตทั้งคู่อยู่เงียบๆ

ooooooo

ตกกลางคืน เม่งฮวยอยู่ในห้อง แว่วเสียงเป่าขลุ่ยเพลงจีนก็นิ่งฟัง ชมกับอาฮุ้งว่า

"อาตั่วตี๋ อีเป่าขลุ่ยเพราะจิงๆ"

ส่วนโรสอยู่ที่ห้อง พอได้ยินเสียงขลุ่ยก็ร่ายรำไปตามทำนองเพลง ในขณะที่หัวใจลอยล่องไปถึงชายหนุ่มที่พบกันที่โรงงิ้ว

ก้องเกียรติกับเพื่อนๆเดินทางกลับในคืนนี้เลย เรืองยศ โจ และเต้ไหว้ลาเจ้าสัวกับเม่งฮวยแล้วพากันไปขึ้นรถ ก้องเกียรติไหว้ลาอาเตียและแม่พลางเข้าไปกอดแม่แล้วผละจะไปขึ้นรถ

ขณะนั้นเอง อาฮุ้งวิ่งออกมาถืออะไรบางอย่างห่อในผ้า ดูแล้วรู้ว่าข้างในเป็นขลุ่ย คำแก้วแอบดูอยู่ พอเห็นก็เอะใจวิ่งกลับไปที่ห้องทันที

คำแก้วรีบไปค้นดูขลุ่ยในกระเป๋าหวาย ปรากฏว่ามันหายไปแล้ว พุ่งเป้าหมายไปที่กิมลั้งทันที เชื่อว่าต้องถูกกิมลั้งขโมยไปแน่ๆ ร้องเรียกอย่างเกรี้ยวกราดอยู่นานกิมลั้งจึงโผล่มา

คำแก้วคาดคั้นเอาผิดกับกิมลั้งให้ได้หาว่าขโมยขลุ่ยตนไป กิมลั้งเถียงว่าตนไม่ได้เอาไปไม่เชื่อถามใครๆดูก็ได้ว่าตนเคยขโมยของเจ้าสัวหรือคุณนายคนไหนไหม คำแก้วไม่เชื่อบังคับให้พาไปดูที่เรือนคนใช้

พอถึงห้องพักของกิมลั้ง คำแก้วลากกิมลั้งเข้าไปสั่งให้เปิดหีบออก กิมลั้งไม่ยอมเปิดยืนกรานว่าตนไม่ได้เอาไป คำแก้วถามเป็นคำสุดท้ายว่า

"จะปิดไม่เปิด อยากเห็นมันพังใช่ไหมหา! อยากเห็นใช่ไหม" เมื่อกิมลั้งยังขวางไม่ให้เปิด คำแก้วเรียกคนสวนแถวนั้นให้เอาขวานมา แล้วเตรียมจามหีบ กิมลั้งร้องเสียงหลง อ้อนวอนอย่าทำเลย คำแก้วเงื้อขวานสุดแขนบอกกิมลั้งว่า

"แกไม่ยอมเปิด ฉันจะเอาไอ้นี่สับให้มันเปิดจนได้ ถ้าในหีบไม่มีขลุ่ย พรุ่งนี้ฉันจะซื้อหีบใหม่ให้"

สิ้นเสียงคำแก้วจามขวานสุดแรงจามซ้ำแล้วซ้ำอีกหีบจึงเปิดออก คำแก้วโกยของในหีบออกมา ในขณะที่กิมลั้งน้ำตาไหลพรากเข้าขัดขวางสุดชีวิตแต่ไม่เป็นผล เมื่อคำแก้วรื้อจนถึงก้นหีบเจอผ้าดิบสีมอๆห่ออะไรบางอย่างมีสายสิญจน์มัดไว้เป็นเปลาะๆ

เมื่อกิมลั้งหยุดคำแก้วไม่ได้ก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี คำแก้วไม่ยอมให้ไปไหน พอคำแก้วแกะสายสิญจน์ออกหมดคลี่ผ้าดิบออกดู มีตุ๊กตารูปผู้หญิงมีเข็มปักอกไว้ 3 เล่ม ที่หน้าอกตุ๊กตาเขียนคำว่า "คำแก้ว" เธอมองขวับถามกิมลั้งว่า

"อะไรนี่...นังกิมลั้ง...นี่มันอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้นะ"

กิมลั้งไม่กล้าสบตาก้มหน้าร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว

ooooooo

คำแก้วถือตุ๊กตาเดินอ้าวออกจากเรือนคนใช้ กิมลั้งพยายามที่จะรั้งไว้กระทั่งเข้ากอดขาก็ถูกคำแก้วสะบัดจนกระเด็น อาเง็กเห็นดังนั้นรีบตามคำแก้วไป ปากก็ร้องบอกพวกอิ่ม  ผิน  กับอาอึ้มให้ช่วยกันดึงคำแก้วไว้  อาอึ้มถามว่ามีเรื่องอะไรกันหรือ  กิมลั้งไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

คำแก้วไปเคาะประตูห้องเยนหลิงแล้วเปิดเข้าไปเลย อาเง็กรีบเข้าไปแก้ตัวว่าตนห้ามแล้วว่าอย่าเคาะประตูดังคุณนายจะตกใจก็ไม่ฟัง

คำแก้วเอาตุ๊กตาตัวนั้นให้เยนหลิงดู เยนหลิงตกใจยกมือทาบอก คำแก้วฟ้องว่า

"มันจะฆ่าแก้ว คุณพี่รู้ไหมคะ อีนังกิมลั้งมันจะฆ่าแก้ว มันทำของ ทำเล่ห์กลจะให้แก้วตาย แก้วจะต้องเอามันให้ตายเหมือนกัน"

เยนหลิงถามอย่างแนบเนียนว่าทำไมถึงได้พบ คำแก้วไปทำอะไรที่ห้องกิมลั้ง พอคำแก้วเล่าให้ฟังเยนหลิงก็ท้วงติงว่ากิมลั้งไม่รู้หนังสือไทย เพราะที่ตัวตุ๊กตาเขียนคำว่า "คำแก้ว" ไว้ชัดเจน คำแก้วนิ่งไปครู่หนึ่งถามว่าถ้าอย่างนั้นใครทำ?

"ถามจากมันสิ มันต้องรู้เห็นด้วยแน่ นังลั้งน่ะขู่มันเข้าไปขู่จะเอาให้ตายเลยมันกลัวมันต้องบอก เชื่อพี่เถอะ" เยนหลิงยุ

คำแก้วนิ่งคิดตามคำแนะนำของเยนหลิงแล้วย้อนกลับไปที่เรือนคนใช้ พูดดีๆกับกิมลั้งว่าตนจะไม่ทำอะไร ไม่อาฆาตเคียดแค้นกิมลั้งอีก ขอแต่ให้บอกมาว่าใครเป็นคนเขียนชื่อตนบนตุ๊กตานี้

กิมลั้งอึกอัก คำแก้วจึงเอ่ยชื่อถามว่าคุณนายสามใช่ไหม คุณนายสองใช่ไหม กิมลั้งส่ายหน้าทั้งสองคุณนาย แต่พอคำแก้วถามว่าคุณนายใหญ่หรือ กิมลั้งกลับก้มหน้านิ่งเป็นการตอบรับโดยปริยาย

คำแก้วตกใจ ช็อก!

ooooooo

พอกลับไปหาเยนหลิงอีกครั้งเล่าเรื่องที่ไปถามกิมลั้งมาให้ฟัง เยนหลิงทำท่าตกใจพึมพำว่า

"แหมไม่นึกเลย พี่นึกว่าเป็นนังดอกกุหลาบซะอีก"

คำแก้วเลยเล่าให้ฟังว่าตนถามคุณนายสามใช่ไหม คุณนายสองใช่ไหมกิมลั้งก็ส่ายหน้า เยนหลิงทำท่าตกใจถามว่าคำแก้วสงสัยตนด้วยหรือ คำแก้วรีบยกมือไหว้ชี้แจงว่า

"ขอโทษค่ะคุณพี่ แก้วก็ถามไปเรื่อยๆไม่อยากขู่มัน

อย่างที่คุณพี่บอก เกรงว่ามันจะกลัวจนลนลานเสียก่อน แก้วไม่ได้คิดสงสัยคุณพี่แม้แต่นิดเดียวเลยนะคะ"

เยนหลิงเบาใจลงแต่ยังมองคำแก้วอย่างมึนตึง ถามจนแน่ใจว่ากิมลั้งส่ายหน้าที่ชื่อตนแล้ว เยนหลิงพูดสวนไปทันทีว่าลองมันพยักหน้าซิ! คำแก้วเล่าต่อไปว่าพอตนถามว่าคุณนายใหญ่ใช่ไหม กิมลั้งก็นิ่งทำท่าสารภาพ

เยนหลิงทำเป็นโวยวายว่าคุณนายใหญ่ร้ายกาจจริงๆ เล่นกันถึงตายเลยนะเนี่ย พอคำแก้วถามว่าแล้วจะให้ตนทำอย่างไรต่อไป เยนหลิงย้อนถามว่า

"คนที่อยากให้เราตายน่ะ มันก็ต้องตายเหมือนเราสิ เธอไม่คิดอย่างนี้หรอกเหรอคำแก้ว"

คำแก้วถามซื่อๆว่าจะทำอย่างไร จะให้ตนทำอะไรคุณนายใหญ่หรือ เยนหลิงเบ้ปากย้อนถามว่าเธอจะมีปัญญาทำอะไรคุณนายใหญ่ได้ ยิ่งใหญ่ออกปานนั้น แล้วพูดโพล่งออกไปว่า "บอกนาย"

คำแก้วกังวลกลัวนายจะไม่เชื่อ เยนหลิงยืนยันว่าหลักฐานเห็นๆอย่างนี้นายไม่เชื่อก็ไม่ใช่แค่ตาบอดเท่านั้นใจบอดด้วย ยุแยงว่า

"และถ้านายใจบอดขนาดนี้ ก็แปลว่าคุณนายใหญ่น่ะทำอะไรๆก็ไม่ผิด ขนาดคิดจะฆ่าคนนะเนี่ย ไม่ใช่ฆ่าใครที่ไหน แต่ฆ่าเมียของนายเองเลยนะ เมียที่นายรักที่สุดด้วย"

เยนหลิงพรั่งพรูคำยุแหย่ออกมาด้วยหัวใจที่ดำมืด สุดท้ายย้ำกับคำแก้วว่าต้องจัดการเสีย ถ้าไม่จัดการตอนนี้จะรอตอนตายแล้วหรือไง จากนั้นทำเป็นรำพึงลอยๆว่า

"คุณนายใหญ่เม่งฮวยอำนาจล้นฟ้า จะคอยดู ทั้งตัวเองทั้งลูกชายจะเป็นยังไง"

คำรำพึงของเยนหลิงทำให้คำแก้วคิดหนักเพราะไม่อยากให้ก้องเกียรติต้องมาเดือดร้อนด้วย

ooooooo

ที่เรือนคนใช้ กิมลั้งในสภาพหัวเป็นกระเซิง หน้าตามอมแมมนั่งอยู่กับพื้น เรียกผินที่นั่งอยู่ใกล้ๆว่าจะบอกอะไรให้ พอผินกระเถิบเข้าใกล้ กิมลั้งก็กระซิบ กระซาบ ผินฟังแล้วตกใจตาเหลือกถามกิมลั้งว่าไปซัดทอดคุณนายใหญ่ทำไม กิมลั้งบอกว่ากลัวคุณนายสองกับคุณนายสามเอาเรื่องบ้านแตกแน่

ผินถามว่าแล้วไม่กลัวคุณนายใหญ่หรือ กิมลั้งบอกว่าคุณนายใหญ่สวดมนต์บ่อยๆ แค่ตนเอาธูปเทียนไปขอขมาก็ได้แล้ว

"เออ...คอยดูแล้วกัน คุณนายสี่ไม่ปล่อยแกลอยนวลหรอก อีน่ะ ร้ายพอๆกับคุณนายสอง คุณนายสามเลยล่ะ ที่สำคัญอีเกลียดแกจะตาย ทำอะไรไม่รู้จักคิด" ผินบ่น แทนที่กิมลั้งจะฟังกลับย้ำว่า ตนก็เกลียดคุณนายสี่เหมือนกัน เกลียดเข้ากระดูกดำเลยล่ะ

คำแก้วเดินไปยืนลังเลอยู่กลางสนาม เยนหลิงมองจากหน้าต่างลุ้นให้คำแก้วไปฟ้องเจ้าสัวเพื่อจะได้มีเรื่องเล่นงานเม่งฮวย

แต่คำแก้วไปนั่งคิดเครียดอยู่ที่บ่อน้ำเก่า คิดถึงความดีที่ก้องเกียรติมีต่อตน ในที่สุดตัดสินใจไม่ฟ้องเจ้าสัว

เมื่อเยนหลิงรู้ก็บอกคำแก้วว่าถ้าเธอไม่บอกตนจะบอกเอง

"ถ้าคุณพี่บอกแก้วจะไม่พูดอะไรเลยนะคะ" คำแก้วแสดงท่าทีชัดเจนจนเยนหลิงด่าว่าจะบ้าหรือ คำแก้วจึงชี้แจงว่า "แก้วไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้วค่ะ เพราะฉะนั้นแก้วว่าให้จบเรื่องไปดีกว่า"

"มันยังไม่จบ คอยดูไปเถอะเรื่องนี้ไม่มีวันจบ คนเราพอมันทำได้ครั้งหนึ่งมันก็ทำเรื่อยไป จะรอจนถึงวันตายก่อนใช่ไหมถึงจะให้นายรู้" เยนหลิงถามอย่างขัดใจ พอคำแก้วนิ่ง เยนหลิงกลับแว้งใส่คำแก้วว่า "คำแก้ว วันหนึ่ง อั๊วจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมลื้อถึงปกป้องคุณนายใหญ่ อีร้ายกาจ อีไม่ชอบลื้อ อีเกลียดลื้อยังกับอะไรดี ยังปกป้องอีทำไมหา ทำไม!"

ooooooo

จนคืนนี้ คำแก้วก็ยังคิดไม่ตกกับคำพูดของเยนหลิงที่ว่าเธอปกป้องคุณนายใหญ่ ขณะคิดเครียดนั่นเองเจ้าสัวผลักประตูห้องเข้ามา คำแก้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง เจ้าสัวตกใจประคองหน้าเธอขึ้นดูถามว่าร้องไห้หรือ คำแก้วตอบห้วนๆว่าเปล่า ตนสุขสบายอย่างนี้เรื่องอะไรจะต้องร้องไห้

เจ้าสัวถามว่าเบื่อไหม ชวนไปเดินเล่นในสวนกัน หรือจะนั่งรถไปหาอะไรกินเล่นข้างนอกกัน คำแก้วไม่ตอบ ลุกไปที่แจกันดอกไม้ดึงขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วขยำขยี้อย่างระบายอารมณ์ จนเจ้าสัวถามว่าทำอะไร คำแก้วถึงถามว่า "นายเอาขลุ่ยของฉันไปทำไม"

เจ้าสัวอึกอัก ยอมรับว่ากลัวคำแก้วคิดถึงคนอื่นเลยเอาไปเก็บไว้ แล้วถามว่าใครเป็นคนให้ขลุ่ยนั้นแก่คำแก้ว

"นายคิดว่าคู่รักฉันให้มาเรอะ ขลุ่ยนั่นของพ่อฉัน พ่อฉันตายมันก็เป็นของฉัน" คำแก้วเสียงสั่น

เจ้าสัวอึ้งไปทันที ยอมรับว่าตนไม่รู้ ตนรักคำแก้วมากเลยระแวงนึกว่าหนุ่มที่ไหนให้มา สุดท้ายเมื่อคำแก้วขอคืนเจ้าสัวตอบเสียงอ่อยว่า ให้คนเอาไปเผาแล้ว คำแก้วช็อก ฟุบหน้ากับฝ่ามือร้องไห้อย่างหนัก

"แก้ว...อย่าล้องไห้..." เจ้าสัวปลอบคำแก้ว รู้สึกผิดและเสียใจตัวเอง...

คืนนี้เจ้าสัวพยายามเอาอกเอาใจคำแก้ว แต่พอเข้าไปหาในมุ้ง คำแก้วก็แสดงท่าทีมึนตึงเย็นชา จนเจ้าสัวโมโหถามอย่างไม่พอใจว่า จะเอาอย่างไร จะให้คุกเข่าขอโทษเรอะ!

คำแก้วไม่ตอบยังคงนอนนิ่งเงียบ เจ้าสัวถามว่าจะเอายังไง คำแก้วจึงบอกว่าตนไม่สบาย

"จะให้ง้อไปถึงไหนกันวะ ทำหน้างอแบบนี้เลาเกียดนัก" เจ้าสัวหงุดหงิดอารมณ์ค้าง พอคำแก้วพูดอย่างท้าทายว่าไปหาคนอื่นสิ เจ้าสัวลุกพรวดพูดอย่างไม่แยแส "เออ...ก็ได้ ขอบใจสวรรค์ที่บันดาลให้เลายังมีเมียอีกสามคน" ว่าแล้วก้าวไปหยิบเสื้อคลุมออกจากห้องไปเลย

คำแก้วพลิกตัวซบหน้ากับหมอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียว...

ooooooo

โรสยังเริงร่าหาความสำราญกับการหนีไปดูงิ้ว ทั้งเพราะหลงใหลการดูงิ้วและแอบมีความหวังจะได้เจอทรงชัยหนุ่มที่ทำให้หัวใจต้องหวั่นไหวมาสองคืนแล้ว
ดูงิ้วจบ ขณะโรสเดินออกมา ก็เจอทรงชัยเข้าอย่างจัง เธอตกใจในขณะที่ทรงชัยยิ้มอย่างสุดเท่เอ่ยทักชักชวน

"ถ้าไม่รังเกียจผมขอเชิญไปรับประทานอาหารต่อจากนี้" พอเห็นโรสนิ่งเขารบเร้า "อย่าปฏิเสธเลยนะครับ ผมขอร้อง"

เพราะมีใจให้อยู่แล้ว โรสไปกับทรงชัย เขาพาไปที่ร้านอาหารที่ตกแต่งแบบยุโรป สั่งอาหารแล้วบอกโรสว่า "นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งที่อร่อยที่สุด" โรสเอะใจถามว่าเขาไม่ได้เป็นคนจีนหรือ

"อ๋อ...เป็นสิครับ ชื่อจีนผมชื่อซุ่นไช้ ชื่อไทยผมชื่อทรงชัย ผมเป็นหมอครับ มีร้านขายยาอยู่ที่เจริญกรุง"

โรสถามว่าเป็นหมอยาจีนหรือ เขาบอกว่ารักษาแบบจีน จบมาจากฮ่องกง แล้วทำท่าจะถามโรสบ้าง เธอชิงบอกก่อนอย่างเดาใจเขาออกว่า

"ฉันชื่อจีนชื่อเหม่เกว่ ลู้แค่นี้เลี้ยวกันค่ะ"

"เหม่เกว่" ทรงชัยทวนชื่อมองหน้าเธออย่างพอใจ

กินอาหารกันเสร็จโรสขอตัวกลับ ทรงชัยทักท้วงว่ายังไม่ได้กินของหวานเลย โรสขอบคุณแต่ตนไม่กินแล้วจะลุกไป ทรงชัยจะไปส่ง เธอรีบปฏิเสธ

"ไม่...ฉันไปเองล่าย เลาจาไม่พบกังอีก" พูดแล้วรีบออกไปเลย

ทรงชัยมองตามอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมโรสจึงพูดอย่างนั้น

พอโรสกลับถึงบ้าน เธอวิ่งขึ้นบันไดไปด้วยความรู้สึกสับสนกับความคิดของตัวเอง พลันก็เห็นโคมแดงแขวนอยู่หน้าห้องเยนหลิง ความสับสนกลายเป็นแค้นใจขึ้นทันที ซอยเท้าวิ่งขึ้นชั้น 3 อย่างเร็ว โดยมีอาจูวิ่งตามแทบไม่ทัน

พอวิ่งเข้าห้อง โรสก็โถมตัวลงนอนบนเตียงทำท่าไม่สบายมาก บอกอาจูว่าให้ไปตามนายที่ห้องเยนหลิงมาเร็วๆ อาจูทักท้วงอย่างรู้ทันว่ามันดึกแล้ว แต่พอถูกตวาดอาจูก็รีบไป ส่วนโรสก็นอนร้องครวญครางราวกับเจ็บปวดเจียนตายอยู่บนเตียง

ooooooo

มงกุฎดอกส้ม

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด