สมาชิก

ข้าบดินทร์

ตอนที่ 11

อัลบั้ม: เจมส์ มาร์ ประกบ แมท ภีรนีย์ ใน ข้าบดินทร์



บัวหงุดหงิดใส่พวกข้าหลวงที่ทำอาหารไม่ได้รสดั่งใจ สั่งว่าถ้าใครถามอย่าได้บอกเชียวว่าตนเป็นคนสอน เสียชื่อมาถึงตนด้วย พวกข้าหลวงพากันขอโทษเสียงอ่อย

ขณะนั้นเองเทียนเข้ามาบอกบัวว่าคุณดวงแขให้มาตาม ลดเสียงลงกระซิบบอกว่า

“ท่านอยากรู้ว่าเหตุใดแม่บัวบอกปัดคุณอินทร์”

แม้บัวจะเตรียมคำตอบไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆก็อดเครียดไม่ได้ แต่บัวก็เอาตัวรอดได้ เมื่อชี้แจงกับหม่อมว่า

“บัวก็มิรู้จะว่าอย่างไร อาจเป็นเพราะบัวเห็นว่าคุณอินทร์เป็นน้องชายของคุณก็เลยสนิทสนมจนเป็นเหตุให้เข้าใจผิดกระมังคะ บัวต้องขออภัยคุณดวงแขด้วยนะเจ้าคะ” บัวยกมือไหว้หน้าซื่อตาใส จนหม่อมเชื่อเพราะอินทร์เองก็ถือว่าเป็นผู้เพียบพร้อมเมื่อบัวไม่ชอบก็แสดงว่าไม่มีใจให้จริงๆ

ooooooo

เมื่อหมอสอนศาสนาไม่สามารถรักษาพ่อตาบุษย์ได้ หมอฝรั่งก็ต้องผ่าหัว บรรดาญาติของพ่อตาบุษย์จึงให้หมอผีมารักษา หมอผีเอาน้ำมนต์ราดใส่คนป่วยที่นอนไข้สูงอยู่กลางแจ้ง ปากก็ร้องขับไล่ผีให้ออกไปประเดี๋ยวนี้

พ่อตาบุษย์ตัวสั่นหนักกว่าเดิม หมอผีตวาด “ดื้อด้านไม่ยอมออกไปรึ ได้!” หมอผีหันไปหยิบหวายอาคมขึ้นเฆี่ยนไม่ยั้ง “มึงจะออกไปหรือไม่ออก ออกไป! ออกไป!!”

พ่อตาบุษย์ที่กำลังไข้สูงถูกสาดน้ำมนต์และถูกหวายเฆี่ยนทั้งเจ็บทั้งหนาวจนตัวสั่นอ้อนวอนอย่า...อย่า... เหมกับบุษย์ยืนดูอยู่อย่างไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อาจยับยั้งอะไรได้ จนบ่ายแก่ๆ เหมปรารภขณะเดินกับบุษย์ว่า วิธีนี้ดูจะไม่เข้าทีเพราะนอกจากพ่อตาบุษย์จะไม่ดีขึ้นแล้วยังกลับทรุดลงไปอีก บอกบุษย์ว่า

“ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าว่าเอ็งไปคุยกับญาติของเมียเอ็งเถิดวะ”

“คุยว่ากระไรวะ” บุษย์ถามไม่ทันขาดคำ ก็มีมีดสั้นขว้างปักเข้ากลางอกเหมจนทรุดลง พริบตานั้นก็มีนักเลง 3-4 คนกรูกันออกมาพร้อมอาวุธครบมือทั้งดาบ กระบอง กระบี่ ขวาน หนึ่งในนั้นมีถุงงูเห่าคาดเอวมาด้วย

เหมถูกรุมไม่ทันตั้งตัว ก็ดึงมีดที่ปักอกออกมาปาสวนไปถูกนักเลงคนหนึ่ง พวกมันเริ่มแตกไม่เป็นขบวน เหมบอกให้บุษย์รีบหนีไปแล้วตัวเองก็ต่อสู้กับพวกนักเลงด้วยมือเปล่า แม้จะถูกปามีดปักอกแต่เพราะเหมมีวิชาคงกระพันเลยปักไม่ลึก พวกนักเลงทำอะไรเหมไม่ได้ง่ายนัก

เสียงต่อสู้อึกทึกครึกโครมจนลูกน้องของหมอบรัดเลย์ชายวัยกลางคนชาวอเมริกันร้องบอกว่าระวัง มีคนสู้กัน หมอบรัดเลย์จึงชักปืนออกมาเตรียมพร้อม

นักเลงคนที่มีถุงงูเห่าคาดเอวเห็นพรรคพวกสู้เหมไม่ได้จึงปล่อยงูเห่าโยนใส่เหม เหมตกใจผงะถอยออกมาแต่ก็ถูกงูกัดที่ขาเต็มเขี้ยว เหมกระชากงูเหวี่ยงไปแต่ตัวเองก็ทรุดลงทันที พิษเข้าร่างจนเคลื่อนไหว

ไม่ถนัด บุษย์จึงหยิบไม้บุกเข้าไปไล่ตีพวกนักเลง เหมเข้าไปช่วยบุษย์แต่พิษงูทำให้เหมแย่ลงเรื่อยๆ กระนั้นเหมก็ยังสู้ไม่ถอย

“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง พวกนักเลงชะงักเห็นหมอบรัดเลย์ถือปืนก็ลังเล เหมฉวยโอกาสนั้นแย่งดาบจากพวกมันแล้วไล่ฟันจนพวกมันแตกกระเจิง พอพวกนักเลงตั้งหลักได้จะเล่นงานเหมอีก หมอบรัดเลย์จึงยิงปืนอีกห้านัดพวกมันจึงพากันวิ่งหนีไป พอเหมเห็นนักเลงหนีไปแล้วก็ทรุดลงกับพื้น ตาพร่ามึนหัวไปหมด บุษย์กับหมอบรัดเลย์รีบเข้ามาดู

ที่แท้หมื่นวิชิตเป็นคนจ้างพวกนักเลงมาเล่นงานเหม พอรู้ว่าเล่นงานเหมไม่สำเร็จก็ด่ากราด จนลูกน้องโต้ว่าถ้าไม่มีฝรั่งตาน้ำข้าวมาช่วยไว้ป่านนี้เหมตายไปแล้ว แต่เหมก็ถูกงูเห่ากัดเชื่อว่าคงไม่รอดอยู่ดี อีกคนคุยโวว่า ตอนสู้กันพิษงูกำลังกำเริบถ้าไม่มีคนมาช่วย ป่านนี้คงตัดหัวมันมาให้ท่านหมื่นได้แล้ว ทำให้หมื่นวิชิตมีความหวังว่าเหมอาจตายเพราะพิษงูก็ได้

ooooooo

เหมถูกนำตัวไปที่ริมทางเปลี่ยว แล้วหมอ บรัดเลย์ก็เอาเชือกมารัดเหนือบาดแผลป้องกันไม่ให้พิษงูแล่นเข้าสู่หัวใจ เหมโวยวายว่าทำอะไรตน ตะโกนให้ปล่อย บุษย์ก็คิดว่าเหมถูกทำร้ายร่ำๆจะเข้าไปช่วย

ลูกน้องหมอบรัดเลย์อธิบายว่าที่ต้องเอาเชือกมัดไว้เหนือบาดแผลเพื่อป้องกันพิษงูแล่นเข้าสู่หัวใจ หมอบรัดเลย์ก็พูดภาษาไทยอย่างชัดเจนว่า ที่ต้องมัดเหนือบาดแผลเพื่อป้องกันไม่ให้พิษงูกระจายมิได้คิดร้ายเลย

เหมหยิบว่านยาออกจากชายพกสองอัน ยื่นให้บุษย์อันหนึ่งบอกให้เคี้ยวละเอียดแล้วเอาพอกแผล ส่วนตัวเองเคี้ยวอีกอันพลางบอกหมอบรัดเลย์ว่า

“เลิกยุ่งกับข้าเสียทีเถิด ข้าเป็นควาญเดินป่ามานานปี มิใช่เพิ่งเคยถูกงูพิษกัดครั้งแรก กินว่านยาและพอกทาเสียหน่อยก็หายแล้ว” หมอบรัดเลย์ไม่สนใจถามลูกน้องว่าเซรุ่มได้แล้วหรือยัง ลูกน้องยื่นเข็มฉีดยาที่ดูดเซรุ่มไว้แล้วให้ เหมตกใจถามว่าจะทำอะไรตนอีก หมอบรัดเลย์จะฉีดเซรุ่มให้ ปรากฏว่าแทงเข็มไม่เข้าเพราะเหมอาบน้ำว่านให้หนังเหนียวไว้ หมอบรัดเลย์แปลกใจ จนเมื่อลูกน้องอธิบายว่าเหมคงมีวิชาอาคมฟันแทงไม่เข้า หมอบรัดเลย์ฟังแล้วอุทานทึ่ง

“โอ้...มายก๊อด เข็มแทงไม่เข้า แต่งูกัดเข้า อะไรกันนี่” พอเห็นบุษย์คายว่านสมุนไพรที่เคี้ยวละเอียดจะพอกแผล หมอตกใจ “ทำกระไร เอาของสกปรกมาพอกแผลได้อย่างไรกัน” บุษย์ไม่ฟังเสียงพยายามพอกยาหมอบรัดเลย์ก็พยายามขวาง

เหมที่เป็นคนถูกกระทำ ถอนหายใจเซ็งๆกับการแย่งกันรักษาคนละทางจนนึกในใจว่า ตนจะรอดไหมเนี่ย?

กลับมาถึงเรือน คุณหญิงชมถามเหมว่าอาการตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เหมบอกว่าหายแล้ว นี่ถ้าไม่ได้เคี้ยวว่านยากันไว้ด้วย รอให้หมอบรัดเลย์กับบุษย์โต้เถียงกันป่านนี้ตนคงตายเพราะพิษงูไปแล้ว

คุณหญิงจำได้ว่าเคยได้ยินชื่อหมอบรัดเลย์คนนี้อยู่เหมือนกัน

“เดิมทีลูกก็ไม่ค่อยเชื่อถือเท่าใด แต่เห็นในน้ำใจแลยาที่หมอบรัดเลย์ให้มากินก็ชะงัดนัก แต่ก่อนลูกกินว่านรักษาพิษงูปากแผลยังต้องบวมแลเป็นไข้อีก
สามสี่วัน แต่หลังจากลูกกินยาของหมอบรัดเลย์ก็หาเป็นเช่นเดิมไม่ บางทีเสี่ยงผ่าหัวอาจจะรักษาพ่อตาอ้ายบุษย์ให้หายก็เป็นได้เจ้าค่ะ”

“ข้อนี้แม่เห็นด้วย อย่างไรก็รักษาไม่หายต้องรอวันตายอยู่แล้ว ก็น่าจะเสี่ยงดูเผื่อจะรอด” เหมฟังแล้วเห็นด้วย

การผ่าตัดฝีให้คนไข้ชาวไทยของหมอบรัดเลย์คราวนี้ เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว เพราะไม่เคยมีใครเห็นในสยามมาก่อน จึงมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาดูด้วยความสนใจ ซึ่งการผ่าตัดประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี นับเป็นการเริ่มต้นของวิทยาการการแพทย์สมัยใหม่บนแผ่นดินไทย

ooooooo

4–5 วันต่อมา เหมเดินคุยกับคุณชายช่วงในตลาด คุณชายช่วงเอ่ยกับเหมว่า

“วิชาการบางอย่างของพวกฝาหรั่งต้องถือว่าวิเศษแท้ ฉันบอกแล้วว่า ถ้าไม่เรียนรู้ไว้เราก็มีแต่จะเสียเปรียบ” เหมกังวลว่าคนที่พูดภาษาวิลาศได้มีน้อยนัก เราจะหาผู้ใดไปเรียนวิชาการพวกนี้ได้เล่า “ไม่มีสิ่งใดพ้นความวิริยอุตสาหะไปได้ดอก ดูแต่ฉันเถิด ตอนที่เราพบกันคราแรกฉันยังไม่คล่องภาษาวิลาศ แต่ฉันก็มานะบากบั่นจนตอนนี้พูดได้ไม่แพ้เหมแล้ว”

คุณชายช่วงชี้แจงว่าเราจะไม่หวังจากพวกวิลาศที่เข้ามาค้าขาย แต่สักวันคนไทจะต้องได้ไปเมืองวิลาศ

“หากคนไทได้ไปเหยียบมือวิลาศจริงเราก็ไปเล่าเรียนวิชาที่วิลาศได้เช่นกัน ถึงเพลานั้น เราก็จะนำวิชาการของวิลาศกลับมาสร้างความจำเริญให้สยาม
ต่อไป จักได้มิต้องกลัวพวกวิลาศหรือชาติอื่นรุกรานอีก”

เหมฟังแล้วมองอย่างเลื่อมใสศรัทธาในวิสัยทัศน์ของคุณชายช่วง หมื่นวิชิตโมโหลูกน้องที่ให้นักเลงไปจัดการเหมไม่สำเร็จ เพราะถ้าเหมโดนงูกัดจริงทำไมป่านนี้ยัง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไล่พวกมันไปให้พ้นถ้าไม่เรียกก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก แล้วบ่ายหน้าไปยังเรือนเจ้าพระยาพระคลังเพื่อหาลำดวน

เหมร้อยมาลัยดอกลำดวนมาให้ลำดวน หยอกเย้ากันเยี่ยงคนรัก เหมจับมือทำกรุ้มกริ่ม เชยคางชมโฉม โดยไม่รู้ว่าบัวมายืนมองอยู่อย่างริษยา เวลาเดียวกัน หมื่นวิชิตที่ก็มาเห็นบัวยืนอยู่ที่บันไดแล้วจู่ๆบัวก็เดินลงบันไดมานั่งที่พื้นร้องอย่างเจ็บปวดและร้องขอความช่วยเหลือ

หมื่นวิชิตงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จนเห็นเหมกับลำดวนวิ่งมาหาบัวและประคองพาขึ้นข้างบน จึงเดาเล่ห์เหลี่ยมของบัวออก หมื่นวิชิตยิ้มเจ้าเล่ห์เห็นลู่ทางบางอย่าง และบัวเองก็แอบมองเหมกับลำดวนขณะประคองตนขึ้นเรือนด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

เมื่อประคองบัวขึ้นเรือนแล้ว ลำดวนจะไปตามหมอ บัวบอกว่าไม่ต้องให้บ่าวไพร่หาลูกประคบมาประคบสักพักก็คงหาย ลำดวนจึงรีบไป เป็นโอกาสให้บัวได้อยู่ตามลำพังกับเหม

บัวบีบน้ำตาตำหนิตัวเองที่ปฏิบัติต่อเหมไม่ดีขณะที่เหมต้องโทษตำหนิตัวเองว่าเห็นแก่ตัว หลายปีมานี้ตนเฝ้าแต่คิดถึงสิ่งที่ทำไปกับเหมทั้งที่รู้ว่าเป็นการทอดทิ้งและไร้น้ำใจแต่ตนก็ยังทำลงไป แล้วโผกอดเหมอ้อนเหมอย่าโกรธตนเลย แม้เรื่องจะผ่านไปหลายปีแล้วแต่ตนก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ แล้วจู่โจมถามเหมว่า

“คุณเหมรักใคร่กับลำดวนหรือเจ้าคะ”

“ใช่” เหมตอบจริงจังหลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง บัวยิ่งร้องไห้ทั้งตำหนิตัวเองและรำพันว่า ขอให้ตนได้คิดถึงเหมบ้างก็พอแล้ว ตนไม่ต้องการกระไรมากกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อทาสหามเกี้ยวพาบัวกลับถึงวังเสด็จ ยังไม่ทันขึ้นเรือน หมื่นวิชิตก็ปรากฏตัวขึ้น แนะนำโคตรเหง้าเหล่ากอและบรรดาศักดิ์ของตัวเองแก่บัว บัวถามงงๆ ว่ามีกระไรรึ

“กระผมอยากชวนคุณหนูร่วมมือกันกับกระผม เพื่อแยกหมื่นสุรบดินทร์กับแม่ลำดวนออกจากกันขอรับ” บัวทำหน้าตึงถามว่าพูดกระไรตนไม่เข้าใจ หมื่นวิชิตหัวเราะพูดอย่างรู้ทันว่า “ไม่ต้องปิดบังดอกขอรับ เมื่อครู่กระผมอยู่ที่หน้าเรือนท่านเจ้าพระยาพระคลังเห็นหมดแล้วขอรับ ว่าคุณหนูตกบันไดอย่างไร” พูดแล้วหัวเราะขำๆ บัวหน้าเสียไม่คิดว่าจะมีคนรู้เห็น หมื่นวิชิตพูดต่อว่า “แต่อย่ากังวลเลยขอรับ กระผมไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ดอก”

บัวถามว่าแล้วหมื่นต้องการกระไร? หมื่นวิชิตบอกว่าตนหลงรักลำดวนมานาน หากมิใช่เพราะหมื่นสุรบดินทร์แทรกเข้ามา ป่านนี้คงออกเรือนไปกันแล้ว แล้ววกเข้าเรื่องของบัวว่า

“คุณหนูเองก็สนใจในตัวหมื่นสุรบดินทร์ไม่ใช่หรือขอรับ แล้วเหตุใดเราถึงไม่ร่วมมือกันเล่า”

“เชิญข้างในเถิดหัวหมื่น คุยที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก” บัวเดินนำเข้าวังไป หมื่นวิชิตมองตามกระหยิ่มยิ้มย่องที่ตนมีแนวร่วมแล้วรีบเดินตามไปทันที

ooooooo

ทั้งหมื่นวิชิตและบัวร่วมมือกันวางแผนที่จะทำให้ลำดวนกับเหมต้องแยกจากกัน

บัวทำทีไข้ขึ้นสูง ให้ทาสไปรายงานขุนนาฏและคุณปิ่น ลำดวนเป็นห่วงพี่สาวจึงไปเฝ้าไข้ บัวแกล้งใส่สร้อยข้อมือให้ลำดวนเห็น ลำดวนจำได้เพราะเป็นสร้อยที่เหมฝากตนไปให้บัว ลำดวนเห็นเช่นนี้ก็นึกสงสารบัวที่ยังใส่สร้อยเส้นนั้นติดข้อมือ

ฝ่ายหมื่นวิชิตก็ไปที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง ทำทีถามอย่างเกรงใจว่า

“หมื่นสุรบดินทร์เคยสนิทสนมกับคุณหนูบัวจนเกือบจะหมั้นหมายกันจริงหรือไม่ขอรับ” คุณปิ่นชักสีหน้าที่หมื่นวิชิตมารื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแต่ก็รับว่าจริง หมื่นวิชิตตบเข่าฉาดบอกว่า “มิน่าเล่า มันถึงได้เอาไปลือกันเสียยกใหญ่ว่า หมื่นสุรบดินทร์คิดแค้นที่ถูกตัดเยื่อใยในยามที่ตกต่ำจึงคิดล้างแค้นด้วยการเทครัวทั้งคุณหนูบัวแลแม่ลำดวนมาเป็นเมียน่ะสิครับ”

หมื่นวิชิตเล่นละครสมจริงจนคุณปิ่นตกใจแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์

ฝ่ายลำดวนยังถูกบัวเล่นละครตบตาเช่นกัน ทำทีอ่อนเพลียจนกินข้าวไม่ลง พอลำดวนยกสำรับไปวางที่โต๊ะ บัวก็แกล้งถอดสร้อยข้อมือซ่อนไว้ใต้หมอนแต่จงใจทำให้ลำดวนเห็น แล้วทำเป็นหน้าเสียบอกลำดวนว่าตนดีขึ้นมากแล้วให้ลำดวนกลับเรือนไปเถิด ลำดวนตัดสินใจถามบัวว่า

“พี่บัวยังคิดถึงคุณพี่เหมอยู่หรือเจ้าคะ” บัวทำเป็นตกใจปฏิเสธว่าไม่มีกระไร ตนไม่ได้คิดอะไรแล้ว “อย่าปดลำดวนอีกเลยเจ้าค่ะ ลำดวนรู้หมดแล้วว่าพี่บัวยัง
มีใจให้คุณพี่เหมอยู่”

“พี่ขอโทษลำดวน แต่พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องอึดอัดใจเป็นอันขาด ไว้รอคุณดวงแขจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พี่จะตามคุณดวงแขไปอยู่ลำปางเอง เจ้าจะได้ไม่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้”

ลำดวนสะเทือนใจจนร้องไห้ บอกบัวไม่ต้องไปไหนทั้งสิ้นอย่าลำบากเพราะตนเลย บัวบีบน้ำตาพร่ำรำพันว่า

“ลำดวน เจ้าเป็นน้องที่พี่รักที่สุด แล้วจะให้พี่ทำให้เจ้าทุกข์ใจได้อย่างไร เชื่อพี่เถิดนะ พี่ควรเป็นฝ่ายที่ต้องไปเอง”

บัวดึงลำดวนเข้าไปกอด ลำดวนร้องไห้กับรักสามเส้าที่คิดไม่ถึง ฝ่ายบัวมือกอดน้องแต่แววตาเจ้าเล่ห์พอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

เมื่อลำดวนเดินออกจากวังก็เจอเหมที่มารอรับกลับ ลำดวนตัดสินใจถามเหมว่ารู้หรือไม่ว่าบัวยังมีใจให้เขาอยู่ เหมได้ฟังถึงกับอึ้ง หน้าเผือด

เมื่อลำดวนกลับถึงเรือนเจ้าพระยาพระคลัง ก็บอกกับขุนนาฏและคุณปิ่นว่าจะกลับอัมพวา คุณปิ่นถามว่า กลับจากเยี่ยมบัวก็จะกลับอัมพวา มีกระไรรึ ลำดวนอึกอักไม่อาจที่จะเล่าเรื่องรักสามเส้าให้แม่ฟังได้ ปดแม่ว่าไม่มีอะไร ตนเป็นห่วงบ้านที่จู่ๆก็มีคนมาบอกว่าไฟไหม้ แต่พอส่งคนไปกลับไม่มีกระไรเกิดขึ้น บอกว่า มันแปลกนะเจ้าคะ คุณปิ่นจึงเห็นด้วยที่จะให้ลำดวนกลับไปดูแลเรือน

“แล้วงานพระเมรุจะทำอย่างไร นี่ก็เล่นไปหลายคืนแล้วนา” ขุนนาฏถาม

“ถ้ากระนั้น ลูกเล่นให้จบรามเกียรติ์ตอนนี้ก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ตอนอื่นต่อจากนี้มิให้บทนางสีดาก็แล้วกัน”

ขุนนาฏพยักหน้าเห็นด้วย ที่แท้ลำดวนเครียดมิรู้จะแก้ปัญหารักสามเส้าอย่างไรจึงหาทางหนีกลับไปอัมพวา

ooooooo

วันนี้คุณหญิงชมไปถวายเพลพระที่วัด เหมไปรับกลับจึงเดินคุยมาด้วยกัน คุณหญิงถามขึ้นว่า

เหมคิดอย่างไรกับบัว เหมยอมรับว่าบัวเคยทำให้ตนเสียใจปางตาย ตนเข็ดหลาบแล้ว คุณหญิงย้ำว่าแสดงว่า เหมรักลำดวนแต่เพียงผู้เดียว?

“เจ้าค่ะ แม่ลำดวนดีกับลูกเสมอต้นเสมอปลาย มิเคยรังเกียจ และลูกรู้สึกสบายกายสบายใจยามอยู่ใกล้แม่ลำดวน แม้แต่ตอนที่ลูกหลงรักแม่บัวก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เจ้าค่ะ”

“แต่เจ้าลำดวนเป็นคนกลางโน่นก็พี่นี่ก็ชายคนรัก ย่อมลำบากใจไม่น้อย...แม่เกรงว่า...”

คุณหญิงไม่ทันได้พูดกระไร ทาสก็มารายงานว่าหลวงเผด็จมาขอพบท่านหมื่น หลวงเผด็จมาชวนเหมไปจับพวกโจรค้าฝิ่นด้วยกัน เหมติงว่าตนย้ายมาสังกัดคุณพระนายไวยแล้วคงไม่เหมาะที่จะไป

“เอ็งไม่รู้กระไร เรื่องพวกค้าฝิ่นอยู่ในความรับผิดชอบ ของท่านเจ้าพระยาพระคลัง คุณพระนายไวยเป็นลูกท่านเจ้าคุณถ้าข้าขอตัวเอ็งมาช่วยชั่วคราว ท่านไม่ว่ากระไรดอก”

คุณหญิงชมติงว่าเหมเพิ่งกลับจากศึกตนเพิ่งจะโล่งใจแล้วนี่คุณหลวงจะมาชวนเหมไปเสี่ยงภัยอีกแล้วรึ หลวงเผด็จยิ้มเจื่อน เหมช่วยพูดว่าตนเป็นทหารการสู้กับข้าศึกหรือจับโจรล้วนเป็นหน้าที่ คุณหญิงแม่พูดเช่นนี้หลวงเผด็จก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันพอดี แต่คุณหญิงก็ยังไม่สบายใจ พูดเหน็บว่า ทำราวกับว่าทั้งพระมหานครมีแต่เหมคนเดียวอย่างนั้นแหละ

หลวงเผด็จจึงชี้แจงว่า “ที่กระผมมาชวนอ้าย... เอ้อ...พ่อหมื่น นอกจากฝีมือดาบของพ่อหมื่นแล้ว อ้ายหัวหน้าโจรค้าฝิ่นคราวนี้ยังเกี่ยวข้องกับพ่อหมื่นด้วยนะขอรับคุณหญิง” เหมถามว่ามันคือใครรึ “หลวงสรอรรถ!”

เหมหน้าเครียดขึ้นทันที ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้อีก

ooooooo

แยกกันไปดำเนินแผนการแล้ว เมื่อมาเจอกัน หมื่นวิชิตยุว่าถึงลำดวนจะกลับอัมพวาแต่เมื่อยังมีใจให้กันกับเหมก็วางใจไม่ได้ บัวถามว่าแล้วจะให้ตนทำอย่างไรอีก

“กระผมสนใจเรื่องสร้อยพระที่แม่ลำดวนให้หมื่นสุรบดินทร์ขอรับ บางทีเราอาจใช้ข้อนี้ทำให้หมื่นสุรบดินทร์ กับแม่ลำดวนแตกกันก็เป็นได้ มิทราบว่าคุณหนูบัวพอจะรู้หรือไม่ขอรับ ว่าสร้อยเส้นนี้มีลวดลายอย่างไร”

“รู้สิ สร้อยเส้นนี้เจ้าคุณลุงสั่งทำขึ้นมาสามเส้น มีลวดลายเหมือนกันหมด ให้ฉัน พี่ทับทิม ลำดวนคนละเส้น ท่านหมื่นจะใช้สร้อยนี้ทำกระไรรึ”

หมื่นวิชิตยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการเล่ห์ร้ายของหมื่นวิชิตคือ จ้างช่างทำสร้อยเหมือนเส้นนั้น เมื่อสบโอกาสที่ลำดวนเล่นละครเสร็จขุนนาฏกับคุณปิ่นติดคุยงานกับท่านเจ้าคุณสุรศักดิ์ ลำดวนกับหุ่นจึงกลับก่อน เป็นโอกาสให้หมื่นวิชิตให้ลูกน้องเข้าฉุดลำดวนและตัวเองก็ทำเป็นพระเอกมาช่วย

หมื่นวิชิตต่อสู้จนโจรหนีไป หุ่นบอกให้ตามไป หมื่นวิชิตอ้างว่าเกรงจะเป็นกลอุบายของคนร้าย แล้วทำทีพบสร้อยที่คนร้ายทำตกในที่เกิดเหตุเป็นสร้อยแบบเดียวกับที่ลำดวนมอบให้เหมไป ลำดวนงงไปหมดว่าสร้อยที่ตนให้เหมมาตกอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในขณะที่หมื่นวิชิตเฝ้าจับสังเกตกิริยาอาการของลำดวนอย่างสาแก่ใจ

เมื่อนำสร้อยกลับไปให้ขุนนาฏและคุณปิ่นดู คุณปิ่นที่ถูกหมื่นวิชิตเป่าหูว่าเหมคิดแก้แค้นจะเทครัวทั้งบัวและลำดวนก็เขว คิดว่าเป็นฝีมือของเหม แต่ขุนนาฏติงว่าคำพูดนี้มาจากหมื่นวิชิตยิ่งเชื่อไม่ได้ หุ่นถามว่าเหมชอบพอกับลำดวนอยู่แล้วจะทำเช่นนั้นทำไม หากจะทำก็น่าจะทำกับบัวเสียมากกว่า

เมื่อความเห็นต่างกันเช่นนี้ ขุนนาฏบอกลำดวนให้ไปหาเหมที่เรือนถามกับเจ้าตัวเสียให้แจ้ง หากเหมทำเช่นนั้นจริงก็ต้องหลบลี้หนีหน้า เพราะกลัวลำดวนจะถามเรื่องสร้อย

ลำดวนไปถึงเรือนเหมแล้วก็ใจหายเมื่อคุณหญิงชมบอกว่าเหมออกไปราชการแต่ยังไม่รุ่งสาง ไปที่ใดไม่แจ้งรู้แต่เพียงว่าไปจับพวกโจรค้าฝิ่นกับหลวงเผด็จ การไม่เจอเหมทำให้ลำดวนคิดถึงคำพูดของขุนนาฏ รู้สึกเสียใจ ผิดหวังและสับสนมาก

กลับถึงเรือน ลำดวนร้องไห้เสียใจ แต่ก็บอกคุณปิ่นว่าตนยังไม่เจอเหม บางทีอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ได้ คุณปิ่นเหนื่อยใจ เตือนลำดวนว่าอย่างไรเสียก็อย่าให้หมื่นบดินทร์เอาเปรียบได้ก็แล้วกัน พูดหน้าบึ้งตึงว่า

“พี่น้องมีผัวคนเดียวกัน แม่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ ที่ไหน”

“แม่ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกไม่มีวันยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาดแม้ว่าลูกจะรักคุณเหมมากเพียงใด เกียรติของตนและตระกูลก็ต้องสำคัญกว่าเจ้าค่ะ”

“แต่แม่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี พี่น้องคงไม่ต้องมาผิดใจกันเพราะผู้ชายคนเดียวดอกนะ”

“ถ้าคุณพี่เหมมีใจให้พี่บัวจริง ลูกก็จะยอมหลีกให้เจ้าค่ะ อย่างไรเสียพี่บัวก็เป็นพี่ สายเลือดตัดกันไม่ขาด ดอกเจ้าค่ะ”

“แล้วเจ้าคิดว่าพี่จะยอมได้ชื่อว่าแย่งคนรักของน้องเชียวรึ ลำดวน” บัวพูดพลางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเครียด ลำดวนตกใจ มองพี่สาวด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

บัวทำเป็นคนดี เชื่อว่าเหมมิใช่คนเช่นนั้น พูดให้ลำดวนละอายใจที่ระแวงเหม ทั้งยังเป็นฝ่ายจะไปเองเพื่อให้เหมและลำดวนสบายใจอีกด้วย ทำให้ลำดวนยิ่งไม่สบายใจและลำบากใจ บัวแอบยิ้มสมใจที่ทำให้น้องคิดได้เช่นนั้น

ooooooo

เหมกับหลวงเผด็จไปจับโจรค้าฝิ่น ต่อสู้กันดุเดือดจนจับโจรได้หมดและยึดลังได้มากมาย แต่พอเปิดลังออกดู กลายเป็นลังบรรจุผักทั้งสิ้น ทั้งเหม และหลวงเผด็จแค้นใจที่เสียรู้หลวงสรอรรถ

หลวงสรอรรถลำพองใจที่หลอกทางการได้ ครั้นถูกลูกน้องต่อว่าว่าหลอกพวกตน หลวงสรอรรถก็ตวาดสั่ง

“มึงหุบปากประเดี๋ยวนี้เลย หากไม่หลอกพวกเดียวกันก่อนแล้วจะหลอกศัตรูได้อย่างไรวะ กูเลี้ยงดูพวกมึงอย่างดีก็เพื่อให้มึงมอบชีวิตให้กู ถ้าพวกมึงไม่พร้อมทำเพื่อกู ก็อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก” พวกลูกน้องกลัวลนลาน รีบพากันทำงานอย่างขันแข็งทั้งเกลียดทั้งกลัวความโฉดชั่วของหลวงสรอรรถผู้นี้
เมื่อหลวงเผด็จกับเหมกลับจากปราบโจรค้าฝิ่น ได้ข่าวสมิงสอดน้อยมาปลูกเรือนแถวนั้นจึงแวะไปเยี่ยมเยือน สมิงสอดน้อยชวนว่าพรุ่งนี้ว่างจะพาไปพบคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี

เช้าวันรุ่งขึ้น สมิงสอดน้อยก็พาเหมกับหลวงเผด็จไปพบพุ่มที่มาตั้งสำนักหมอดูตาทิพย์ที่นี่ พุ่มกับเหมและหลวงเผด็จไม่ทันได้คุยกันเต็มอิ่ม ก็มีคนมาร้องเรียกพุ่มที่หน้าเรือน บอกว่าตนเป็นลูกน้องของหมื่นวิชิต มาขอฤกษ์ฉุดผู้หญิง พุ่มขอชื่อจึงรู้ว่าหมื่นวิชิตจะไปดักฉุดลำดวน เหมแอบฟังอยู่ขบกรามด้วยความเคียดแค้น

วันนี้บรรดาบ่าวและทาสช่วยกันขนข้าวของของลำดวนเพื่อเดินทางกลับอัมพวา ขุนนาฏถามว่าถ้าเหม ยังตามไปที่อัมพวาอีกจะทำอย่างไร

“ลูกไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ลูกยังไม่อยากพบคุณพี่เหมในเพลานี้ ถึงคุณพี่เหมจะตามไป ลูกก็คงไม่ยอมพบหน้า เจ้าค่ะ”

“อยู่ดีมีสุขกันมานานแต่กลับต้องมาร้อนอกร้อนใจเพราะหมื่นสุรบดินทร์คนเดียวแท้ๆ” คุณปิ่นบ่นไม่พอใจ

“พ่อเหมไปทำกระไรรึ” คุณหญิงชมมาได้ยินพอดีถามขึ้น ทุกคนหันมองต่างทำหน้าไม่ถูก

คุณหญิงชมเดินนำทาสหญิงถือผ้าและข้าวของอื่นตามหลังมา ขุนนาฏมองอย่างกระอักกระอ่วนใจ ลำดวนหน้าเครียดไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

คุณหญิงกับลำดวนนั่งคุยกันที่ศาลาท่าน้ำ ลำดวนเล่าเรื่องถูกนักเลงดักฉุดและทำสร้อยพระที่ตนเคยให้เหมร่วง ทำให้คุณปิ่นเชื่อว่าพวกที่มาดักฉุดลำดวนคือเหม แต่เมื่อตนไปที่เรือนเพื่อถามเหมตามคำแนะนำของขุนนาฏก็ไม่เจอเหมจึงทั้งผิดหวัง เสียใจ และสับสน

“เรื่องที่พ่อเหมใช้กำลังฉุดคร่าหรือไม่คงต้อง พิสูจน์กันก่อน แต่เรื่องแม่บัว...พ่อเหมเล่าให้ป้าฟังแล้ว แลพูดเป็นมั่นเหมาะว่ามิได้คิดเป็นอื่นกับแม่บัว เจ้าก็อย่าได้กลับไปอัมพวาเลยนะ” เมื่อลำดวนยืนยันขอกลับไปอัมพวา คุณหญิงพูดอย่างลำบากใจว่า “ถ้ากระนั้น พ่อเหมกลับมาเมื่อใด ป้าจะให้ไปหาเจ้าที่อัมพวาก็แล้วกัน เจ้าจะได้ฟังจากปากของพ่อเหมเอง”

“อย่าเลยเจ้าค่ะ ขอให้ลำดวนสบายใจกว่านี้ก่อน แล้วค่อยพบหน้าคุณพี่เหมเถิดเจ้าค่ะ” คุณหญิงถามว่าลำดวนคิดกระไรอยู่หรืออย่าได้ปิดบังป้าเลย

“ป้าท่านไม่คิดหรือเจ้าคะว่าพี่บัวช่างเหมาะสมกับคุณพี่เหมนัก”

“ลำดวน...นี่เจ้าคิดจะยกพ่อเหมให้แม่บัวรึ” คุณหญิงตกใจ ลำดวนได้แต่ก้มหน้านิ่ง

ooooooo

ลำดวนนั่งเรือเดินทางกลับอัมพวาโดยมีหมื่นวิชิตไปส่ง และมีลูกน้องที่ไปขอฤกษ์ฉุดลำดวนกับพุ่มนั่งเรือมาด้วยเดินทางถึงเย็น หมื่นวิชิตสั่งให้พักก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ เมื่อขึ้นฝั่งปลูกกระโจมที่พัก หมื่นวิชิตแอบถามลูกน้องคนนั้นว่าตนต้องรอจนถึงสองยามเชียวหรือ ลูกน้องยืนยันว่าถ้าทำตามฤกษ์รับรองว่าราบรื่นทุกประการ

หมื่นวิชิตสั่งลูกน้องให้หาสมุนไพรไว้คลุกใส่กับข้าวให้ทุกคนกิน ลูกน้องรับรองว่าไม่มีผู้ใดขัดขวางความสุขของหัวหมื่นได้แน่นอน

เมื่อวางยาจนทุกคนหลับเป็นตายกันแล้ว หมื่นวิชิตบุกเข้าไปในกระโจมลำดวนแม้ลูกน้องจะขอให้รอฤกษ์ก่อนก็ทนรอไม่ได้ แต่พอหมื่นวิชิตเข้าในกระโจมกำลังลูบไล้ลำดวนอยู่นั้น ก็ถูกเหมบุกเข้ามาจับบิดแขนหักข้อมือกดลงกับพื้นกะเอาให้ตาย จนสมิงสอดน้อยเตือนให้เบามือหน่อยเดี๋ยวมันจะตายเสียก่อน

“ก็ควรให้มันตายไม่ใช่หรือพี่”

“อย่าลงโทษเองให้เกินหน้าที่เลย เอ็งจะพลอยต้องโทษไปด้วย”

เหมกระชากคอเสื้อหมื่นวิชิตลากออกไปจากกระโจมท่ามกลางเสียงร้องอย่างโหยหวนของหมื่นวิชิต สมิงสอดน้อยรีบตามเหมไป

เหมกลับมาเฝ้าลำดวนจนรู้สึกตัว ลำดวนถามเหมว่าเหตุใดจึงทำร้ายตนได้ลงคอ เหมถามว่าทำร้ายเรื่องใดหรือ

“หากไม่เจอสร้อยที่ลำดวนให้พี่เหมตกอยู่ ลำดวนคงหลงคารมพี่เหมไปอีกนาน”

“เจ้ายิ่งพูดพี่ก็ย่ิงงง” เหมหยิบสร้อยพระที่คอออกมาให้ดู “พี่คล้องสร้อยพระที่เจ้าให้ติดคอไว้ตลอด มิเคยให้ห่างกายเลย” ลำดวนตกใจเมื่อเห็นสร้อยพระที่คอเหม สงสัยว่าแล้วสร้อยที่เก็บได้เป็นของใครกันแน่ เหมจับตัวลำดวนเขย่าถามว่า “เกิดเรื่องกระไรขึ้นกันแน่ เจ้ารีบเล่าให้พี่ฟังมาให้หมดประเดี๋ยวนี้เลย”

ลำดวนเองกำลังงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก จนเมื่อลำดวนตั้งสติได้เล่าให้ฟัง เหมแค้นใจมากคุมตัวหมื่นวิชิตและลูกน้องไปให้เจ้าพระยาพระคลังลงโทษที่เรือนเจ้าพระยาพระคลังทันที

ooooooo

หมื่นวิชิตถูกลงโทษให้จับส่งนครบาลลงโทษตามอาญาบ้านเมือง บัวทำเป็นห่วงใยเกรงลำดวนจะเสื่อมเสียด้วย คุณปิ่นเห็นด้วยขอให้ลงโทษหมื่นวิชิตทางอื่นเถิด

“ข้าเห็นแก่หลานสาวข้าดอกนะ แต่อย่าหมายว่าจะได้กระทำชั่วเช่นนี้อีก” เจ้าพระยาพระคลังชี้หน้าหมื่นวิชิต แล้วสั่งสมิงสอดน้อย “หลวงกำแหงมีคำสั่งลงไป ให้ปลดอ้ายหมื่นวิชิตออกจากทุกสังกัด แลห้ามใครรับมันเข้าสังกัดอีก แม้มีบรรดาศักดิ์แต่ก็ให้สิ้นศักดินาไว้เก็บกิน”

สมิงสอดน้อยรับบัญชาหันไปตะคอกหมื่นวิชิตให้ไสหัวออกไป หมื่นวิชิตรีบวิ่งลนลานลงเรือนไปทั้งที่มือยังถูกมัดไพล่หลังอยู่

ขุนนาฏขอบใจเหมที่ช่วยลำดวนไว้ ตำหนิตัวเองที่ฝากเนื้อไว้กับเสือปล่อยลำดวนให้กลับไปกับคนอย่างหมื่นวิชิต

“ไม่เป็นกระไรดอกขอรับ ถึงอย่างไรกระผมก็ต้องช่วยลำดวนอยู่แล้ว แลจะได้แก้ข้อเข้าใจผิดให้สิ้นสงสัยด้วย”

ลำดวนเองก็ขอโทษที่ระแวงเหม สัญญาว่าต่อไปหากเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ปักใจเชื่อแต่จะถามเหมเสียก่อน

บัวแอบมองทั้งเหมและลำดวนอย่างหมั่นไส้และเจ็บใจ

เมื่อลงจากเรือนเจ้าพระยาพระคลัง เหมยังบอกลำดวนที่ถามเรื่องบัวว่า

“พี่กับแม่บัวนั่น ไม่อาจเป็นกระไรได้ นอกจากคนรู้จักเพียงนั้น” ลำดวนหน้าขรึมลงด้วยความสงสารบัว เหมรีบตัดบทว่า “มิสำคัญว่าแม่บัวจะรู้สึกเช่นไร เพราะพี่ไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับแม่บัว ต่อให้เจ้าหลีกทางให้ พี่ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจเป็นอื่น และการหลีกทางของเจ้า มีแต่จะเพิ่มคนทุกข์เป็นสามคนเท่านั้น มิได้ช่วยกระไรเลย”

ลำดวนพยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจแลซึ้งใจ ฝ่ายบัวที่แอบดูแอบฟังอยู่เลี่ยงไปด้วยสีหน้าเจ็บใจและอิจฉาอย่างที่สุด

ooooooo

บัวยังหาทางที่จะแยกลำดวนออกจากเหมให้ได้ วันนี้จึงเข้าไปขอให้หม่อมดวงแขช่วยฝากฝังลำดวนเข้าเป็นนางรำในวัง หม่อมดวงแขรับปากจะหาเจ้านายที่มีพระเมตตาให้เพื่อลำดวนจะได้อยู่ดีมีสุขในวังไปนานๆ

บัวยิ้มสีหน้าดีใจแต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยแผนการที่จะเอาชนะลำดวนและเหมให้ได้

ไม่นาน คุณท้าวแสงจันทร์ก็มาทาบทามให้ลำดวนเข้าไปเป็นนางรำในวัง ขุนนาฏปลื้มปีติมาก แต่ลำดวนกระอักกระอ่วนใจบอกว่าตนไม่อยากเข้าวัง ถูกคุณปิ่นดุและหาว่า

“คงอาลัยคุณพี่เหมของเจ้าล่ะสิ ถึงไม่อยากเข้าวัง พอคืนดีกันได้ ก็ดื้อรั้นกับพ่อแม่ มีลูกสาวก็เป็นเช่นนี้ เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อแม่ตัวเอง”

ลำดวนหน้าเสียบอกแม่ว่าตนไม่มีวันเห็นใครดีกว่าพ่อแม่ รับปากว่าเมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อแม่ตนก็จะยอมเข้าวัง ยังความดีใจโล่งใจแก่ขุนนาฏและคุณปิ่นยิ่งนัก ในขณะที่ลำดวนมีแต่ความไม่สบายใจที่ต้องเข้าวัง

แม้หมื่นวิชิตจะถูกลงโทษให้ปลดจากทุกสังกัดแต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงลำดวนมาให้ได้ ยิ่งมีบัวที่หมายมั่นจะชิงเหมร่วมมือด้วย ทั้งสองจึงยังคงดำเนินแผนต่อไป

“ถ้าอยากสมหวัง หัวหมื่นก็หาทางทำคุณไถ่โทษ ให้กลับมามีศักดินาไว้เก็บกินอีกครั้งก่อนเถิด มีแต่ยศศักดิ์อย่างเดียว ฉันก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร”

“ข้อนั้นกระผมทำแน่ แต่ทางคุณหนูบัวก็ต้องหาทางแย่งหมื่นสุรบดินทร์มาให้ได้นะขอรับ”

“อย่าพูดพล่อยๆ ฉันมิเคยแย่งของกับผู้ใด คุณเหมเป็นคนรักของฉันมาแต่ต้น เจ้าลำดวนต่างหากที่แย่งเอาไป” บัวแววตาแข็งกร้าวน่ากลัวมุ่งมั่นดื้อรั้นแลทิฐิที่จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

ooooooo

เหมท้อแท้กับอุปสรรคความรักโดยเฉพาะที่ถูกคุณปิ่นรังเกียจว่าต่ำต้อย เจ้าพระยาพระคลังให้กำลังใจว่า

“ตกต่ำไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างยังกลับขึ้นมาได้ แล้วจะมาท้อกับเรื่องเพียงนี้มันควรแล้วรึ ถ้าแม่ปิ่นยังไม่เห็นความดีของเจ้าก็ต้องหมั่นเพียรขึ้นไปอีก หาใช่มานั่งท้อแท้ใจไม่”

เหมมีกำลังใจขึ้น ได้ยินเจ้าพระยาพระคลังสั่งสมิงสอดน้อยให้เตรียมทหาร หยูกยาและอาวุธให้พร้อมเราจะมีศึกในอีกไม่ช้า ไม่ใช่ศึกระหว่างเมือง แต่เป็นศึกกับพวกโจรค้าฝิ่น ท่านพูดด้วยสีหน้าเครียดขรึมว่า

“นับวันพวกมันยิ่งอหังการมากขึ้นทุกที แลยิ่งมีคนติดฝิ่นมากเท่าใด บ้านเมืองก็ยิ่งอ่อนแอลงมากเท่านั้น ถึงเพลาแล้วที่เราต้องกำจัดเสียให้สิ้น”
เหมฟังแล้วนึกถึงหลวงสรอรรถขึ้นมาทันที เหมขบกรามแน่นด้วยความแค้น

พวกโจรค้าฝิ่นที่เหิมเกริมขึ้น เพราะหลวงสรอรรถรวบรวมผู้คนแลสมคบกับจีนเชียงทองที่มีอั้งยี่เป็นกองกำลัง เป็นขบวนการค้าฝิ่นที่ใหญ่และแข็งแกร่ง กอปรกับเรืองที่แตกกับหลวงสรอรรถก็กลับมาร่วมกลุ่มกันอีกครั้ง

พวกโจรค้าฝิ่นเหิมเกริมจนนำสมุนบุกจวนเจ้าเมือง ฆ่าทหารตายจำนวนมากและฮือเข้าหมายยึดจวน แต่ถูกทหารกรูกันออกมาต้าน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด

“บุกเข้าไป เอาตัวอ้ายคุณพระสาครมาให้ได้ ให้อ้ายพวกที่ครองเมืองอยู่ได้เห็นความร้ายกาจของพวกเรา” หลวงสรอรรถผยองเต็มที่ ทหารไทยกำลังน้อยกว่าถูกฆ่าและแตกพ่าย หลวงสรอรรถบุกเข้าไปในจวนเดินหาตามห้องจนเจอเจ้าเมืองนั่งตัวสั่นอยู่ในนั้น ยกมือไหว้หลวงสรอรรถอ้อนวอนอย่าทำอะไรตนเลย ตนกลัวแล้ว

อึดใจต่อมาก็มีเสียงเจ้าเมืองร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและหวาดกลัวสุดขีด

ooooooo

3–4 วันต่อมา เจ้าพระยาพระคลังคุยกับสมิงสอดน้อยที่เรือนอย่างแค้นใจ

“แต่เกิดมา ฉันยังไม่เคยเห็นโจรใดเหิมเกริมเท่านี้มาก่อน กล้าทำได้แม้แต่ยกพวกเข้าปล้นกลางวันแสกๆ แลยังฆ่าเจ้าเมืองเสียอีก เห็นทีจะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้แล้ว”

สมิงสอดน้อยรายงานว่ากำลังของตนพร้อมแล้วหากท่านเจ้าคุณจะปราบพวกโจรก็เคลื่อนทัพได้ทันที

“ฉันก็อยากทำเสียตอนนี้ ติดแต่ทัพหนุนของท่านเจ้าคุณบดินทร์เดชายังมาไม่ถึง ถ้ากำลังของเราฝ่ายเดียวเกรงจะรบติดพันนานสิ้นเปลืองชีวิตไพร่พล ฉันจึงต้องอดทนให้พวกมันกระทำหยาบหยามอยู่นี่อย่างไร”

สมิงสอดน้อยติงว่าหากนานเกินไปอาณาประชาราษฎร์ก็จะยิ่งขวัญเสีย ขณะนั้นเองคุณชายช่วงก็หน้าเครียดเข้ามา

“ถึงพวกโจรค้าฝิ่นจะเหิมเกริมอย่างไร เราก็ต้องทนไว้ก่อน เพราะเพลานี้มีเหตุอื่นที่สำคัญกว่ายิ่งนัก แล้วคุณชายช่วงก็รายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้คือนายห้างหันแตรนำเรือกลไฟมาจอดที่ท่าเรือ

ชาวบ้านพากันแตกตื่นไปดูเรือเหล็กใหญ่โตลอยน้ำได้ เหมและบุษย์ก็มาดูด้วย เหมปรารภกับบุษย์หน้าเครียดว่า

“นี่คือวิชาความรู้ของพวกวิลาศ มิน่าเล่า พม่าถึงได้พ่ายแพ้ แม้กระทั่งเมืองใหญ่อย่างจีนก็ยังสู้ไม่ได้”

“พระพุทธเจ้าอยู่หัวท่านจะทรงซื้อเรือวิเศษนี้ไว้ใช้หรือไม่ขอรับ ดีแท้ นับแต่นี้เราก็ไม่ต้องกลัวเรือของบ้านเมืองใดมารุกรานแล้ว”

“นี่ล่ะที่ข้ากังวล มีรึที่พ่อค้าชาววิลาศจะขายเรือดีให้เรา แลหากคนอย่างนายห้างหันแตรยังมีเรือเช่นนี้ได้ แล้วกองทัพเรือของวิลาศจะน่ากลัวสักเพียงใด” เหมสีหน้ากังวลใจ

ooooooo

การที่นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ หรือนายห้างหันแตร นำเรือกลไฟชื่อ “เอกสเปรส” เข้ามาในประเทศไทย ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยในสมัยนั้นมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่คนไทยได้เห็น “เหล็กลอยน้ำได้” แต่นายห้างหันแตรกลับคิดจะขายเรือพร้อมกับปืนใหญ่ 200 กระบอก ในราคาถึง 1,200 ชั่ง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่มหาศาลมากในสมัยนั้น ทำให้สยามไม่สามารถซื้อเรือลำนี้เอาไว้ได้

นายห้างหันแตรไม่พอใจมาก ระเบิดระบายอารมณ์ใส่เจ้าพระยาพระคลังอย่างเหิมเกริม

“ทำไมคนไทถึงเป็นเช่นนี้ ท่านบอกว่าจะซื้อเรือกลไฟ กระผมก็สู้อุตส่าห์จัดหามาให้ แต่พอนำเรือลำใหญ่สง่างามมาขนาดนี้ กลับไม่พอใจ ติติงหาว่าเรือเก่าขึ้นสนิมเขรอะ แล้วเอามาเป็นข้ออ้างไม่รับซื้อ ตกลงจะผิดคำพูดหรืออย่างไร”

เจ้าพระยาพระคลังชี้แจงว่าไม่ได้ผิดคำพูดแต่เรือขึ้นสนิมทั้งลำจริงๆ แล้วจะให้ซื้อในราคา 1,200 ชั่งได้อย่างไร คุณชายช่วงช่วยเจรจาว่า ถึงเราไม่ซื้อทั้งหมดแต่ก็จะซื้อปืนใหญ่ไว้ 100 กระบอกก็แล้วกัน แต่นายห้างหันแตรยืนกรานว่าจะซื้อเรือทั้งลำหรือจะซื้อปืน

บางส่วนหรือซื้อทั้งหมด ทางเจ้าพระยาพระคลังก็ต้องจ่าย 1,200 ชั่งให้ตน

“ข่มกันเกินไปแล้วกระมังนายห้าง” เหมโพล่งขึ้นอย่างสุดทน ลุกพรวดขึ้นจะเอาเรื่อง จนคุณชายช่วงต้องรั้งไว้

“เกินไปอันใด นี่เป็นการค้าขาย ข้านำเรือมาจากเกาะบริเตนใหญ่ ล่องมานานเดือน ถ้าไม่จ่ายเงินให้ก็เท่ากับสยามผิดสัญญา แลเรื่องนี้ อาจจะกลายเป็นเรื่องพิพาทลุกลามใหญ่โตระหว่างสยามกับวิลาศก็เป็นได้” หันแตรกำเริบเสิบสาน จนเจ้าพระยาพระคลังทนไม่ไหว ตอบโต้ทันควัน

“ถ้าข่มขู่กันเช่นนี้ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถิด แลเอาเรือผุพังของท่านไปด้วย สยามไม่ต้องการ”

นายห้างหันแตรโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ชี้หน้าเจ้าพระยาพระคลังตวาดขู่

“แล้วสักวัน ท่านเจ้าคุณจะต้องกลืนคำพูดเหล่านี้ เพราะกระผมจะเอาเรือลำนี้ไปขายให้ญวน ถึงตอนนั้น กระผมอยากรู้ว่าท่านเจ้าคุณจะทำสีหน้าเช่นไร เมื่อญวนเอาเรือกลไฟลำนี้มาจ่อยิงใส่พระมหานคร”

ขาดคำนายห้างหันแตรเดินปึงปังลงเรือนไป สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าพระยาพระคลังและคุณชายช่วงอย่างมาก

เหมมองตามนายห้างหันแตรไปด้วยความแค้นจับใจ แต่จำต้องอดทนกลืนเลือดไว้ก่อน

ooooooo

ข้าบดินทร์

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด