ตอนที่ 12
อัลบั้ม: เจมส์ มาร์ ประกบ แมท ภีรนีย์ ใน ข้าบดินทร์
ลำดวนได้ออกจากวังกลับมาอยู่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง เย็นนี้จึงออกไปเดินซื้อของกับเหมที่ตลาด สังเกตเห็นเหมเงียบขรึม ลำดวนถามว่ายังเคืองนายห้างหันแตรอยู่หรือ แสดงว่าเรื่องนายห้างหันแตรคงหนักหนานัก เหมพยักหน้าเครียด
“มิเพียงหยาบหยามท่านเจ้าคุณพระคลัง มันยังกล้ามาขู่สยาม ถือดีว่ากองทัพวิลาศเกรียงไกร แม้แต่เมืองจีนที่กองทัพยิ่งใหญ่กว่าสยามมากนักยังพ่ายแพ้ จึงกล้าข่มเหงเราถึงเพียงนี้”
ลำดวนไม่สบายใจถามว่าตนจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เหมขอเพียงแค่ลำดวนอยู่เคียงข้างตนเช่นนี้ก็ดี
เป็นที่สุดแล้ว ตัดบทว่าอย่าคุยเรื่องนี้อีกเลย ถามว่าครานี้ลำดวนกลับมาอยู่เรือนเจ้าคุณพระคลังกี่วัน พอลำดวน บอกสามวัน เหมก็พูดออกตัวว่า
“น้อยนัก พี่มีราชการมาก มิรู้จะไปหาเจ้าได้หรือไม่ แต่หากพี่มาได้พี่จะรีบมา เพียงได้เห็นแค่ชายสไบเจ้าก็ยังดี”
เหมหวานเสียจนลำดวนเขิน ทั้งสองหารู้ไม่ว่าตลอดเวลานั้นมีหญิงชาวบ้านที่บัวจ้างมาติดตามเหมกับลำดวนมองอยู่ไม่วางตา หญิงคนนั้นกลับไปรายงานบัวว่า เหมพาลำดวนไปส่งที่เรือนเจ้าคุณพระคลังแล้วกลับไป บัวจึงให้ถุงเงินบอกให้กลับไปได้แล้ว หากจะเรียกใช้จะไปตาม
รุ่งขึ้น บัวไปส่งคุณดวงแขที่ต้องย้ายออกจากวังไปลำปาง คุณดวงแขเสียดายที่บัวไม่ได้ไปอยู่ด้วยเพราะตนตั้งใจจะสร้างวัดที่ลำปาง หากบัวร่วมด้วยก็จะมีเราสามคนคือตน เทียนและบัว บัวบอกว่าแล้วตนจะไปเยี่ยม คุณดวงแขบอกว่าจะรอ
บัวมองตามคุณดวงแขลงเรือไป ก่อนที่หน้าจะนิ่งขรึมลงไปอย่างใช้ความคิด
ooooooo
บัวยังวางแผนที่จะทำให้เหมกับลำดวนแตกแยกกันให้จงได้ ระหว่างอยู่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง บัวเห็นลายมือเหมที่เขียนรายงานส่งมาให้คุณชายช่วง จึงฝึกหัดลายมือเหมจนเหมือน แล้วแผนต่อไปก็เริ่มทันที
บัวแกล้งเขียนจดหมายลายมือเหมวางไว้ที่โต๊ะห้องตัวเอง พอลำดวนไปช่วยทำความสะอาดโต๊ะก็รีบหยิบจดหมายออกอย่างมีพิรุธ แล้วแกล้งวางไว้หมิ่นเหม่ก่อนออกไป จดหมายตกจากโต๊ะลำดวนหยิบจะเอาไปให้ เห็นลายมือคุ้นตาจึงเปิดดูด้วยความสงสัย จดหมายเขียนสั้นๆว่า
“ฉันรู้ว่าแม่บัวออกจากวังแล้ว จึงอยากพบแม่บัวนัก แต่จะไปพบที่เรือนท่านเจ้าคุณก็เกรงใจลำดวน ขอแม่บัวมาพบฉันให้หายคิดถึงสักหน่อย หากแม่บัวเมตตา...”
“คุณพี่เหม...” ลำดวนครางออกมาหน้าซีดเผือด
ทำอุบายให้ลำดวนได้อ่านจดหมายแล้ว บัวให้หญิงชาวบ้านคนนั้นไปนัดแนะเหมมาพบกัน เหมให้กลับไปบอกว่าตนติดราชการไปไม่ได้ หญิงคนนั้นพูดอย่างที่บัวเสี้ยมสอนมาว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับลำดวนหากไม่ไปอาจสายเกินไป เหมจึงตัดสินใจไป เมื่อเจอบัวเหมเร่งว่ามีอะไรให้รีบพูดเพราะตนต้องรีบกลับไปเข้าเวร บัวถามว่า
“หากวันนั้น ฉันไม่ทิ้งคุณเหมไป ยอมรอคุณเหมที่ไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง คุณเหมจะมีใจให้ลำดวนหรือไม่เจ้าคะ” เหมขอว่าเรื่องผ่านมานานแล้วอย่ารื้อฟื้นอีกเลย “ตอบมาเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้มีความสำคัญกับฉันนัก”
“เพลานั้นเรากำลังจะหมั้นกันอยู่แล้ว ฉันจะมีใจให้ใครได้อีก แลในตอนนั้นฉันเองก็รักลำดวนเสมอด้วยน้องเท่านั้น”
ทันใดนั้นบัวโผกอดเหมไว้แนบแน่น เหมไม่ทันตั้งตัวหันไปเห็นลำดวนยืนน้ำตาไหลพรากอยู่ ลำดวนหันหลังวิ่งหนีไปทันที
“ลำดวน...ลำดวน ฟังพี่ก่อนลำดวน” เหมผละจากบัววิ่งไล่ตามไปด้วยความตกใจ ตามไปทันรีบคว้ามือลำดวนไว้ขอร้องให้ฟังตนก่อน ลำดวนร้องไห้หนักถามอย่างผิดหวังว่ายังจะให้ตนฟังคำโป้ปดอีกเท่าใดเล่า ยังมีอะไรจะหลอกตนอีกหรือ “พี่ไม่เคยหลอกลวงเจ้าเลยนะ แม่บัวให้พี่มาพบพี่ก็มาพบ แต่พี่ไม่คิดเลยว่าแม่บัวจะทำเช่นนี้”
ลำดวนเจ็บปวดเกินกว่าจะฟังคำชี้แจงใดๆ บอกว่าเห็นจดหมายที่เหมเขียนนัดบัวออกมาพบ เหมบอกว่าตนไม่เคยเขียนและไม่เคยนอกใจลำดวนเลย
ขณะทั้งสองกำลังตึงเครียดกันนั้น เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้น เหมรวบตัวลำดวนไปกอดไว้อย่างปกป้อง ขอร้องให้ฟังตนก่อน ลำดวนสะบัดอย่างแรงจนหลุดแล้ววิ่งหนีไปท่ามกลางเสียงระเบิดที่ยังกึกก้องครั้งแล้วครั้งเล่า เหมวิ่งตามลำดวนไปด้วยความเป็นห่วง
ลำดวนวิ่งเข้าไปในโบสถ์ เหมวิ่งตามเข้าไปบอกว่าถ้าลำดวนไม่เชื่อตนจะสาบานต่อหน้าพระประธาน แต่พอเหมเริ่มเอ่ยคำสาบาน ลำดวนก็รีบปิดปากเขาไว้เตือนสติว่าสบถสาบานไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นได้ และถึงเหมจะสาบานตนก็ยังไม่เชื่อสนิทใจอยู่ดี
“ถ้ากระนั้น พี่ขอพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่า นับแต่พี่ผูกสมัครรักใคร่เจ้าแล้ว พี่ก็มิเคยมีใจเป็นสองอีกเลย เจ้าจะให้โอกาสพี่ได้หรือไม่” เหมจ้องลำดวนแววตามุ่งมั่นจริงจัง ในขณะที่ลำดวนมองหน้าเหมอย่างชั่งใจ
ooooooo
เจ้าพระยาพระคลังได้ยินเสียงระเบิดตึงตังก็ร้อนใจ จนเมื่อคุณชายช่วงกลับมาจึงรู้ว่าเป็นเสียงยิงสลุตของนายห้างหันแตรฉลองวันเกิดให้กัปตันเรือเอกสเปรสของพวกเขา แต่เราเอาความผิดไม่ได้เพราะไม่เกิดความเสียหายอะไร
เจ้าพระยาพระคลังเจ็บใจมาก บอกคุณชายช่วงให้ไปดูแลชาวบ้านเพราะไม่คุ้นชินกันเสียงปืนใหญ่คงวุ่นวายกันไปทั่วพระมหานครแน่ เมื่อคุณชายช่วงไปแล้ว เจ้าพระยาพระคลังคำรามอย่างแค้นใจ
“อ้ายหันแตร!”
เหมรอจนเสียงปืนใหญ่สงบจึงพาลำดวนไปส่งที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง บัวรีบเข้ามาหาลำดวนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยมากมาย ลำดวนขอตัวไปนอนแล้วเดินเลี่ยงไป บัวบอกเหมว่าเรื่องเมื่อครู่นี้ตนไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำทีถามว่าลำดวนว่ากระไรบ้างหรือไม่ ตนจะได้ชี้แจงกับน้อง
“ไม่ต้องดอก เป็นหน้าที่ฉันที่ต้องพิสูจน์ให้ลำดวนเห็น” บัวถามว่าจะพิสูจน์เรื่องกระไร “ก็เรื่องที่ฉันรักลำดวนคนเดียว แลไม่มีวันปันใจไปรักหญิงอื่นได้อีกอย่างไรเล่า” เหมจ้องหน้าบัวเหมือนจงใจบอกเธอ แล้วผละไป
บัวกำมือแน่น จิกตามองตามอย่างหมายมาดที่จะเอาชนะให้ได้
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณชายช่วง สมิงสอดน้อยและเหม ไปเจรจากับนายห้างหันแตรที่ยิงสลุตโดยไม่ประกาศให้รู้ก่อนจนชาวบ้านแตกตื่นโกลาหลกันทั้งพระมหานคร เช่นนี้เหมือนจงใจหยามกันไม่มีผิด
นายห้างหันแตรพูดอย่างยโสโอหังว่าคุณชายช่วงกล่าวเกินไป ทั้งยังเยาะเย้ยว่า “กระผมจะกล้าหยาม ได้อย่างไร ขนาดสยามรับปากว่าจะซื้อเรือแต่ตระบัดสัตย์ไม่ซื้อในภายหลัง กระผมยังไม่กล้าทำกระไรเลย”
เหมถามว่าหากเราไม่รับซื้อเรือแลปืนไว้ นายห้างก็จะข่มขู่พวกเราเช่นนี้ต่อไปหรือ นายห้างหันแตรจ้องหน้าเหมอย่างดูถูกพูดดูแคลนว่า “มีบรรดาศักดิ์แค่หมื่นไม่ใช่รึ อย่าริมาเจรจา ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของขุนนางชั้นปลายแถว”
นายห้างหันแตรพูดดูถูกดูแคลนจนสมิงสอดน้อยสุดทนจะชักดาบออกมา ฝ่ายลูกน้องนายห้างหันแตรก็เอาทั้งปืนยาวปืนสั้นเล็งใส่พวกคุณชายช่วง คุณชายช่วงจึงสั่งให้กลับ นายห้างหันแตรพูดอย่างยโสว่า “ไม่ส่งนะขอรับ”
กลับมาถึงเรือนเจ้าพระยาพระคลัง ปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดแล้วไม่มีทางออก เพราะเจ้าพระยาพระคลังเล่าว่าในที่ประชุมขุนนางก็แตกเป็นสองพวก พวกหนึ่งต้องการสั่งสอนอ้ายหันแตร แต่อีกพวกก็เกรงจะลุกลามเป็นศึกกับวิลาศ คุณชายช่วงถามว่าแล้วพระพุทธเจ้าอยู่หัวท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง เจ้าพระยาพระคลังยกมือท่วมหัวก่อนแจ้งว่า
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวท่านทรงไม่อยากให้เกิดศึกสงคราม แต่หากปล่อยไว้พวกวิลาศก็ดูถูกดูแคลนว่าเราขี้ขลาดตาขาว ไม่แคล้วต้องยกทัพมารุกรานอยู่ดี”
สมิงสอดน้อยถามว่าเมื่อโน่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร เหมเสนอว่าตนมีวิธี ทุกคนหันมองอย่างสนใจ
แผนของเหมคือออกอุบายหลอกนายห้างหันแตรว่าเราจะซื้อเรือแต่เงินจำนวนมากต้องไปรับกันที่พระบรมมหาราชวัง หันแตรอยากได้เงินจึงตามไป ถูกทหารไทยจับลูกน้องหันแตรไว้และขังหันแตรไว้ในห้องจนกว่าจะเลิกบีบคั้นให้ซื้อเรือ
เจ้าพระยาพระคลังและคุณชายช่วงไม่เห็นด้วยกับวิธีของเหมนักแต่ก็ยังไม่มีวิธีอื่นใดที่จะหยุดยั้งหันแตรได้ จึงยอมให้เหมทำตามอุบายแต่ก็เล่าให้ลำดวนฟัง ลำดวนตกใจเมื่อรู้ว่าหากแผนนี้ไม่สำเร็จเหมจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวและโทษอาจถึงขั้นประหาร
ลำดวนห่วงใยเหมจับใจ ในขณะที่บัวซึ่งแอบฟังอยู่บ่นอย่างหงุดหงิดว่า
“บ้าแท้ งานราชการกำลังรุ่งโรจน์ จะเสี่ยงตายไปเพื่อกระไร”
ooooooo
ลำดวนเป็นห่วงเหมจนไปหาที่วัง ถามว่าทำไมถึงเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเล่า หากนายห้างหันแตรฟ้องไปยังเมืองวิลาศ เหมอาจจะต้องรับผิดแทนทุกคน และโทษถึงประหารทีเดียว เหมหน้าขรึมลงตอบอย่างหนักแน่นว่า
“แต่ก็ยังดีกว่าที่เราต้องเปิดศึกกับเมืองวิลาศ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายราวกับใบไม้ร่วงมิใช่รึ แลหากแพ้ศึก สยามก็อาจเป็นเพียงเมืองขึ้นเมืองออกของวิลาศเท่านั้น สละชีวิตพี่คนเดียวเพื่อแลกชีวิตนับร้อยนับพัน แลแลกศักดิ์ศรีกับการคงอยู่ของสยาม ยิ่งกว่าคุ้มอีกนะเจ้า”
ลำดวนนิ่งไป บอกว่าฟังเหมแล้วไม่รู้จะพูดอะไรอีก เหมถามว่าไม่ชอบที่ตนทำแบบนี้รึ
“ไม่ชอบเจ้าค่ะ แต่ลำดวนภูมิใจแลจะไม่ห้ามคุณพี่เหมเป็นอันขาด เพราะลำดวนรู้แล้วว่า คุณพี่เหม รักแผ่นดินนี้แลพร้อมจะเสียสละเพื่อแผ่นดินนี้ แม้ลำดวนจะทุกข์ แต่ความภูมิใจในตัวคุณพี่เหมนั้น ก็มีมากกว่าความทุกข์เจ้าค่ะ”
เหมดีใจมาก ดึงลำดวนเข้าไปกอดไว้แนบอกด้วยความรัก เข้าใจ และภูมิใจในกันและกัน
นายห้างหันแตรถูกขังอยู่ไม่กี่วัน ในที่สุดก็ยอมตามที่ทางสยามเสนอ แต่อาฆาตเหมและสยามว่า จะไม่ลืมความอัปยศนี้และต้องให้ชดใช้เรื่องในคราวนี้ให้จงได้ คำรามอย่างอาฆาตว่า “หมื่นสุรบดินทร์ ข้าจะจำชื่อนี้ไว้ ไม่มีวันลืม”
จากกรณีเรือกลไฟเอกสเปรสนี่เอง ทำให้นายห้างหันแตรถูกเนรเทศออกจากสยาม และได้เดินทางด้วยเรือกลไฟเอกสเปรสลำนี้ไปพำนักที่สิงคโปร์ ก่อนจะขายเรือลำนี้พร้อมปืนใหญ่ทั้ง 200 กระบอกให้ญวนตามที่เคยขู่ไว้ในราคา 1,200 ชั่ง เท่ากับที่เสนอขายให้สยาม เป็นการปิดตำนานพ่อค้าชาวอังกฤษคนสำคัญที่ได้เข้ามาค้าขายในสยาม
ooooooo
เมื่อบัวใช้เล่ห์เพทุบายอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เหมกับลำดวนแตกแยกจากกันได้ จึงไปเข้าทางคุณหญิงชม ไปกราบคุณหญิงชม เอ่ยชื่นชมเหมที่ได้ขึ้นเป็นหลวงสุรบดินทร์ ข้ามจากหัวหมื่นมาโดยไม่ต้องผ่านขุน นับว่าหายากมาก
เหมขอบใจหน้านิ่งๆ พูดออกตัวว่า ลาภยศก็เหมือนน้ำค้างยามเช้า ต้องแสงแดดไม่นานก็หาย ที่ตนดีใจก็คือได้ทำคุณให้บ้านเมืองต่างหาก คุณหญิงชมชวนบัวอยู่กินสำรับเที่ยงด้วยกัน บัวไม่ปฏิเสธ แต่เหมได้จังหวะบอกว่าคุณหญิงแม่มีบัวอยู่เป็นเพื่อนแล้วตนขอไปคุยราชการกับคุณพระนายไวยก่อน บัวได้แต่ผิดหวังอยู่เงียบๆ
คุณหญิงชมแอบดีใจที่ตีกันช่วยเหมได้สำเร็จ
ระหว่างบัวนั่งเสลี่ยงกลับวังนั่นเอง ถูกหมื่นวิชิตมาดักพบ อ้างว่าตนไม่อาจเข้าไปหาบัวในวังได้จึงต้องใช้วิธีนี้
หมื่นวิชิตพูดถึงความล้มเหลวในแผนการต่างๆ ที่ผ่านมา แต่ตนก็ยังมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงลำดวนมาให้ได้ เสนอบัวว่าเหลืออยู่ทางเดียวที่จะสำเร็จได้คือต้อง “ทำเสน่ห์”
“เอากระไรมาพูด” บัวตกใจมาก “ไม่รู้เรื่องคดีพระศรีภักดีรึ อยากหัวขาดหรืออย่างไร”
หมื่นวิชิตบอกว่าตนไม่มีทางเลือก เย้ยว่าบัวเองก็ไม่ต่างกับตนเท่าใดนัก ทุกวันนี้ก็ได้แต่มองเหมกับลำดวนสมรักกันเท่านั้น แม้บัวจะทิฐิ ถือดี แต่ก็เป็นความจริงที่เถียงหมื่นวิชิตไม่ออกเหมือนกัน
ooooooo
ความสัมพันธ์ระหว่างเหมกับลำดวนที่ลุ่มๆ ดอนๆนั้นเหมไม่ได้คิดอะไร แต่สมิงสอดน้อยและบุษย์ที่มีประสบการณ์มากกว่า เตือนเหมว่าเรื่องนี้มันพิกลอยู่ เหมถามประสาซื่อว่าพิกลอย่างไรหรือ สมิงสอดน้อยชี้ว่า
“เอ็งก็คิดเองได้ เพียงแต่ที่แล้วมา เอ็งวางแม่บัวไว้สูง แม้จะเลิกรากันไปแล้ว เอ็งไม่เคยคิดในทางร้ายกับแม่บัวมาก่อนจึงไม่เห็นพิรุธอย่างไรเล่า”
“คุณเหมไม่ใช่คนเจ้าชู้อย่างกระผมหรือพี่สมิง คุณเหมไม่รู้ดอกว่ายามที่ผู้หญิงต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาเป็นของตน มันน่ากลัวกว่าผู้ชายมากนักขอรับ” บุษย์เสริม สมิงสอดน้อยเพิ่มเติมว่า
“พวกข้าไม่มีพยานหลักฐาน พูดมากไปก็เหมือนกล่าวร้าย เอ็งตรองดู นับแต่วันที่เกิดเรื่องแคลงใจกันระหว่างเอ็งกับแม่ลำดวน เอ็งก็จะเข้าใจเอง”
กลับถึงห้องพักแล้ว เหมทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระหว่างตนกับบัวและลำดวนหลายครั้งหลายครา จนครั้งสุดท้ายที่บัวปลอมลายมือตนนัดพบกันและกอดตนจนทำให้ลำดวนผิดหวังเสียใจอย่างรุนแรง เหมจึงเริ่มเห็นเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจของบัว
ขณะนั้นเองทาสหญิงมาเคาะประตูบอกเหมว่า “มีคนชื่อพุ่มมาจากทุ่งวัวลำพองมาขอพบคุณหลวงเจ้าค่ะ”
ooooooo
ก่อนหน้านี้...เย็นวันหนึ่ง หมื่นวิชิตเอาเงินถุงใหญ่ไปให้พุ่ม สารภาพว่าคราวก่อนตนไม่ทำตามฤกษ์ของพ่อครูทำให้ได้ทุกข์ตามมามากนัก คราวนี้สัญญาว่าจะทำตามที่พ่อครูสั่งทุกประการ
“ฮ่ะๆๆ รู้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องกลัว ข้าจะทำเสน่ห์ยาแฝดให้เอ็งเอง ไม่เกินเจ็ดวัน นังผู้หญิงคนนั้นต้องวิ่งมาหาเอ็งแน่”
“ขอบพระคุณขอรับพ่อครู ขอบพระคุณครูขอรับ” หมื่นวิชิตดีใจมากยกมือไหว้ปลกๆ
จากนั้นพุ่มมาหาเหมเล่าเรื่องหมื่นวิชิตให้มาทำเสน่ห์ยาแฝดให้ฟัง เหมบอกพุ่มว่าเมื่อหมื่นวิชิตอยากให้ทำเสน่ห์นักก็สงเคราะห์ทำให้มันหน่อย จากนั้นเหมไปบอกลำดวนขอให้แกล้งทำเป็นถูกเสน่ห์พร่ำเพ้อเรียกหาแต่หมื่นวิชิต ลำดวนถามว่าทำไมต้องให้ตนทำเช่นนั้นด้วย
“เชื่อพี่นะลำดวน แผนการนี้มิเพียงจับอ้ายหมื่นวิชิตได้คาหนังคาเขาเท่านั้น แต่ยังจะทำให้เจ้ากับพี่กลับมาสนิทใจกันเหมือนเดิมอีกด้วย”
สองสามวันต่อมา ลำดวนก็เกิดอาการร้อนรุ่มจนแทบคลุ้มคลั่ง ทาสไปบอกบัวให้มาดู บัวถามลำดวนว่าเป็นอะไร
“ลำดวนร้อนเหลือเกินเจ้าค่ะ ตัวก็ร้อนใจก็ร้อนคิดถึงแต่หมื่นวิชิต ลำดวนไม่ควรทำร้ายกาจกับหมื่นวิชิต เช่นนี้เลย ลำดวนเสียใจเจ้าค่ะ” ลำดวนร้องไห้โฮๆ บัวเห็นแล้วอึ้งกับการทำเสน่ห์ว่าร้ายกาจถึงเพียงนี้หรือ นึกเป็นห่วงลำดวนขึ้นมา ไปพบและเล่าให้หมื่นวิชิตฟัง หมื่นวิชิตดีใจมากที่เสน่ห์
ยาแฝดที่ครูพุ่มทำให้สัมฤทธิผลเร็วเกินคาด บอกบัวว่าไม่ต้องห่วง หากตนสมหวังเมื่อใดก็จะถอนมนต์เสน่ห์เอง ไม่ให้ลำดวนมีภัยอันตรายเด็ดขาด
บัวทำทีคิดๆ อย่างไว้เชิงก่อนถามว่าหมอทำเสน่ห์นั้นเป็นผู้ใดและอยู่ที่ใดรึ หมื่นวิชิตถามว่าสนใจแล้วใช่หรือไม่
“พูดมากนัก ฉันเพียงแต่ถามดูเท่านั้น” บัวชักสีหน้าปราม
“อย่าลังเลอีกเลยคุณหนู เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว กระผมใกล้จะถึงฝั่ง ก็อยากให้คุณหนูสมหวังด้วย คุณหนูก็เห็นกับตาตัวเองแล้วไม่ใช่รึ”
บัวนิ่ง คิดหนักว่าจะเอาอย่างไรดี
ooooooo
บัวตัดสินใจไปหาพุ่มแต่เอาผ้าคลุมหน้าไว้หมื่นวิชิตอ้างว่าเพราะบัวมีศักดิ์สูงจึงไม่อยากให้ใครเห็นหน้าค่าตา
พุ่มพูดอย่างไม่พอใจว่าอับอายที่ต้องมาพึ่งวิชาของตนรึ ถ้าดูหมิ่นดูแคลนกันเช่นนี้ก็กลับไปเสีย ในที่สุดบัวจึงยอมเปิดหน้า พุ่มเรียกให้ขึ้นข้างบน สั่งห้ามลูกน้องหมื่นวิชิตตามขึ้นไป
เมื่อพุ่มพาบัวและหมื่นวิชิตเข้าไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่กลางเรือนก็สั่งให้บัวคุกเข่าลงพนมมือ ให้บอกชื่อตัวเองและชื่อผู้ชายที่ต้องการทำเสน่ห์ใส่ บัวจึงจำต้องบอกชื่อตนและชื่อเหม พอบัวเอ่ยชื่อเหมเท่านั้น ลำดวนที่ซ่อนตัวอยู่ตกใจมากอุทาน “พี่บัว!” พริบตานั้นทั้งเหมและสมิงสอดน้อยที่มีอาวุธคู่มือก็ออกมาปรากฏตัว
บัวตกใจมาก หมื่นวิชิตตะคอกใส่พุ่มว่า “มึงหักหลังกู”
“กูไม่เคยหักหลังผู้ใด กูกับคุณเหมรู้จักกันมานานแล้ว พวกมึงต่างหากที่มาหากูถึงเรือน อย่างนี้เขาเรียกว่าถึงที่”
ลำดวนผิดหวังเสียใจ ถามบัวว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ถูกบัวตวาดว่าลำดวนกับพวกเหมคงรวมหัวกันมานานแล้วถึงได้เล่นละครตบตาว่าโดนเสน่ห์จนตนหลงเชื่อ เหมแทรกขึ้นหน้านิ่งๆว่า
“แผนการทุกอย่าง ฉันเป็นคนคิดขึ้นทั้งสิ้น ลำดวนมิเคยรู้เลยว่าเป็นแผนจับแม่บัว แม่บัวจะโทษก็โทษฉันเถิด”
บัวจ้องหน้าเหมขวับ ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง ทั้งอายสับสนไปหมด ส่วนเหมแสดงท่าทีเปิดเผยอย่างไม่มีอะไรต้องปิดบังกันต่อไปอีกแล้ว
ooooooo
เหมจะให้สมิงสอดน้อยคุมตัวบัวกับหมื่นวิชิตไปรับอาญา ลำดวนขอร้องอย่าจับบัวส่งทางการเลย กลับถูกบัวหาว่าลำดวนเล่นละครตบตาตนอีก เย้ยว่าอย่าหวังเลยว่าการกระทำนี้จะทำให้ตนซาบซึ้งบุญคุณ
เหมปรามว่าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่รู้ดีรู้ชั่วอีกหรือ บัวสวนทันควันว่าอะไรเรียกว่าดีอะไรเรียกว่าชั่ว ถ้าสิ่งที่ตนทำเรียกว่าชั่วแล้วการที่ลำดวนแย่งชายที่เกือบหมั้นกับตนไปครองจะเรียกว่ากระไร ลำดวนตกใจมากที่บัวคิดเช่นนั้น
หมื่นวิชิตฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังสนใจการโต้เถียงกันนั้น พุ่งเข้าแย่งดาบของตนที่พุ่มยึดไปแทงพุ่มที่ท้องจนตายแล้วตัวเองก็ดึงดาบออกวิ่งหนีไป สมิงสอดน้อยวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน หมื่นวิชิตหนีไปได้ สมิงสอดน้อยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ ในขณะที่เหมก็บุกเข้าใส่ลูกน้องหมื่นวิชิตจนพวกมันแตกกระเจิง
บัวยังทิฐิถือดีไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตนทำมิชอบ เหมเดาใจลำดวนได้ว่าไม่อยากให้เอาเรื่องบัว จึงหันหลังจะลงเรือนไป ในขณะที่บัวก็ยังไม่ยอมลดละกับลำดวน ลำดวนถามว่าหากบัวยังมีเยื่อใยกับเหมไยไม่บอก ตนพร้อมจะหลีกทางให้อยู่แล้ว
“หากทำเช่นนั้น ก็เหมือนฉันแพ้ต่อเจ้าน่ะสิ ฉันไม่ต้องการให้ผู้ใดมาสมเพชเวทนาฉัน” ลำดวนถามว่าแล้วการทำเสน่ห์แย่งชิงมันน่าภาคภูมิใจนักหรือ บัวตวาดทันทีว่า “ฉันไม่ได้แย่งชิง ฉันเพียงแต่เอาของที่เคยเป็นของฉันกลับคืนมา”
ลำดวนเสียใจผิดหวังกับความคิดของบัว ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนเหมมองตามบัวที่เดินลงเรือนไป แล้วส่ายหน้ากับความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจของบัว
ooooooo
สองสัปดาห์ผ่านไป คุณหญิงชมแต่งตัวสวยเดินขึ้นเรือนขุนนาฏ ขุนนาฏกับหุ่นรีบมาต้อนรับในขณะที่คุณปิ่นนั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนตั่ง
ขุนนาฏและหุ่นเชิญคุณหญิงเข้าข้างใน ขณะคุณหญิงเดินผ่าน คุณปิ่นจำต้องยกมือไหว้ตามมารยาทคุณหญิงรับไหว้ทักว่าเป็นอย่างไรบ้างไม่เจอกันนานเดือนสบายดีหรือ คุณปิ่นตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า
“เจ้าค่ะ... คุณหญิงมาถึงเรือน คงไม่ได้มาแค่ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเพียงนั้นกระมังเจ้าคะ” คุณปิ่นเหน็บในที จนคุณหญิงต้องคุมสติ ปั้นหน้ายิ้มตอบไม่อ้อมค้อมว่า
“ฉันมาอัมพวานี้ ก็เพื่อจะทาบทามสู่ขอแม่ลำดวนให้หลวงสุรบดินทร์ลูกชายฉันค่ะ”
คุณปิ่นลุกสะบัดเข้าห้องไปทันที จนขุนนาฏและหุ่นตกใจ ขุนนาฏเอ่ยกับคุณหญิงอย่างเกรงใจว่ารอก่อนนะขอรับแล้วรีบตามคุณปิ่นเข้าไป ส่วนหุ่นก็ยิ้มแหยๆ บอกคุณหญิงว่า
“รอน้ำมะตูมกับขนมค้างคาวประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” แล้วรีบเลี่ยงไป
แม้จะถูกคุณปิ่นหมางเมินแต่คุณหญิงก็มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนใจคุณปิ่นให้ได้
ขุนนาฏเข้าไปหว่านล้อมคุณปิ่นว่า
“ลูกเรากับลูกเขาก็รักใคร่กันมานาน สมบัติเขาก็บริบูรณ์กว่าเรามากนัก แลคุณเหมก็ยังได้เป็นถึงหลวงสุรบดินทร์ มีบรรดาศักดิ์เหนือกว่าฉันเสียอีก ขนาดนี้แล้วแม่ปิ่นยังไม่เห็นใจคุณหลวงอีกรึ”
คุณปิ่นตะบึงตะบอนว่าตนไม่อยากได้ลูกเขยเป็นทหาร กลัวลำดวนจะเป็นหม้าย แลไม่ชอบคนห่าม ดูอย่างคราวนายห้างหันแตรสิ ห่ามเช่นนี้นานวันไปลำดวนจะลำบาก
เรื่องเหมเป็นทหารนั้น ขุนนาฏชี้แจงว่าเวลานี้หลวงสุรบดินทร์ย้ายมาสังกัดกับคุณชายช่วงแล้วอาจต้องออกรบบ้างแต่ก็ตามหมายเรียกเหมือนคนทั่วไป ส่วนมากก็ทำงานเกี่ยวข้องกับพวกวิลาศเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าเหมห่ามนั้น ขุนนาฏติงว่า
“ทีตอนเจ้าบัว ฉันไม่เห็นแม่ปิ่นจะตำหนิว่าห่ามกระไรเลย ดีอกดีใจเสียด้วยซ้ำ”
“ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่เจ้าคะว่าจะเป็นเช่นนี้ ท่านขุนจะฟื้นฝอยหาตะเข็บเพื่อกระไรกันเจ้าคะ” คุณปิ่นแว้ดใส่
“กลายเป็นฉันผิดไปเสียได้” ขุนนาฏขำๆ แล้วพูดเป็นการเป็นงานว่า “แม่ปิ่นฟังฉันนะ ถึงหลวงสุรบดินทร์จะห่าม จะแข็งกร้าว ก็เพราะชะตาชีวิตทำเขาจนกร้าวแกร่ง แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาก็ไม่ใช่คนหยาบร้ายกระไรแลที่สำคัญคือ เขารักลูกสาวเราจริง เท่านี้ยังไม่พออีกรึ”
“แล้วถ้าต่อไป เจ้าลำดวนต้องตกทุกข์ได้ยากเพราะพ่อเหมเนื้อทองคนนี้เล่าเจ้าคะ”
“ตกทุกข์ได้ยากเพราะได้อยู่กับคนที่รัก กับสุขสบายแต่ต้องอยู่กับคนที่ตนไม่รัก แม่ปิ่นคิดว่าเจ้าลำดวนจะเลือกทางใดกันเล่า”
คุณปิ่นอึ้งไป แล้วจึงถอนใจยาวออกมาอย่างหมดคำพูดที่จะโต้เถียงอีก
ooooooo
เมื่อออกมานั่งคุยกับคุณหญิงชม คุณหญิงทักว่าคุณปิ่นสบายใจแล้วหรือ คุณปิ่นจึงไหว้ขอประทานโทษที่เสียกิริยา แต่ก็ยังเอ่ยอย่างไม่สิ้นแง่ว่า
“ในเมื่อคุณหญิงเมตตามาทาบทามสู่ขอลำดวน ฉันก็ขอถามไถ่ให้แน่ชัดตามธรรมเนียมนะเจ้าคะ” เมื่อคุณหญิงยิ้มแย้มยินดีให้ถาม คุณปิ่นถามว่าลูกชายคุณหญิงมีเมียมาก่อนหรือยัง? ติดพนัน ฝิ่น กัญชายาเมาหรือไม่? คุณหญิงตอบหนักแน่นให้สิ้นสงสัยว่า ยังไม่เคยมีเมียแลไม่ติดพนันฝิ่นกัญชายาเมา คุณปิ่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองลุ้นว่าคุณปิ่นจะตอบอย่างไร
ครู่หนึ่งคุณปิ่นถอนใจหนักๆ เอ่ยหน้านิ่งว่า
“ฉันเตรียมเงินให้ลูกยามออกเรือนไว้ยี่สิบชั่ง ขันหมากมากน้อยตามแต่จะจัดหา เรือนหอฝาไม้กระดานห้าห้อง ฤกษ์ยามประมาณเดือนสี่เจ้าค่ะ”
ทุกคนถอนใจโล่งอก ขุนนาฏถึงกับตบเข่าฉาด “มิเสียแรงพูด เห็นทีต้องไปแก้บนเสียหน่อยแล้ว”
“อีฉันไปด้วยเจ้าค่ะ” หุ่นยิ้มเต็มหน้า แล้วก็พากันหัวเราะชอบใจ คุณปิ่นค้อนทั้งสองแก้เกี้ยว ฝ่ายคุณหญิงยิ้มบางๆขณะเอ่ยว่า
“ที่ขอฤกษ์ยามนั่นก็คงได้ตามกำหนด แต่ส่วนขันหมากฉันขอจัดเกินเลยไปบ้าง เป็นเงินสามสิบชั่ง ทองรูปพรรณ เรือนหอเจ็ดห้อง เพื่อจะได้คู่ควรกับแม่ลำดวนไม่ให้น้อยหน้าใคร”
“ฉันยอมยกให้เจ้าค่ะ” คุณปิ่นตอบรับทันที แต่ก็ยังหน้าบึ้งอย่างไว้เชิง
คุณหญิงชมยิ้มดีใจแทนเหมที่ได้สมหวัง และหันยิ้มกับขุนนาฏที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
ooooooo
หนึ่งเดือนผ่านไป งานแต่งจัดขึ้นที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย โดยมีเจ้าพระยาพระคลังเป็นประธานจัดงาน
งานนี้แม้บัวจะอยู่เรือนเดียวกันแต่ก็ไม่ยอมลงไปร่วมงาน เมื่อทับทิมขึ้นไปถามก็อ้างว่าได้ไข้ไม่อยากออกไป มิไยว่าทับทิมจะหว่านล้อมอย่างไร บัวก็ยืนกรานไม่ลงไปร่วมงาน ทั้งยังขอร้องทับทิมอย่าบังคับตนเลย ครั้นทับทิมถามว่าบัวเป็นอะไรกันแน่ บัวไม่ตอบแต่น้ำตาคลอ ทับทิมตกใจ ไม่เข้าใจว่าบัวร้องไห้ทำไม
ลำดวนในชุดเจ้าสาว สวยจนทับทิมชมว่าไม่แพ้นางสีดาเชียว แต่ก็บ่นเสียดายที่งานสำคัญนี้เราสามพี่น้องควรจะอยู่พร้อมหน้ากันแต่บัวกลับไม่ยอมออกจากห้อง ลำดวนหน้าเสียเดาได้ว่าบัวคิดอะไรอยู่ ครั้นทับทิมคาดคั้นถามก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งให้ตนพูดกระไรตอนนี้เลย
เมื่อหลวงสุรบดินทร์และลำดวนเข้ากราบเจ้าพระยาพระคลัง ท่านยิ้มแย้มยินดีที่ได้เห็นสองคนในวันนี้ บ่นเสียดายถ้าเจ้าคุณบริรักษ์ได้เห็นลูกชายคนเดียวออกเรือนคงปลื้มใจนัก
“ถึงไม่ได้เห็นกับตา แต่มีญาณรับรู้ได้ ก็คงปลื้มใจเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” คุณหญิงยิ้มบางๆ
“ท่านเจ้าคุณให้พรทั้งคู่เถิดขอรับ จะได้เป็นสิริมงคล” ขุนนาฏเอ่ย
“ฉันก็ไม่รู้จะให้พรกระไร แต่ขอให้ยึดในศีลแลธรรมก็แล้วกัน ทุกผู้คนนั้น หากมีศีลธรรมอยู่กับตัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกต่ำลงดอก”
ทั้งเหมและลำดวนต่างกราบขอบพระคุณเจ้าพระยาพระคลังรับพรเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ขณะที่ข้างล่างมีพิธีกันอย่างสนุกสนานมีความสุขนั้น บัวเก็บตัวอยู่ในห้อง พึมพำอย่างเจ็บช้ำน้ำตาซึมอยู่ลำพัง “คนที่นั่งคู่กับคุณเหม ควรเป็นพี่ ไม่ใช่เจ้า...”
ooooooo
แต่เมื่อพิธีรีตองต่างๆเสร็จสิ้น คุณปิ่นเอ่ยกับ เหมว่า
“หลังจากพ่อเหมกินจนอิ่มหนำแล้วก็ขอให้พ่อเหมไปรอที่เรือนหอก่อนนะจ๊ะ” เหมตกใจถามว่าทำไมลำดวนจึงยังไม่ไปที่เรือนหอพร้อมกัน
คุณชายช่วงช่วยชี้แจงว่า “ใจเย็นก่อนเถิดคุณหลวง ฤกษ์แต่งกับฤกษ์ส่งตัวเป็นคนละฤกษ์กัน คุณอาท่านให้กลับไปรอฤกษ์ส่งตัวที่เรือนหอก่อน พอได้ฤกษ์ก็จะพาลำดวนไปส่งตัวตามธรรมเนียม” เหมถามว่าแล้วฤกษ์ส่งตัวเมื่อใด คุณปิ่นบอกว่าบอกไม่ได้ เพราะตนถือเคล็ด เอาเป็นว่าให้เหมรอที่เรือนหอก็แล้วกัน ตนไปส่งเมื่อใดก็เมื่อนั้นแหละ
เหมห่อเหี่ยวพูดไม่ออก สมิงสอดน้อย หลวงเผด็จ และบุษย์ที่ร่วมวงกันอยู่ต่างมองหน้ากันทำนองว่าคุณปิ่นกันท่าไม่ยอมส่งตัวลำดวน ฝ่ายลำดวนก็ได้แต่บอกเหมให้ทำตามแม่ท่านเถิด ท่านอยากให้ถือเคล็ด เราสองก็อย่าได้พบหน้ากันจนกว่าจะถึงวันส่งตัว
“แล้วหากอีกนานเดือนกว่าจะถึงฤกษ์ส่งตัวเล่า พี่จะทำอย่างไร”
“ก็ต้องรอ อย่าว่าแต่นานเดือนเลย ต่อให้นานปีก็ต้องรอ” คุณปิ่นตัดบทเสียงแข็งแล้วสั่ง “ตามแม่มาลำดวน”
ooooooo
หลวงสรอรรถ จีนเชียงทอง และเรืองกลุ่มโจรค้าฝิ่น เหิมเกริมจนเข้ายึดเมือง สั่งทหารที่ยอมแพ้ว่า
“เอ็งกลับไปบอกพวกมันว่า ข้าจะยึดเมืองเป็นที่มั่นแล้วค้าขายฝิ่นตามใจชอบ ไม่อยู่ในอำนาจของพระมหานครอีก” แล้งสั่งลูกน้อง “ส่วนอ้ายทหารที่เหลือ ฆ่ามันให้สิ้น”
7 วันผ่านไป เจ้าพระยาพระคลังตบตั่งที่นั่งอยู่ด้วยความโกรธ
“อ้ายหลวงสรอรรถเหิมเกริมถึงขนาดจะก่อกบฏยึดเมืองเชียวรึ หากรู้ว่าเลวถึงเพียงนี้น่าจะฆ่ามันทิ้งเสียแต่เมืองปากน้ำแล้ว” ถามคุณชายช่วงว่า
“การเตรียมทัพไปถึงไหนแล้วพ่อช่วง พ่อทนความโอหังของอ้ายพวกค้าฝิ่นไม่ไหวแล้ว”
“ทางเราพร้อมทุกประการขอรับ ส่วนทางท่านเจ้าคุณบดินทร์เดชาก็เคลื่อนทัพมาสมทบแล้ว ลูกเพิ่งทราบข่าวเมื่อบ่ายนี้เองขอรับ”
“เช่นนั้นก็อย่าช้า พ่อช่วงสั่งระดมพลออกศึกได้เลย อ้ายพวกค้าฝิ่นมันถือว่ามีพวกมากแลกระจายกันอยู่ ปราบได้ก๊กหนึ่งมันก็หนีไปรวมกับอีกก๊กหนึ่ง คอยดูเถิด เราจะใช้กำลังมากเข้าโอบล้อม โจมตีไม่ให้พวกมันรวมกันได้อีก”
เหมที่ยังรอคอยการส่งตัวลำดวนอยู่ที่เรือนใหม่ โดยมีสมิงสอดน้อยและบุษย์ ตั้งวงกินดื่มกันอยู่ หลวงเผด็จขึ้นเรือนมาอย่างรีบร้อน ส่งหมายเรียกตัวเป็นกระดาษสองม้วนให้เหมกับสมิงสอดน้อยอ่านเอาเอง บุษย์รีบเข้าไปอ่านหมายเรียกของสมิงสอดน้อยอย่างอยากรู้
“หมายเรียกไปทัพปราบโจรค้าฝิ่น กระไรกัน คุณเหมของกระผมยังไม่ทันได้เข้าห้องหอ ก็ต้องไปทัพเสียแล้ว อย่างนี้เมื่อใดจะได้เข้าหอเล่าขอรับ” บุษย์อุทานตกใจแลเห็นใจเหม
เหมเองก็เศร้า แม้ใจหนึ่งอยากไปรับราชการแต่อีกใจก็ผิดหวังที่จะไม่ได้เจอลำดวนอีกนาน
ลำดวนเองแม้จะบอกเหมให้ทำตามเคล็ดของแม่แต่ใจก็พะวงคิดถึงเหมจนเวลาเข้าครัวก็เหม่อลอย คุณปิ่นดูออกบอกว่า “ฤกษ์พานาทีสำคัญนัก หรือว่าเจ้าไม่อยากครองเรือนอย่างเป็นสุข” และขุนนาฏก็ปลอบใจว่า
“อย่าคิดกระไรมากเลย แม่เจ้ายอมยกเจ้าให้หลวงสุรบดินทร์ก็ดีมากแล้ว สิ่งใดตามใจแม่เจ้าได้ก็ทำเถิด”
“เจ้าค่ะ” ลำดวนรับคำแผ่วเบา
ooooooo
ค่ำนี้ เหมกินข้าวอยู่บนเรือนกับคุณหญิงชม เหมกินไม่ลง คุณหญิงถามว่าไม่ถูกปาก หรือคิดถึงลำดวนจนกินไม่ลง
“ลูกกำลังจะไปศึกแล้ว แต่กลับไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของลำดวน จะไม่ให้ลูกเศร้าใจได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
แต่คืนนี้เอง คุณปิ่นกับขุนนาฏก็นำลำดวนมาส่งตัว เหมดีใจมาก ขุนนาฏหัวเราะชอบใจบอกเหมว่า
“ฉันบอกแล้วว่าฤกษ์แม่ปิ่นพิกลนัก มีอย่างรึส่งตัวกันป่านนี้”
ส่งตัวลำดวนแล้ว ทั้งคุณปิ่นและขุนนาฏก็ขึ้นเกี้ยวกลับ ฝ่ายคุณหญิงชมก็ยิ้มแย้มมีความสุขที่ได้ลำดวนมาเป็นสะใภ้
คืนนี้...เป็นคืนแห่งความสุขของเหมและลำดวนที่กว่าจะได้มาก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคจากคุณปิ่นและการขัดขวางจากหมื่นวิชิตและบัวจนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
รุ่งขึ้นลำดวนจะลุกไปจัดข้าวของให้เหมไปออกศึก เหมอิดออดอ้างว่าให้บุษย์จัดให้แล้ว บุษย์ยังไม่มาก็ขอให้ตนได้ชื่นใจก่อนเถิด ลำดวนเอ่ยหน้าเศร้าว่า
“ถ้าเลือกได้ ลำดวนไม่อยากให้คุณเหมไปศึกเลย”
“อย่ากังวลไปเลย ยอดดวงใจของพี่ พี่รับปากว่าพี่จะกลับมา ไม่ว่าจะไปทัพ ไปรบที่ใด พี่ก็จะกลับมาหนุนตักเมียรักของพี่ให้จงได้ จะไม่มีใครแยกพี่ออกจากเจ้า พี่จะเฝ้าทะนุถนอมเจ้าไม่ให้เศร้าหมอง และจะกลับมาร้อยพวงมาลัยดอกลำดวนให้เจ้าทุกวัน”
“ลำดวนจะรอคุณพี่เหมเจ้าค่ะ จะรอคุณพี่เหมทุกวัน” ลำดวนน้ำตาไหล เหมเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบามองกันด้วยความรักใคร่ โหยหากันและกัน...
บัวหลบลี้หนีหน้าไม่ยอมพบใคร จนวันนี้ไปทำบุญที่วัดเจอทับทิม จึงเพิ่งรู้ว่าเมื่อคืนคุณปิ่นกับขุนนาฏพาลำดวนไปส่งตัวแล้ว บัวเผลอกำชายมาลัยที่จะนำมาถวายพระจนเละ ทับทิมตกใจทักว่าพวงมาลัยถวายพระป่นปี้หมดแล้ว บัวจึงรู้สึกตัวเอ่ยขอโทษ และทับทิมก็คาดเดาได้ว่าบัวกับลำดวนมีปัญหากันเพราะเหมเป็นแน่
ooooooo
เหมออกศึกแล้วในชุดทหารเต็มยศนั้น เหมใช้ผ้าสไบสีกลีบบัวของลำดวนคาดเอวแทนผ้าเกี้ยวบอกสมิงสอดน้อยว่า
“ผ้าถุงแม่ฉันก็พกไว้ แต่ที่ใช้ผ้าสไบเมียคาดเอว ก็เพื่อจะได้เตือนใจว่า ออกศึกคราใด หลวงสุรบดินทร์คนนี้ต้องได้กลับไปหาเมีย”
ว่าแล้วเหมควบม้านำไป สมิงสอดน้อยมองตามยิ้มขำๆ กับอารมณ์ข้าวใหม่ปลามันของเหม แล้วควบม้าตามไป
บ่ายวันนี้เอง คุณหญิงชมเรียกลำดวนให้มานั่งคุยกัน คุณหญิงถอดแหวนที่นิ้วตนออก เล่าให้ลำดวนฟังอย่างตั้งใจว่า
“แหวนวงนี้เป็นของกำนัลชิ้นแรกที่เจ้าคุณพ่อของพ่อเหมให้แม่ แต่ถูกริบไปตอนต้องโทษ แม่ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้กลับคืนมา แม่ขอยกให้เจ้านะลำดวน”
“เป็นพระคุณเจ้าค่ะ ลำดวนจะเก็บรักษาแหวนวงนี้ไว้อย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ” ลำดวนกราบ รับแหวนไว้ คุณหญิงลูบหัวอย่างเอ็นดู เอ่ยหน้าขรึมลงว่า
“ชะตาชีวิตพ่อเหมพลิกผันไปมากนักแต่จิตใจที่จะทำเพื่อแผ่นดินก็มิเคยเปลี่ยนเลย” ลำดวนยิ้มอย่างชื่นชม “เจ้าคุณพ่อของพ่อเหม เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อ แต่ก็ต้องตายอย่างอเนจอนาถ แม่อยากให้พ่อเหมรักษาความกตัญญูไว้ แต่ก็ไม่อยากให้เดินซ้ำรอยเจ้าคุณพ่อ”
ลำดวนสีหน้าไม่สบายใจ คุณหญิงจับมือลำดวนไว้ จ้องหน้าพูดจริงจัง
“คนเดียวที่แม่จะหวังพึ่งพาเรื่องพ่อเหมได้ ก็มีแต่เจ้าเท่านั้น”
“ลำดวนเป็นหญิง มิเคยรู้เรื่องงานเมือง จะช่วยคุณพี่เหมได้อย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าผิดแล้ว แม้เจ้าจะไม่รู้เรื่องงานบ้านงานเมือง แต่เมื่อเจ้าเห็นสิ่งใดผิดแปลกไม่ถูกไม่ควร ไม่น่าวางใจ เจ้าก็ต้องตักเตือนพ่อเหม อย่านิ่งเฉยเสีย เพียงเท่านี้ ก็ถือว่าช่วยพ่อเหมแลแบ่งเบาความกังวลใจของแม่ให้ทุเลาลงได้แล้วล่ะ ชีวิตของเจ้าทั้งคู่ก็จะมีแต่ความจำเริญยิ่งๆขึ้นไป”
ลำดวนไหว้ สัญญาว่า “ลำดวนจะทำตามที่ คุณหญิงแม่สอนทุกประการเจ้าค่ะ”
คุณหญิงชมยิ้มปีติ ดึงลำดวนเข้าไปกอดด้วยความรักเอ็นดูจากใจ แลหมดห่วงลูกชายลงไปได้มากโข
ooooooo










