สมาชิก

ข้าบดินทร์

ตอนที่ 13

อัลบั้ม: เจมส์ มาร์ ประกบ แมท ภีรนีย์ ใน ข้าบดินทร์



4–5 วันต่อมา หลวงสรอรรถผยองลำพองใจมาก ปรนเปรอเหล้ายาแก่พวกอั้งยี่จนเมามาย

เรืองเตือนว่าศึกใหญ่รออยู่ข้างหน้า เหตุใดไม่เข้มงวด กวดขัน กลับกินเหล้าเมายาเช่นนี้

“จะกลัวกระไรวะ ข้าให้คนไปสืบมาแล้ว ทัพของพวกมันมีน้อยกว่าเรานัก ไม่แคล้วพ่ายกลับไปเหมือนที่แล้วมาเป็นแน่” หลวงสรอรรถพูดอย่างลำพองใจแล้วหัวเราะลั่น เรืองไม่พอใจกับความคิดประมาทลืมตัวของหลวงสรอรรถ

ที่นอกค่าย สมิงสอดน้อยกับหลวงเผด็จซุ่มสังเกตการณ์อยู่ หลวงเผด็จพึมพำว่าคนมากนักมันถึงได้เหิมเกริมขนาดนี้ สมิงสอดน้อยยิ้มเยาะว่าสันดานโจร แม้คนจะมากแต่ไร้วินัยไม่อาจเทียบพวกเราได้ดอก

“ศึกครั้งนี้ยังอำพรางให้มันคิดว่าคนเราน้อย ทั้งๆ ที่ทัพของเราเหนือกว่าพวกมันมากนัก” หลวงเผด็จหันยิ้มกันกับสมิงสอดน้อยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพไทยกับพวกโจรค้าฝิ่นก็เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด หลวงสรอรรถบัญชาอยู่ด้านหลังโดยมีเรืองนำพวกโจรเข้าต่อสู้กับทหารไทย หลวงสรอรรถเห็นเหมกำลังใช้ดาบสองมือต่อสู้จนพวกโจรแตกกระเจิง ก็คำราม

“อ้ายเหม! โว้ย...ใครฆ่าอ้ายเหมได้มาเอาทองสิบชั่งที่กู”

พวกโจรอั้งยี่รุมกันไปที่เหม เหมตะโกนให้ส่งสัญญาณถอยประเดี๋ยวนี้ หลวงสรอรรถได้ยินก็ย่ามใจสั่งพวกตนให้ตามไปฆ่าเหมให้จงได้ กองกำลังของเหมพากันวิ่งหนีโดยมีเหมรั้งท้าย พวกโจรค้าฝิ่นโห่ร้องวิ่งตามหมายฆ่าเหมให้ได้

แต่พวกมันหลงกล ถูกกองกำลังของสมิงสอดน้อยกับหลวงเผด็จที่ซุ่มอยู่ซ้ายขวาออกจากที่ซุ่มกรูกันเข้าบดขยี้พวกโจรค้าฝิ่นทันที

“ปรับทัพ กระหนาบตามเข้าไป” เหมบัญชาเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน พวกโจรถูกตีกระหนาบจนแตกกระเจิง หลวงสรอรรถรู้ว่าหลงกลก็พยายามจะหนี สมิงสอดน้อยตามติดเงื้อดาบจะฟัน พริบตานั้นเรืองเอาดาบมารับไว้ได้ทัน หลวงสรอรรถถือโอกาสนั้นวิ่งหนีไป

เมื่อสมิงสอดน้อยกับเรืองคู่ปรับเก่ามาเจอกัน จึงประลองฝีมือกันอีกครั้งด้วยวิชาดาบอาทมาต แต่คราวนี้เรืองใช้เพลงดาบพลิกแพลงมากกว่าเดิมรุกไล่สมิงสอดน้อยจนต้องถอยร่นและถูกเรืองแทงเข้าที่ลำตัวด้านข้างอย่างจังจนทรุดลงไปกับพื้น เรืองยิ้มเยาะยกดาบหมายฟันซ้ำ ถูกเหมพุ่งเข้ามาพร้อมทหารจำนวนมาก เรืองจึงหนีไป

เหมรีบไปดูสมิงสอดน้อยที่เลือดทะลักออกมาแดงฉานไปทั้งตัวด้วยความเป็นห่วง

สมิงสอดน้อยถูกนำตัวไปทำแผลที่กระโจมค่ายทหารของคุณชายช่วง จนอาการปลอดภัยแต่ต้องพักอย่างน้อยกึ่งเดือน แม้ตัวเองจะบาดเจ็บแต่สมิงสอดน้อยบอกคุณชายช่วงอย่ารอช้า พวกมันกำลังระส่ำระสายให้เร่งทัพไล่ตามตีไป ส่วนตนที่บาดเจ็บอยู่นี้ จัดทหารไว้สักสองคนก็พอ ที่เหลือให้เร่งตามไปอย่าให้อ้ายพวกโจรค้าฝิ่นรวมตัวกันได้อีก

“ถ้าคุณหลวงต้องการเช่นนั้น ฉันก็คงไม่ขัด” คุณชายช่วงตอบรับ

“ขอกระผมเป็นทัพหน้านะขอรับ ครานี้ กระผมจะขอกวาดล้างให้สิ้นซาก มิให้พวกมันใช้ฝิ่นมอมเมาผู้ใดได้อีก”

เหมสีหน้ามุ่งมั่นพร้อมต่อสู้ปราบพวกค้าฝิ่นให้ราบคาบ

คุณชายช่วงพยักหน้ารับ

ooooooo

กองทัพของเจ้าพระยาพระคลังได้ไล่ตีกลุ่มโจรอั้งยี่ค้าฝิ่นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สมุทรสาครถึง ราชบุรี ก่อนที่จะไล่ตามไปถึงฉะเชิงเทรา ซึ่งทัพของเจ้าพระยาบดินทร์เดชาตามมาบรรจบกัน แล้วช่วยกันรุมกระหนาบล้อมกลุ่มโจรอั้งยี่ไว้ทั้งทางบกทางน้ำจนไม่มีทางหนีรอดไปได้

ผ่านไป 1 เดือน เหล่าทหารยังเข้มแข็ง คึกคัก และมีระเบียบวินัย ขณะคุณชายช่วงกำลังตรวจค่ายอยู่นั้น เหลือบเห็นเหมเดินอยู่ คุณชายเรียกไปหา เหมถามว่า “คุณพระนายมีกระไรจะใช้สอยกระผมหรือขอรับ”

“ได้ยินว่าคุณหลวงไปที่ค่ายท่านเจ้าคุณบดินทร์เดชามา มิทราบว่าท่านเจ้าคุณว่าอย่างไรเกี่ยวกับการศึกครานี้บ้าง”

“ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ชมเชยว่าวางแผนรอบคอบ สกัดทางหนีทีไล่ของอ้ายพวกค้าฝิ่นไว้ได้หมด แต่เดิม พวกมันเหิมเกริมเพราะได้ชัยหลายครา แลถึงรบแพ้ก็ยังมีวิลาศให้สวามิภักดิ์เพื่อขอความคุ้มครองได้ แต่เรากันไว้ได้ทุกทาง จนพวกมันหมดหนทางแล้วขอรับ”

“เพียงแค่เดือนเดียว รุกไล่พวกมันจนใกล้จนมุม ฉันเองก็ดีใจ แต่วันก่อน เราเผาโรงฝิ่นพวกมันจนวอดวายหมดสิ้นเป็นเหตุให้พวกมันจนตรอก แต่ครั้นจะบุกเข้าไป ฉันก็กลัวพวกมันสู้ตายแล้วเราจะเสียหายหนัก ฉันจึงอยากทราบความคิดเห็นของท่านเจ้าคุณว่าจะทำประการใดดี”

“ประการนี้ ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ได้บอกกระผมมาแล้วขอรับ” คุณชายช่วงถามว่าทำอย่างไรรึ “ท่านให้ ‘รอ’ ขอรับ ท่านเจ้าคุณบอกว่า อีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเพลานั้นให้คุณพระนายเปิดช่องให้หนีขอรับ”

คุณชายช่วงฟังอึ้ง ค่อยๆคิดตามคำพูดของเจ้าพระยาบดินทร์เดชาตามที่หลวงสุรบดินทร์ถ่ายทอด

ooooooo

เพราะการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ทำให้พวกหลวงสรอรรถเริ่มขาดแคลนอาหาร ภายในพวกมันที่มีทั้งลูกน้องหลวงสรอรรถและพวกอั้งยี่พวกของจีนเชียงทอง ต่างจึงยื้อแย่งอาหารจนชกต่อยกระทั่งจะฆ่าฟันกัน

เรืองตะคอกถามว่าพวกเดียวกันแท้ๆ แต่กัดกันเหมือนหมา มันเรื่องกระไรกัน ลูกน้องหลวงสรอรรถโทษพวกอั้งยี่ว่าแย่งปันส่วนข้าวของตนไป พวกอั้งยี่ก็อ้างว่าพวกตนมีมากกว่าแล้วจะแบ่งอาหารเท่ากันได้อย่างไร

“ศัตรูล้อมอยู่ทุกด้าน แทนที่จะร่วมมือร่วมใจกันหาทางออก กลับมาฟัดกันเอง มีปัญญากันบ้างหรือไม่วะ” หลวงสรอรรถตวาด ถูกลูกน้องสวนทันทีว่า

“ก็เพราะมึงน่ะแหละอ้ายคุณหลวง ลักลอบขายฝิ่นอย่างเดียวก็ดีอยู่แล้ว กลับคิดแข็งข้อกับบ้านเมือง จนพาพวกกูลำบากไปด้วย”

หลวงสรอรรถจะเข้าไปเอาเรื่อง ถูกจีนเชียงทองห้ามไว้ ขอให้ใจเย็นๆ พวกเดียวกันทั้งนั้นจะทะเลาะ

เบาะแว้งกันทำไม เสบียงร่อยหรอกินกันไม่อิ่มหนำใช่หรือไม่ ไม่ต้องกลัวตนเอาของมาเพิ่มแล้ว พลางหันสั่งอั้งยี่ “เฮ้ย เอามา”

อั้งยี่ ลูกน้องของจีนเชียงทองขนข้าวปลาหมูเห็ดเป็ดไก่มามากมาย ทุกคนดีใจแย่งกันกินอย่างมูมมาม จีนเชียงทองหัวเราะชอบใจเร่งลูกน้องให้ขนอาหารเข้ามาอีก

หลวงสรอรรถทึ่งที่จีนเชียงทองหาเสบียงมาได้มากมายทั้งที่กำลังขาดแคลน

เรืองจับตาดูอยู่อย่างระแวงสงสัยจีนเชียงทอง

จีนเชียงทองคุยโวว่าคนรู้จักตนมีไม่น้อยล้วนแต่มีผลเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น จะอับจนได้อย่างไร ขอให้ทุกคนเชื่อและไว้ใจว่าตนจะพาทุกคนฝ่าวงล้อมออกไปสวามิภักดิ์วิลาศได้แน่

“ดี...ถ้ากระนั้นมาดื่มให้อาเชียงทองกัน...” หลวงสรอรรถชูจอกชวน “หมดจอก!”

หลวงสรอรรถหัวเราะร่าพากันดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อยหลังจากอดอยากกันมานาน

“แม้แต่มดยังออกไปไม่ได้ แล้วจะเอาเสบียงเข้ามาได้อย่างไรวะ” เรืองแอบดูอยู่หน้ากระโจมคิดเครียด

ooooooo

คืนเดียวกัน ฉิม เมียของจีนเชียงทองก็ลักลอบออกไปขอพบคุณชายช่วง แก้ต่างให้ว่าจีนเชียงทอง

มิใช่คนชั่วร้ายแต่ต้องเป็นโจรเพราะถูกพวกขุนนางหลอกกินสินบนจนไม่เหลือช่องทางต่อรอง

ฉิมบอกว่าจีนเชียงทองอยากรับใช้บ้านเมือง

ขอพระเดชพระคุณเมตตาด้วยเถิด เหมที่ฟังอยู่ด้วยเสนอว่าถ้าอยากรับใช้ก็ต้องช่วยพวกเราจับหัวหน้าคนอื่นทั้งหมด

“ได้เจ้าค่ะ แล้วพระเดชพระคุณปล่อยอาเชียงทองเป็นอิสระได้หรือไม่เจ้าคะ”

“จีนเชียงทองฆ่าฟันขุนนางมามาก ฉันยกโทษให้ทั้งหมดไม่ได้ แต่ลดหย่อนผ่อนโทษให้ได้” คุณชายช่วงบอก

ฉิมรับทราบหน้าเจื่อน คุณชายช่วงอนุญาตให้กลับไปได้แล้ว ฉิมรีบออกจากกระโจมไปทันที

“สันดานโจร พอจวนตัวก็หักหลังได้แม้แต่พวกเดียวกัน” เหมมองตามฉิมยิ้มเล็กน้อย

“แต่ก็ทำให้เราได้จบศึกครั้งนี้ได้ง่ายดายเกินคาด” คุณชายช่วงยิ้มพอใจ

ที่หลังค่ายของอั้งยี่ ลูกน้องอั้งยี่อยู่เวรกันไม่กี่คน ลูกน้องจีนเชียงทองสามสี่คนไปเฝ้าแทนให้พวกนั้นไปกินข้าว ที่แท้เป็นแผนเพื่อยกแผงกั้นออกเปิดทางให้ทหารจู่โจมเข้าค่ายได้สะดวก

เหมนำทหารจู่โจมเข้าไปโดยพวกโจรไม่ทันตั้งตัวจึงแตกกันระส่ำระสาย หลวงสรอรรถตกใจสุดขีด เรืองเข้ามากระชากพาหนีไปกับตน เหมเห็นดังนั้นไล่ตามหลวงสรอรรถไปด้วยความแค้น

เรืองพาหลวงสรอรรถวิ่งไปถึงริมแม่น้ำที่มีเรือผูกอยู่บอกให้หลวงสรอรรถแก้เชือกเอาเรือออกตนจะต้านไว้ให้ ปรามว่า

“แต่ถ้าเอ็งคิดหนีไปคนเดียว ข้าไม่เอาเอ็งไว้แน่”

เหมไล่ตามมาทัน ต่อสู้กับเรืองด้วยวิชาดาบ

อาทมาตอย่างดุเดือด ในขณะที่หลวงสรอรรถพยายามแก้เชือกผูกเรือแต่ตื่นเต้นลนลานแก้ไม่ออกสักที

เหมกระโดดใส่หลวงสรอรรถจะฟันดาบใส่ ถูกเรืองขว้างดาบในมือเข้าปะทะดาบของเหมจนไฟแลบทำให้หลวงสรอรรถรอดได้เฉียดฉิว เรืองขัดขวางเหมไม่ให้เข้าถึงตัวหลวงสรอรรถ ถูกศอกเหมจนเลือดกบปาก เรืองพลิกตัวไปคว้าดาบของตนที่พื้นได้ก็พอดีหลวงสรอรรถแก้เชือกเรือได้สำเร็จ ตะโกนเรียก

“อ้ายเรือง!”

เรืองใช้ท่าไม้ตายโหมฟาดฟันเหมทันที เหมรับเพลงดาบไว้ได้แต่ก็ล้มคว่ำไป เรืองกระโดดลงเรือช่วยพายเรือหนีไป เหมลุกขึ้นมาเห็นเรือของหลวงสรอรรถไปไกลแล้ว ได้แต่มองตามด้วยความเจ็บใจ

เหมกลับมาถึงค่าย คุณชายช่วงปลอบใจว่าอ้ายเรืองโจรชั่วมันร้ายกาจนัก เสียทีมันก็หาแปลกอันใดไม่ ขณะนั้นเองหลวงเผด็จเดินยิ้มแย้มมาแจ้งว่า

“จบศึกแล้ว บรรดาพวกหัวหน้าอั้งยี่แลโจรค้าฝิ่นทั้งหลายก็ถูกจับได้เกือบหมด ที่เหลือก็เพียงแต่ไต่สวน พิจารณาโทษทัณฑ์กันไป ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ท่านเจ้าพระยาจึงให้พวกเราได้กลับก่อน”

สมิงสอดน้อยตบบ่าเหมเย้าว่า “ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปหาแม่หาเมียเอ็งเถิดวะ เรื่องอ้ายหลวงสรอรรถ หากมันกับเอ็งยังผูกพยาบาทกันอยู่ สักวันก็ต้องได้เจอกันอีกแน่”

เรืองพาหลวงสรอรรถหนีไปได้แล้ว หลวงสรอรรถจึงเพิ่งรู้ว่าถูกจีนเชียงทองหักหลัง ถามว่าเรืองเป็นลูกน้องทำไมจีนเชียงทองจึงไม่บอก เรืองยิ้มอย่างดูถูกบอกว่า

“คนอย่างอ้ายเชียงทอง มันหักหลังได้ทุกคนเพื่อเอาตัวรอด แลมันคงเห็นว่าข้าฆ่าพวกขุนนางไปมาก พวกทหารอาจจะไม่ยอมต่อรองด้วย มันถึงทิ้งข้าอย่างไรเล่า” หลวงสรอรรถถามว่าแล้วเหตุใดเรืองจึงช่วยตน ต้องการอะไร “ข้ารู้ว่าคนอย่างคุณหลวงก็ไว้ใจไม่ได้พอกันกับอ้ายเชียงทอง คุณหลวงคงไม่ขนทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาร่วมก่อกบฏด้วยเป็นแน่”

เรืองชักดาบออกมา มองหน้าหลวงสรอรรถ “ครานี้คุณหลวงหมดทางเลือกแล้ว ทรัพย์สมบัติของคุณหลวงก็แบ่งมาให้ข้าสักกึ่งหนึ่งเถิด”

“ก็ได้ แต่เอ็งต้องช่วยข้าข้อหนึ่งก่อน แล้วข้าจะพาเอ็งไปยังที่ข้าซ่อนสมบัติไว้” เรืองถามว่าช่วยอะไร หลวงสรอรรถยิ้มเหี้ยมบอกว่า “ฆ่าอ้ายเหมให้ข้า!”

ooooooo

คุณหญิงชมดีใจมากที่เหมกลับมาอย่างปลอดภัยและไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เหมบอกว่าเพราะเราเตรียมการมาดีและมีทัพของท่านเจ้าคุณบดินทร์เดชามาช่วยด้วยจึงได้ชัยชนะง่ายเกินคาด

“ดีแล้ว แต่ถ้าไม่มีศึกอีกก็คงจะดีกว่านี้ ประเดี๋ยวแม่เข้าครัวไปทำกับข้าวที่พ่อเหมชอบเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างดีกว่า พ่อเหมจะได้กินให้อิ่มหนำ” คุณหญิงเลี่ยงไปเข้าครัว เพื่อให้เหมได้อยู่กับลำดวนตามลำพัง

เหมกรุ้มกริ่มเข้าหาลำดวนแต่ถูกทาสหญิงนำของกินเล่นจากข้างในมาขัดจังหวะ เหมกระซิบอย่างหมายมาดว่า

“พี่ปล่อยเจ้าก็ได้ แต่รอให้ถึงคืนนี้ก่อนเถิด จะไม่คลายกอดจากตัวเจ้าเลย”

เพียงหัวค่ำ เหมและลำดวนก็เข้าห้องนอน เหมมอบพวงมาลัยดอกลำดวนให้ บอกว่าเจอต้นลำดวนระหว่างทางจึงเด็ดมาร้อยมาลัย แต่เสียดายที่ผ่านมานานจึงเหี่ยวเฉาไม่น่าดูนัก ลำดวนรับพวงมาลัยวางไว้ตรงหัวนอน เหมกอดลำดวนอย่างแสนรักพร่ำรำพรรณ...

“เจ้าลำดวนของพี่ พี่อยากกอดไว้เช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่อยากห่างไปไหนเลย”

“ลำดวนก็เช่นกันเจ้าค่ะ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณพี่เหมมีหน้าที่ต่อแผ่นดินต้องกระทำ แลลำดวนก็ไม่อาจเห็นแก่ตัวยึดคุณพี่เหมไว้กับตัวได้เช่นกันเจ้าค่ะ”

เหมกอดลำดวนอย่างสุขใจที่เข้าใจตน ต่างยิ้มให้กันเปี่ยมด้วยความสุข

ooooooo

ท่านขุนของทับทิม ให้ทับทิมนำข้อราชการจากเมืองจีนมาให้เจ้าพระยาพระคลังออกสาส์นรับรอง ที่นี่ทับทิมได้เจอสมิงสอดน้อย จำได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของเหม จึงถามไถ่ถึงความมึนตึงระหว่างเหม ลำดวน และบัว

สมิงสอดน้อยได้ทีเพราะไม่ชอบบัวอยู่แล้วจึงเล่าให้ทับทิมฟัง ทับทิมไปคุยกับบัวตำหนิบัวที่ทำเสน่ห์เพื่อแย่งผู้ชายจากน้อง บัวยังยืนกรานว่าตนมิได้แย่งเพราะเหมรักตนมาก่อน ลำดวนต่างหากที่แย่งเหมไปจากตน แต่เมื่อทับทิมรื้อฟื้นเรื่องที่บัวเป็นฝ่ายทิ้งเหมเพราะเหมต้องโทษ แต่วันนี้บัวจะแย่งเหมคืนเพราะเหมได้เป็นถึงหลวงสุรบดินทร์ ถามแทงใจดำว่า

“หากคุณเหมยังเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง เจ้าจะอยากแย่งชิงรึ” เอ่ยถึงยามที่เหมต้องโทษว่าเวลานั้นมีแต่ลำดวนเท่านั้นที่ไม่รังเกียจและไม่ทอดทิ้งเหม

“ฉะนั้น คนที่รักคุณเหมจากใจจริงคือลำดวน ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวรักแต่ตัวอย่างเจ้า”

ทับทิมไม่เพียงเอ่ยถึงเหม แต่ยังเอ่ยถึงอินทร์ที่บัวทำทีผูกสมัครรักใคร่ แต่แล้วก็ทอดทิ้งเมื่อรู้ว่าอินทร์เป็นเพียงลูกเมียน้อยว่า

“เจ้ามันทะยานอยากจนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่ควรจะเป็นพี่น้องร่วมท้องกันเลย”

บัวเจ็บช้ำน้ำใจนักที่ถูกทับทิมด่าทออย่างรุนแรง แต่ด้วยทิฐิบัวไม่ยอมแพ้ ออกไปเดินคิดเครียด จนผ่านขอทานท่าทางทรุดโทรมนั่งยองๆอยู่ข้างทาง บัวไม่ทันได้สังเกต แต่ขอทานคนนั้นมองบัวอึ้ง รำพึงเบาๆ

“แม่บัว...”

ขอทานผู้นั้นคือหลวงสรอรรถปลอมตัวมานั่นเอง

ooooooo

หลวงสรอรรถกลับมาพบเรืองที่ชายทุ่ง เล่าว่าวันนี้เห็นบัว ทีแรกนึกว่าบัวออกเรือนกับเหมแต่กลายเป็นลำดวน หลวงสรอรรถพูดอย่างสะใจว่า ที่สุดแล้วแม่บัวผู้หยิ่งยโสก็ไม่เหลือผู้ใดเลย

เรืองรำคาญบอกว่าที่ตนตามคุณหลวงมาไม่ได้มาฟังคุณหลวงคร่ำครวญเรื่องความรัก หลวงสรอรรถดักคอว่ารู้ว่าที่เรืองตามมาเพราะต้องการสมบัติกึ่งหนึ่งของตน เรืองบอกว่าและต้องการพิสูจน์ฝีมือกับดาบ

อาทมาตฝ่ายเหนือด้วย แต่ดูจะยากเพราะเหมกลายเป็นหลวงสุรบดินทร์ที่เข้าถึงตัวยาก ตนยังมองไม่ออกว่าจะทำอย่างไร

หลวงสรอรรถชี้ช่องว่า เวลานี้เกิดโรคป่วงระบาดทั่วพระมหานคร โอกาสที่เราจะได้ชำระแค้นอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น

เหมกลับมาอยู่เรือนได้ไม่นานก็เกิดโรคป่วงระบาด คืออาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยทั้งอาเจียนทั้งถ่ายบางรายเป็นหนักถึงตาย

ไม่นานก็มีคำสั่งตกมาว่าให้ผู้ที่ยังไม่เจ็บป่วยทุกคนออกจากพระมหานครไปก่อนจนกว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคป่วงในพระมหานครจะดีขึ้น เพราะผู้ป่วยเป็นโรคป่วงตายไปหลายคนแล้วแต่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรจึงต้องหลบไปก่อน

ลำดวนถามว่าจะไปที่ใดเพราะพ่อแม่ไปเล่นละครอยู่หัวเมืองปักษ์ใต้อีกนานเดือนกว่าจะกลับ ถ้าไปอัมพวาตอนนี้ก็มีแต่เรือนเปล่า

คุณหญิงเสนอให้ไปที่อยุธยาเพราะตนสร้างเรือนไว้ที่นั่นมีข้าวของครบครัน เหมถามว่าแม่สร้างเรือนที่อยุธยาแต่เมื่อใด ตนไม่เคยรู้

“เมื่อไม่นานมานี้เอง เจ้าคุณพ่อของพ่อเหมเป็นคนกรุงเก่า ปรารภกับแม่อยู่บ่อยๆว่าออกจากราชการเมื่อใดจะกลับไปอยู่อยุธยา แม่จึงซื้อที่ปลูกเรือนเอาไว้กะว่าแก่ตัวกว่านี้จะไปอยู่อยุธยาตามที่ท่านเจ้าคุณตั้งใจไว้”

ทับทิมชวนบัวไปอยู่กับตนที่จันทบูร บัวตอบอย่างทิฐิว่า

“จะตายก็ตายเถิดเจ้าค่ะ แม้ไม่เป็นโรคป่วงตายก็คงต้องตายเข้าสักวัน น้องไม่ไปที่ใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ”

ทับทิมเคืองที่บัวทำผิดแล้วยังดื้อดึงทิฐิ บอกว่าอยากอยู่ที่นี่ก็ตามใจ แต่หากเกิดอะไรขึ้นอย่าหาว่าตนใจดำก็แล้วกัน

ลำดวนชวนบัวไปอยู่อยุธยาด้วยกัน รู้ว่าบัวทิฐิจึงแกลังยั่วว่าไม่ไปเพราะกลัวตนใช่หรือไม่

ในที่สุดบัวไปกับลำดวนแต่ก็วางตัวเชิดไม่สุงสิงกับใคร ไม่แม้แต่จะช่วยหยิบฉวยของลงเรือ เดินปึ่งไปนั่งเรือแจวที่จอดอยู่ คนแจวเรือที่มีผ้าพันหน้าเหมือนป้องกันแดด ค่อยๆปลดผ้าออก จึงเผยให้เห็นว่ามันคือหลวงสรอรรถปลอมตัวมานั่นเอง!

ขบวนของครอบครัวเหมมีเรือแจวตามกันไป 4-5 ลำ ลำแรกเป็นเรือที่ลำดวน บัว และคุณหญิงชมนั่ง มีหลวงสรอรรถปลอมตัวมาเป็นคนแจวเรือ ลำที่สองมีเหม สมิงสอดน้อย บุษย์และทาสที่แจวเรือ ส่วนพวกทาสคนอื่นๆอยู่ในเรือลำถัดๆไปที่แจวตามกันมา

ooooooo

เดินทางไปได้ไม่นาน พวกเหมจึงรู้ว่าเรือถูกเจาะ จึงรีบเอาเรือเข้าฝั่ง ระหว่างนั้นเห็นเรือลำที่ลำดวน บัว และคุณหญิงนั่ง แจวออกนอกเส้นทาง เหมตะโกนให้หยุดเรือก็ยิ่งแจวหนี เหมจึงไล่พวกในเรือที่แจวตามมาลงไปให้หมด

เหม สมิงสอดน้อยและบุษย์ เอาเรือลำนั้นแจวไล่ตามเรือที่ลำดวนนั่งไปทันที

หลวงสรอรรถพาลำดวน บัว และคุณหญิงชมขึ้นฝั่งไปที่ชายทุ่ง หลวงสรอรรถขู่ว่าจะชมเชยบัวเสียให้สาแก่ใจ ลำดวนสวนทันควันว่าถ้าทำอะไรบัวตนจะฆ่าตัวตาย เพราะหากตนตาย เหมก็จะนำทหารมาตามล่าหลวงสรอรรถ ถามว่าแล้วคุณหลวงจะหนีไปได้นานเท่าใดกัน

ไม่นาน เรืองก็ตามมาสมทบในสภาพตัวเปียกเพราะเพิ่งขึ้นจากน้ำ เร่งหลวงสรอรรถให้รีบเอาอาวุธมาเพราะเหมกำลังไล่ตามหลังมาแล้ว แต่พอหลวงสรอรรถสั่งให้เอาห่ออาวุธมากลายเป็นปืนไม่ใช่ดาบที่เรืองหมายจะมาประลองฝีมือเพลงดาบอาทมาตกับเหม แต่ไม่ใช่ปืนที่เอามาลอบยิงเยี่ยงคนขี้ขลาด

“ข้าไม่สนใจดอกโว้ยว่าเพลงดาบของใครจะเป็นเช่นไร แต่ข้าต้องฆ่าอ้ายเหมให้จงได้ ถ้าเอ็งไม่ช่วยข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์สมบัติจากข้าเลย”
เรืองจำต้องยอมเพราะอยากได้สมบัติ เอาปืนไปดักหมายลอบยิงเหมเมื่อตามขึ้นฝั่งมา

เหมวางแผนว่าพวกหลวงสรอรรถมีไม่มาก มันจึงล่อเรามาเช่นนี้ สมิงสอดน้อยให้เหมเป็นตัวล่อเหยื่อตนจะตามคุ้มกันให้ ส่วนบุษย์เหมให้รออยู่ที่นี่ เพราะ “มากคนใช่ว่าจะดี ข้าไปกับพี่สมิงเหมาะกว่า” แล้วเหมก็หยิบดาบคู่มือวิ่งนำไป

ooooooo

หลวงสรอรรถมัดมือผู้หญิงทั้งสามไว้ใช้ผ้าปิดปากบังคับให้นั่งกับพื้น ทั้งสามพยายามดิ้นแต่ถูกมัดแน่นจนทำอะไรไม่ได้

ไม่นานเหมก็ปรากฏตัวขึ้น หลวงสรอรรถยิ้มเหี้ยมที่จะได้สะสางความแค้นกัน เหมสั่งให้ปล่อยผู้หญิงไปแล้วเรามาสู้กัน แต่หลวงสรอรรถกลับบอกให้เหมเอาดาบเชือดคอตัวเองแล้วตนจะปล่อยทั้งแม่และเมียเขา

ระหว่างที่เหมกับหลวงสรอรรถโต้เถียงกันนั้น ลำดวนหันไปแก้เชือกให้บัว ทำให้บัวหันมองหลวงสรอรรถคิดว่าจะหาทางช่วยเหมอย่างไรดี

เรืองเอาปืนจ้องไปยังเหมที่กำลังเจรจาโต้ตอบกับหลวงสรอรรถ จนเมื่อได้จังหวะก็จะยิง เป็นเวลาที่ลำดวนแก้เชือกให้บัวได้พอดี บัวดึงผ้าปิดปากออกตะโกน “หนีไป!”

เสียงปืนกัมปนาทขึ้น เหมสะดุ้ง แต่บุษย์ย่องมาเหยียบปืนของเรืองไว้ก่อนแล้วทำให้กระสุนพลาดเป้าไปหวุดหวิด สมิงสอดน้อยพุ่งเข้าเล่นงานเรืองทันที

หลวงสรอรรถกระชากบัวที่วิ่งไปหาเหมจับเป็นตัวประกัน ลำดวนเร่งให้เหมรีบไปช่วยบัว เหมวิ่งตามไป หลวงสรอรรถเห็นจวนตัว เงื้อดาบจะเชือดบัว เหมขว้างดาบของตนกระแทกดาบของหลวงสรอรรถหลุดแล้วพุ่งเข้าไป หลวงสรอรรถจึงผลักบัวใส่เหม

เหมรับบัวไว้ พริบตานั้นหลวงสรอรรถก็ขว้างมีดสั้นปักกลางหลังบัว ทำให้เหมต้องพะวงกับการดูแลบัว เป็นโอกาสให้หลวงสรอรรถวิ่งหนีไป

บัวถูกนำตัวไปพักในกระท่อมของชาวบ้านแล้วตามหมอมาทำแผลให้จนปลอดภัยแล้วให้นอนพัก ลำดวนดูแลบัวด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเอายาต้มมาให้บัวกิน บัวไม่ยอมกินซ้ำยังบอกว่าถ้าเอามาให้อีกจะเททิ้งให้หมด

เมื่อบัวอาการดีขึ้นก็แสดงความรังเกียจกระท่อมที่พักว่าสกปรกคับแคบ จนเหมรำคาญโต้ว่า

“ที่นี่อยู่ระหว่างทางไปอยุธยา มีแต่เทือกสวนไร่นา จะไปหาปราสาทราชวังที่ไหนมาให้แม่อยู่ได้เล่า ขนาดคุณหญิงแม่ของฉัน ยังต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเลย”

ลำดวนไม่สบายใจไม่อยากให้เหมมีปากเสียงกับบัว พยายามห้ามเหม เหมตัดปัญหาเลยออกไปบอกว่าจะไปตามหมอมาดูอาการก็แล้วกัน

ooooooo

เพียง 7-8 วันผ่านไป คนป่วยเป็นโรคป่วงก็ไปนอนพักรักษาตัวเต็มวัดไปหมด หลายคนทุเลาและแข็งแรงขึ้น แต่ก็ยังต้องกินยารักษาอยู่

คุณชายช่วงไปเยี่ยมเยียนดูแลสภาพการรักษาโดยมีหลวงเผด็จเดินตามคอยรายงาน

“หลังจากเราคุมข้าวปลาอาหารตามที่หมอบรัดเลย์บอก ก็ไม่มีผู้ใดป่วยเป็นโรคป่วงเพิ่มอีก แลคนที่เป็นอยู่แล้วก็อาการดีขึ้น ยิ่งคนที่กินยาของหมอฝาหรั่ง ยิ่งหายเร็วกว่ากินยาหม้อเสียอีกขอรับ”

“ดีแล้ว ครานี้ได้วิชาการของตะวันตกมาช่วยไว้ จึงมีคนตายไม่มากนัก ไม่เหมือนคราวที่โรคห่าลง ตายเสียแร้งยังกินศพไม่ทัน”

หลวงเผด็จฟังแล้วหน้าเครียด ด้วยเกรงว่าวิชาการของพวกฝรั่งสูงเท่าใด ก็ยิ่งกังวลว่า

“หากว่ารบกัน เราจะเอากระไรไปสู้ขอรับ ปืนไฟปืนใหญ่มันก็ร้ายกาจกว่า แลยังมีเรือเหล็กลอยน้ำ การแพทย์หยูกยาก็เหนือกว่า หากรบกันจริง กระผมยังไม่เห็นทางชนะเลยขอรับ”

คุณชายช่วงหน้าเครียดลงเพราะกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ขณะนั้นเองทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานคุณชายช่วงว่าท่านเจ้าคุณพระคลังให้มาตาม คุณชายช่วงถามว่ามีเรื่องกระไรรึ

“มีสาส์นจากเมืองวิลาศมาขอรับ ท่านเจ้าคุณต้องการให้คุณพระนายรีบกลับไปแปลขอรับ”

คุณชายช่วงสีหน้ากังวลขึ้นมาทันทีเพราะจู่ๆ ก็มีสาส์นมาไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่

คุณชายช่วงกลับไปอ่านสาส์นแล้ว รายงานเจ้าคุณพระยาพระคลังว่า

“ทางเมืองวิลาศจะส่งทูตมาเจรจาเรื่องการค้าขอรับ แต่มิได้บอกว่าเรื่องกระไร ลูกเกรงว่าวิลาศจะบีบให้เราลดค่าภาษี แลยอมให้ค้าฝิ่นโดยเสรีเหมือนที่ทำกับเมืองจีนขอรับ”

“ข้อนี้เราเตรียมการแก้ไว้แล้ว น่าจะเจรจากันรู้เรื่อง หรืออย่างน้อยก็ถ่วงเวลาไปได้บ้าง แล้วมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”

“นายห้างหันแตรไปร้องเรียนต่อกงสุลวิลาศที่เกาะสิงคโปร์ว่าถูกสยามรังแก แลให้เราจับคนที่เป็นต้นคิด ดูหมิ่นนายห้างหันแตรมาลงโทษขอรับ”

เจ้าพระยาพระคลังฟังตกใจนึกถึงหลวงสุรบดินทร์ขึ้นมาทันที คุณชายช่วงก็หนักใจเพราะสิ่งที่กังวลตลอดมาเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

ooooooo

เมื่อหนีโรคป่วงไปถึงอยุธยา บัวที่ยังบาดเจ็บอยู่ก็ยิ่งเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ สร้างความยุ่งยากใจแก่เหมและลำดวนมาก

ลำดวนยิ่งดูแลบัวดีเท่าไร บัวก็ยิ่งหงุดหงิดใส่ลำดวนมากเท่านั้น ต้มยาให้กินก็ไม่กิน ซ้ำบอกว่าหากเอามาอีกจะเททิ้งเสียให้หมด จนเหมบอกลำดวนว่าเมื่อบัวไม่อยากกินก็อย่าไปบังคับ คนเขาไม่อยากหายก็ช่างเขาเถิด

เหมกับบัวมีปากเสียงกันจนลำดวนขอร้องเหมว่าบัวเจ็บป่วยอยู่ย่อมหงุดหงิดง่ายอย่าถือสาเลย

“พี่รู้ว่าเจ็บป่วย แต่ถึงกระนั้นก็หาควรทำเช่นนี้กับเจ้าไม่ ทั้งด่าทั้งจิกใช้สารพัดจะกระทำ มันควรแล้วรึที่จะกระทำต่อเมียเจ้าของเรือนที่ตนมาอาศัยอยู่เช่นนี้”

“ลำดวน” บัวแทรกขึ้นอย่างโมโห “เจ้าเป็นถึงเมียคุณหลวงสุรบดินทร์ อย่าได้ลดตัวมาดูแลแตะต้องกระไรพี่อีกเลย แลถ้าจะให้ดี ก็ส่งพี่กลับพระมหานครเสียวันนี้เลย จะได้ไม่ต้องมาลำเลิกบุญคุณกันต่อไป”

เหมมองหน้าบัวอย่างพยายามอดกลั้น ลำดวนได้แต่มองหน้าเหมทีมองหน้าบัวทีอย่างอ่อนอกอ่อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี

คุณหญิงชมขอให้เหมใจเย็นๆ ยิ่งตอบโต้กัน

คนที่ลำบากใจที่สุดคือลำดวน และขอให้เหมคิดเสียว่า ตอบแทนน้ำใจบัวที่เคยเตือนเหมว่าถูกหลวงสรอรรถซุ่มคนลอบยิง เหมติงว่าเพลานั้นกำลังคับขัน ถึงบัวจะเตือนหรือไม่ตนกับหลวงกำแหงก็เตรียมการไว้แล้ว แม้บัวจะไม่เตือน ตนก็ไม่ได้รับอันตรายดอก

“แม่รู้ แต่น้ำใจที่แม่บัวมีก็ไม่ควรมองข้าม ยามคับขันทุกข์ยากใครมีน้ำใจต่อเราแม้เพียงเล็กน้อยและจะมีน้ำใจด้วยเหตุใด เราก็ต้องจดจำนะพ่อเหม”

เหมทอดถอนใจ แต่ก็รับปากคุณหญิงแม่ว่าจะอดทน แต่ก็อดบ่นไม่ได้ว่า

“ไม่ควรให้แม่บัวมาแต่ต้นเลย ถ้าต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกก็คงจะดีไม่น้อย”

บัวแอบฟังอยู่ เสียใจจนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าคนที่ตนหลงรัก รังเกียจตนถึงเพียงนี้

ooooooo

เหมไปเยี่ยมเรือนขุนศรีไชยทิตยที่ปลูกเรือนกว้างขวางใหญ่โต ถามว่าจะไม่กลับไปพระมหานครแล้วหรือ

“ก็คงไปๆ มาๆ เพราะฉันยกเรือนให้ลูกชายไปแล้ว เขาไม่สมัครใจจะเป็นควาญช้าง แต่ชอบที่จะรับราชการอยู่ในพระมหานคร ฉันจึงยกให้เขาไป”

ทั้งสองเดินคุยกันมาเจอบรรดาควาญช้างล้อมวงกินหล้ากันอยู่มุมหนึ่ง ขุนศรีไชยทิตยบ่นอย่างเบื่อหน่ายว่าพวกนี้พอไม่ถือกรรมก็เมาเช้าเมาเย็น

มากับส่งกินเหล้าจนเมาแล้ว พอเห็นเหมก็เรียกให้มากินเหล้ากัน ส่งหยิบถ้วยใส่เหล้าเดินมาหาเหม คะยั้นคะยอให้เหมกินถือว่าฉลองที่เราได้มาเจอกันที่กรุงเก่า

เหมบอกว่าตนกินเหล้าไม่เป็น ขุนศรีก็ปรามว่าอย่าบังคับคุณหลวงท่านเลย ส่งคะยั้นคะยอจนเหมเกรงใจรับถ้วยเหล้าไปบอกว่า “ฉันกินก็ได้ แต่ถ้วยเดียวนะ

ฉันคอไม่แข็ง” แล้วยกดื่ม พอเหล้าลงคอก็ทำหน้าเหยเก เพราะเหล้าแรงมากแต่ก็กลั้นใจดื่มหมดถ้วย

จนถึงกลางคืน เหมถูกหิ้วปีกกลับเรือนในสภาพเมามาก หัวเราะทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำ พอถึงเรือนก็เรียกหาลำดวนให้มาคุยกัน ลำดวนเห็นสภาพของเหมแล้วส่ายหน้า บอกทาสที่พามาส่งว่าให้พาคุณหลวงไปนั่งพักก่อนเดี๋ยวตนจะดูแลเอง

เหมเมามากเมื่อเห็นลำดวนมาดูแลก็มือไม้ไม่อยู่สุข ลำดวนมองขำๆ ปลดมือเหมออก บอกว่าตนจะไปชงชาให้จะได้สร่างเมา ลำดวนเดินบ่นงึมงำออกไปว่า

“บอกว่าไปเยี่ยมเยียนท่านขุนศรีไชยทิตย แต่กลับเมาเหล้ากลับมา ร้อยวันพันปีเคยกินเหล้าเสียที่ไหนนี่ถ้าคุณหญิงแม่รู้เข้า โดนเอ็ดเปิงแน่คุณพี่”

ระหว่างนั้นบัวเดินผ่านมาเห็นเหมเมาหลับอยู่จึงเดินเข้าไปดู เหมรู้สึกตัวก็คว้าบัวไปกอดคิดว่าเป็นลำดวน บัวตกใจพยายามบอกว่าตนไม่ใช่ลำดวน แต่เหมก็เอาแต่ระดมหอมแก้ม ลำดวนเดินกลับมาเห็นเต็มตา บัวตกใจ เหมเห็นลำดวนก็ตกใจแทบหายเมา ผลักบัวออกไปอย่างเร็ว

เมื่อเข้าห้องนอน เหมขอโทษลำดวนบอกว่าตนเมามากคิดว่าบัวคือลำดวนจึงได้กระทำหยาบหยามลงไปแต่ตนไม่ได้นอกใจลำดวน

ลำดวนบอกว่าตนไม่โกรธ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเหมไม่ได้ตั้งใจแต่ก็มิได้หมายความว่าเหมไม่ได้ทำผิด

“เจ้าจะให้พี่ทำกระไรเป็นการไถ่โทษได้บ้างเล่า”

“ถามลำดวนไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ คุณพี่เหมต้องไปถามพี่บัวถึงจะถูก”

เหมขรึมไปถนัด คิดหนักไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ooooooo

เมื่อเหมถามบัวว่าจะให้ตนทำอย่างไรเพื่อไถ่โทษที่ล่วงเกิน บัวบอกว่าเพียงแต่เหมขอโทษก็พอแล้ว

เหมขอร้องบัวว่าให้ตนได้กระทำอะไรมากกว่าคำขอโทษเถิด หาไม่ตนคงไม่สบายใจไปตลอด เมื่อบัวยืนยันว่าไม่มีอะไรจะให้เหมทำ แต่อดเหน็บไม่ได้ว่าแค่เหมเมตตาให้ตนมาพักเพื่อหลบโรคภัยก็เป็นพระคุณที่สุดแล้ว

“ถ้ากระนั้นให้ฉันพายเรือไปส่งแม่บัวที่วัดเป็นอย่างไร” บัวถามว่าเหตุใดตนต้องไปวัดด้วย “ก็วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของนายเก่า เอ่อ...ของเสด็จที่แม่บัวเคยรับใช้ ฉันเลยคิดว่าแม่บัวอาจจะอยากไปทำบุญที่วัด”

บัวหน้าเสียเพราะตนลืมไปแล้ว แต่พอเหมพูดขึ้นมาก็จำได้และอยากไปทำบุญขึ้นมา

ooooooo

เหมพายเรือพาบัวไปวัด บัวมีดอกไม้ธูปเทียนและสำรับอาหารไปถวายพระด้วย ระหว่างนั้นบัวถามว่าเหมรู้หรือว่าวัดอยู่ที่ใด เหมบอกว่าไม่รู้ บัวถามขำๆว่าแล้วจะพาตนไปทำบุญได้หรือ

“ได้สิ พายเรือไปตามคลองนี่ล่ะ เจอวัดใดก็ทำบุญวัดนั้นไม่ยากดอก”

“พิกลนัก” บัวยิ้มขำๆ เหมเองพลอยหัวเราะชอบใจไปด้วย พลันบัวก็ขรึมลงเมื่อนึกถึงเมื่อครั้งที่รักกันกับเหม เอ่ยขึ้นว่า “คุณเหมจำได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าแต่ก่อนคุณเหมก็ชอบพายเรือให้บัวนั่งเช่นนี้”

เหมขรึมไปทันทีแม้จะจำได้แต่ก็ไม่ต้องการรื้อฟื้นความหลัง เลยต่างคนต่างเงียบ บัวรู้ว่าเหมคิดอย่างไร เลยหันมองทิวทัศน์ริมตลิ่งไปเศร้าๆ

เหมพายเรือเรื่อยมาตามคลอง พลันก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องให้ช่วยเด็กตกน้ำ เหมบอกบัวให้นั่งในเรือก่อน แล้วตัวเองก็พลิกตัวลงคลองดำน้ำไปช่วยเด็กทันที

เหมช่วยเด็กขึ้นมาได้ แม่เด็กรับลูกไปอุ้ม พร่ำขอบคุณเหมที่ช่วยลูกตนไว้ พ่อเด็กขอบคุณเหมถามว่ามาจากไหนหรือไม่เคยเห็นหน้าค่าตา

“ฉัน หลวงสุรบดินทร์ หลบภัยโรคป่วงมาจากพระมหานคร แล้ววันนี้ตั้งใจจะมาหาวัดเพื่อทำบุญน่ะ”

“ที่แท้ก็คุณหลวงกับแม่นายจะทำบุญ ที่นี่ก็เป็นวัดขอรับ ทำบุญที่นี่ก็ได้”

เหมหน้าเจื่อน ในขณะที่บัวยิ้มอายๆที่ชาวบ้านเข้าใจผิด ถามชาวบ้านว่า “มิทราบว่าวัดนี้ชื่อวัดกระไรหรือจ๊ะ”

“วัดพนมยงค์ขอรับ”

เหมจามเพราะตัวเปียกน้ำนาน บัวถามชาวบ้านว่าใครพอจะมีผ้าผ่อนให้คุณหลวงผลัดเปลี่ยนบ้างไหม เกรงคุณหลวงจะป่วยไข้เพราะแช่น้ำนาน

ชาวบ้านเอาทั้งเสื้อและโจงกระเบนมาให้เหมผลัด ปรากฏว่าชุดเล็กกว่าตัวมาก บัวเห็นแล้วอดขำไม่ได้

เหมดูตัวเองแล้วก็พลอยขำไปด้วย

หลังจากทำบุญแล้ว เหมชวนกลับไปเอาเสื้อผ้าของตนคาดว่าคงแห้งแล้วจะได้กลับเรือนกัน บัวเสียดายเวลาแห่งความสุขบอกเหมว่าตนยังไม่อยากกลับเรือนเลย เหมถามว่ายังจะไปที่ใดต่อรึ

“ไม่ได้ไปเจ้าค่ะ แต่...นานแล้ว ที่เราไม่ได้มาทำบุญด้วยกันนะเจ้าคะ”

เหมอึ้ง ขรึมลง แล้วหันหลังเดินออกจากโบสถ์

บัวไม่พอใจถามว่า “ทำไมเล่าเจ้าคะ ทำไมคุณเหมไม่พูดกระไรบ้าง ทำไมต้องเดินหนีบัวด้วย”

“แล้วแม่บัวจะให้ฉันพูดกระไร เรื่องมันผ่านมา นานแล้ว ถึงพูดไปก็ไม่มีกระไรดีขึ้น” เหมพูดโดยไม่หันมอง

“ที่นี่เป็นวัด แลอยู่ต่อหน้าพระ คุณเหมบอกบัวได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าหากแม้ไม่มีลำดวน คุณเหมก็ยังไม่มีใจให้บัวอยู่ดี”

เหมกระอักกระอ่วนใจกับคำถามนี้ เดินดุ่มออกจากโบสถ์ไป

บัวมองตามด้วยสีหน้าค้างคาใจแต่ก็แอบมีความหวังว่าเหมยังตัดใจไม่ขาดจากตน

ooooooo

ข้าบดินทร์

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด