ตอนที่ 10
อัลบั้ม: เจมส์ มาร์ ประกบ แมท ภีรนีย์ ใน ข้าบดินทร์
เหมฟังจากเจ้าพระยาที่ให้เตรียมใจกับการต้องสูญเสียช้างแล้วใจหาย คืนนี้ขณะไปจุดยาไล่ยุงและแมลงให้แม่พังโต เหมคุยกับแม่พังโตและไหว้ขอโทษที่ต้องพาแม่พังโตไปเสี่ยง แต่บอกแก่แม่พังโตอย่างภูมิใจว่า
“ชัยชนะของทัพไทยขึ้นอยู่กับช้างอย่างแม่พังแล้ว” แม่พังโตมองหน้าเหมราวกับรับรู้สิ่งที่เหมพูด
ยุทธวิธีของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา นำมาซึ่งชัยชำนะแก่ทหารไทย เมื่อเสร็จศึก เหมวิ่งมาถามขุนศรีไชยทิตยและมากับส่งที่กำลังทายาให้ช้างที่บาดเจ็บว่า “พวกช้างเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“อ้ายสังข์มันแข็งแรงแลหนังหนานัก ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ส่วนพวกช้างโคตรแล่น เตลิดหายไปสิบเชือก คงมิต้องตามแล้ว ส่วนช้างของเราตายไปสาม เจ็บหนักรอวันตายอีกแปด เหลือที่พอเยียวยารักษาได้ไม่เกินสิบเก้าเชือก”
“แล้วแม่พังโตเล่าขอรับ” เหมร้อนใจ ขุนศรีไชย-ทิตยหน้าเครียดเดินนำเหมไป เหมเห็นแม่พังโตนอนให้พวกควาญช้างทายาให้อยู่ ดูอาการหนักเพราะแผลลึกฉกรรจ์ เหมอุทานพลางโผเข้าหา “แม่พัง...”
ขุนศรีไชยทิตยเล่าอาการสาหัสของแม่พังโตแล้วบอกเหมให้ทำใจ เหมฉุกคิดได้บอกขุนศรีน้ำตาคลอว่า
“กระผมเคยอ่านในตำราบอกว่าที่เมืองญวนมีหญ้าประหลาดชื่อหญ้าพรายน้ำ เปล่งแสงในเพลากลางคืนนับเป็นยอดแห่งยาสมานแผลสำหรับช้าง ถ้าหาได้หญ้านั้นอาจจะช่วยแม่พังได้นะขอรับ”
“ในชีวิตข้าเคยเห็นครั้งเดียวแลมันอยู่ลึกเข้าไปในฝั่งญวน ใครจะเสี่ยงตายบุกเข้าไปเพื่อช่วยช้างกันเล่า”
เหมหันไปลูบหัวแม่พังโตด้วยความรักและสงสารจับใจ แววตาเหมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ผ่านเพียงชั่วครู่ สมิงสอดน้อยได้รับรายงานจากขุนศรีไชยทิตยว่าเหมหนีไปในเขตญวนเพื่อหาหญ้าพรายน้ำมารักษาแม่พังโต สมิงสอดน้อยตำหนิขุนศรีว่าเหตุใดจึงไม่ห้ามเหม
“ทำไมฉันจะไม่ห้าม แต่อ้ายเสดียงมันยืนยันจะไป ใครจักห้ามมันได้ อย่าว่าแต่คุณหลวงเลย ต่อให้เป็นคำสั่งท่านเจ้าคุณแม่ทัพใหญ่ อ้ายเสดียงก็ต้องเสี่ยง
คอขาดไปจนได้”
ขุนศรีบอกเล่าถึงความรักความผูกพันของควาญกับช้างอย่างลึกซึ้งว่า
“สำหรับคนอื่นช้างอาจจะเป็นแค่สัตว์หรือเครื่องมือในการสู้รบ แต่สำหรับพวกเรา ช้างเป็นพี่เป็นน้อง เป็นกระทั่งลูกแลเพื่อนร่วมตาย เราไม่อาจทนดูมันตายโดยไม่ช่วยเหลือได้ดอก”
เหมลอบเข้าไปในเขตญวน ต่อสู้กับทหารญวนได้รับบาดเจ็บแต่ก็ได้หญ้าพรายน้ำกลับมารักษาแม่พังโตได้ทันกาล
ooooooo
หลังจากองเดดกพ่ายแพ้และทหารไทยยึดเมืองโจฎกไว้ได้ ทัพเรือของญวนก็หนีเอาตัวรอด ท่านเจ้า พระยาพระคลังตามตีและจับเชลยศึกไว้ได้จำนวนมาก
ศึกสงบแล้ว เจ้าพระยาบดินทร์เดชาให้พระศรี-สิทธิสงครามนำสาส์นไปมอบแก่องเดดก...
“ท่านแม่ทัพองเดดก ก็ได้รับมือกับทัพสยามมาอย่างหนักหน่วง มาบัดนี้ ฉันจึงใคร่ขอความเห็นจากท่านแม่ทัพว่าจะรับมือต่อหรือจะยอมรับความพ่ายแพ้เสีย แต่โดยความเห็นของฉันนั้น สยามจะมีทัพหนุนมาเพิ่มอีกหลายทัพ หากญวนยังฝืนสู้รบต่อไป ก็คงเสียทหารไปเปล่า มิสู้ยอมแพ้เสียตรงนี้โดยสยามเองก็มิได้จะหักหาญให้เป็นศึกยืดเยื้ออีกต่อไป ขอท่านแม่ทัพจงตรองดูให้ดีเถิด”
ขณะองเดดกอ่านสาส์นแล้วคิดเครียดนั้น พระศรี-ไชยทิตยก็สั่งลูกน้องให้นำเชลยศึกมามอบคืนแก่องเดดก
ศึกสงบจนส่งคืนเชลยแก่องเดดกแล้ว พระยาปลัดจึงเพิ่งจะนำทัพหนุนมาถึง พระยาปลัดเจอเหมก็ทำยิ้มแย้มทักทาย เหมตอบรับไปตามเพลงแต่ไม่ไหว้
พระยาปลัดแก้ต่างแก่ตัวเองว่าเหตุที่มาช้าเพราะไม่ชำนาญทางและระหว่างทางจับเชลยได้มากเป็นเหตุให้มาไม่ทันตามฤกษ์ ขอท่านเจ้าคุณลงโทษตามอาญาทัพด้วยเถิด
ครั้นเจ้าพระยาสั่งนำตัวไปตัดหัวแล้วเสียบประจานไว้หน้าค่าย พระยาปลัดถึงกับโวยวายว่าเพียงมาไม่ทันฤกษ์ก็ต้องโทษถึงประหารเลยหรือ
“แค่มาไม่ทันฤกษ์อย่างนั้นน่ะรึ ท่านเจ้าคุณเห็นการรบทัพจับศึกเป็นกระไร ศึกสงครามเกี่ยวพันถึงชีวิตผู้คนแลศักดิ์ศรีของบ้านเมือง ท่านเจ้าคุณคิดว่าเป็นเรื่องเล็กรึ” พระยาปลัดอ้างความดีความชอบของตน ขออย่าได้ลงโทษถึงประหารเลย “เพราะฉันเห็นแก่ความดีเก่าก่อนแลเมื่อครู่ท่านเจ้าคุณสำนึกผิดด้วยตัวเองฉันจึงลดโทษให้ไม่ต้องถึงลูกเมียแลริบทรัพย์สมบัติแล้ว ท่านเจ้าคุณยังจะขอลดหย่อนอีกรึ”
เมื่อทหารมาหิ้วปีกเอาตัวไป พระยาปลัดก็ยังพร่ำร้องขอความเมตตาไปตลอดทาง
เมื่อข่าวการศึกของเจ้าพระยาบดินทร์เดชาแพร่ไปถึงนครราชสีมาว่าได้รับชัยชนะแต่ช้างก็ตายไปหลายเชือกและควาญช้างก็พลีชีพไปไม่น้อย ลำดวนรับฟังข่าวนี้ด้วยความเป็นห่วงเหมมาก
ขณะพระยาปลัดถูกนำตัวไปตีตรวนกักขังอยู่ก็ขอพบเหม เมื่อสมิงสอดน้อยบอกเหม เหมไม่ต้องการไปพบ สมิงสอดน้อยติงว่า
“เอ็งลองไปสักคราเถิดวะ ถ้าไม่ชอบก็กลับออกมา ถือเสียว่าไปพบคนที่เคยอุ้มชูเอ็งมาครั้งยังเยาว์เป็นครั้งสุดท้าย”
เมื่อเหมไปพบ พระยาปลัดบอกว่าอยากขอขมา เหมถามว่าจะขอขมาสิ่งที่เจ้าคุณร่วมกับหลวงสรอรรถใส่ความเจ้าคุณพ่อจนทำให้ต้องโทษกันทั้งครัวและยังลวงให้เจ้าคุณพ่อรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำกระนั้นหรือ พระยาปลัดกล่าวโทษว่าถูกหลวงสรอรรถบังคับ เหมย้อนเอาว่า
“ถ้ากระผมเดาไม่ผิด ที่หลวงสรอรรถบังคับท่านเจ้าคุณได้ก็เพราะความชั่วช้าที่ท่านเจ้าคุณกระทำ”
เมื่อถูกเหมรู้เท่าทัน พระยาปลัดบอกว่าเหมไม่ต้องอโหสิก็ได้แต่ตนได้พูดที่อยากพูดให้เหมฟังก็พอใจแล้ว บอกเหมให้กลับไปเสียเถิด เหมหันหลังเดินไป แต่ครู่เดียวก็หยุดพูดโดยไม่หันมอง
“ถ้าเจ้าคุณพ่ออยู่ที่นี่ ท่านก็คงอโหสิให้เจ้าคุณอา กระผมก็ขอทำตามแบบอย่างเช่นเดียวกับเจ้าคุณพ่อก็แล้วกันขอรับ”
พระยาปลัดน้ำตาซึมซึ้งใจและดีใจที่เหมยอมอโหสิให้ตนในวันสุดท้ายของชีวิต
ooooooo
กองทัพของเจ้าพระยาบดินทร์เดชาได้รับชัยชนะในการสู้รบกับกองทัพญวนอีกหลายครั้ง จนที่สุด เมืองญวนต้องยอมแพ้ และแม่ทัพใหญ่องเตรืองกุนต้องกินยาพิษฆ่าตัวตาย ณ ริมฝั่งน้ำด้วยความละอายใจ ทำให้นักองค์ด้วงได้สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์เขมร ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี”
เมื่อเสร็จศึก ท่านเจ้าคุณจึงให้สมิงสอดน้อยมาคุ้มครองขุนนาฏกลับอัมพวา คุณปิ่นขอพบทับทิมกับบัวก่อนกลับอัมพวาเพราะนับแต่เดินทางมาพัตบองยังไม่เคยเจอกันเลย ซึ่งสมิงสอดน้อยก็มิได้ขัดข้อง
ลำดวนมาเห็นสมิงสอดน้อยก็ดีใจนัก เลียบเคียงถามถึงเหมแต่ก็มิได้รับรู้ชัดเจน คาดว่าเหมคงอยู่กับเจ้าพระยาบดินทร์เดชาเพราะสมิงสอดน้อยบอกว่าเจ้าพระยายังต้องอยู่เขมร นอกจากเพื่อคอยช่วยเหลือองค์หริรักษ์แล้วยังต้องดูแลผลประโยชน์ของสยามด้วย
ขณะลำดวนเดินใจเศร้าหมองที่ไม่ได้พบเหมและอาจต้องรอนับสิบปีจนกว่าเจ้าพระยาบดินทร์เดชาจะกลับจากเขมร แต่แล้วจู่ๆก็มีพวงมาลัยดอกลำดวนมายื่นให้ ลำดวนหันมองเป็นเหมในชุดทหารยืนอยู่ตรงหน้าก็ถึงกับตะลึงชาไปทั้งตัว
ด้วยความรักความห่วงใยที่มีต่อกันเพียงพบหน้าสบตาก็เข้าใจความรู้สึกของกันและกัน คุยกันอยู่ครู่เดียวลำดวนจึงสังเกตเห็นว่าเหมอยู่ในชุดบรรดาศักดิ์เป็นหมื่น ถามอย่างตื่นเต้นว่า “นี่คุณพี่ได้บรรดาศักดิ์เป็นหมื่นแล้วรึ”
“แต่ยศหมื่นนี้ก็ยังหาสำคัญไปกว่าที่พี่ได้กลับมาพบเจ้าไม่ เจ้าลำดวนของพี่” เหมเชยคางลำดวนให้หันมามองหน้าเต็มตา ดึงลำดวนเข้าไปกอดด้วยความรัก ลำดวนมิได้ขัดขืน ปล่อยตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเหมด้วยความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขใจที่สุด
ooooooo
ที่วังเสด็จ บรรดาบ่าวไพร่ที่ยังอยู่ ร้องไห้กันระงมเมื่อรู้จากหม่อมดวงแขว่าเสด็จต้องโทษถึงประหารแต่มิได้มีโทษถึงลูกเมียและไม่ริบทรัพย์สิน
บัวรับฟังข่าวนี้ด้วยความรู้สึกใจหาย ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจริงๆ
ตกเย็นเมื่อบัวกับเทียนไปเดินตลาด คุณหญิงชมเห็นจึงเข้ามาทัก ถามว่า ได้ข่าวว่าที่วังรื้อเรือนทิ้ง หากไม่แพงตนขอซื้อได้หรือไม่ เทียนบอกว่าไม่ต้องจ่ายเบี้ยอัฐเพราะหม่อมท่านต้องการให้เปล่าเป็นทานอยู่แล้วเพียงแต่ตอนนี้ที่วังไม่มีบ่าวไพร่ต้องหาคนไปช่วยขนเอง
คุณหญิงชมดีใจมาก บัวถามว่าจะเอาไม้ไปทำอะไรหรือ
“ฉันเพิ่งปลูกเรือนใหม่เลยอยากได้ไม้ไว้เผื่อต่อเรือนเพิ่มน่ะจ้ะ”ที่เรือนใหม่...
คุณหญิงชมเอาน้ำลอยดอกมะลิมาให้บัวดื่มขอบใจที่ได้ไม้เปล่าๆ แล้วยังหาคนมาช่วยขนให้ด้วย บัวเลียบเคียงถามหมายได้รู้ฐานะและข่าวคราวของเหม พอรู้ว่าคุณหญิงชมอยู่คนเดียว รอเหมกลับมาค่อยว่ากันอีกที
“แต่แรกฉันก็ตั้งใจจะรอพ่อเหมกลับมาก่อนแล้วค่อยปลูกเรือนแต่พอดีมีคนมาขายที่ดินให้ฉันถูกนัก ฉันจึงเอาเงินเก็บของพ่อเหมมาซื้อที่แล้วปลูกเรือนเสียเลยน่ะจ้ะ”
ขณะนั้นเองหลวงเผด็จมาร้องเรียกอยู่หน้าบ้าน คุณหญิงชมถามว่ามาหาใคร พอหลวงเผด็จพบและรู้ว่าเจอตัวคุณหญิงแล้วจึงแนะนำตัวเองว่า
“กระผมหลวงเผด็จ เป็นสหายร่วมรบกับพ่อเหม”
คุณหญิงชวนขึ้นเรือนไปคุยกัน หลวงเผด็จขอตัว บอกว่า
“พ่อเหมวานกระผมให้มาแจ้งข่าวแก่แม่นาย กระผมไปที่โรงเลี้ยงช้างมา คนที่นั่นบอกว่าแม่นายปลูกเรือนใหม่แล้วที่ละแวกนี้ กระผมจึงตามมาขอรับ” คุณหญิงชมดีใจถามว่าลูกชายตนเป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยดีรึ “ปลอดภัยขอรับ แลทำความดีความชอบไว้มาก จนได้ยศเป็นหมื่นสุรบดินทร์แล้ว หัวหมื่นจึงให้กระผมมาเรียนแม่นายว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ”
คุณหญิงชมดีใจจนน้ำตารื้นที่เหมปลอดภัยและได้บรรดาศักดิ์เป็นหมื่น
ส่วนบัวอึ้งๆอย่างนึกไม่ถึงว่าเหมจะกลับมาได้ดีอีกครั้ง
ooooooo
ค่ำนี้ เหมมากราบลาขุนนาฏและคุณปิ่น เพื่อไปทำกิจส่วนตัวที่หัวเมืองตะวันออก แลคงมิได้ร่วมทางไปส่งท่านขุนถึงพระมหานคร
“คุณเหมเกรงใจเกินไปแล้ว เรามิใช่คนอื่นไกลกัน มิต้องมีพิธีรีตองดอก” ขุนนาฏยิ้มแย้ม
ลำดวนดีใจเมื่อได้ยินพ่อท่านเรียกเหมว่า ‘คุณ’ คุณปิ่นปั้นยิ้มเอ่ยขึ้นบ้างว่า
“ถูกแล้วจ้ะ หัวหมื่นจะไปทำกระไรก็ไปเถิด มิต้องมาลาดอก”
ทั้งลำดวนและหุ่นหน้าเจื่อนไปทันที หุ่นนึกขวางถามว่า “หัวหมื่นเคารพท่านขุนกับแม่ครู จึงไปลามาไหว้ แม่ครูยังไม่พอใจอีกหรือเจ้าคะ” ก็ถูกคุณปิ่นลอยหน้าใส่ว่า
“หัวหมื่นเคารพฉันรึ คงเพราะเคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับแม่บัวจนเกือบดองกันมากกว่ากระมัง”
ลำดวนยิ่งหน้าเสียเมื่อฟังรู้ว่าถูกแม่ตีกัน ขุนนาฏ ตัดบทเปลี่ยนบรรยากาศตามเคยเร่งเหมให้รีบกลับเสีย ประเดี๋ยวมืดค่ำแล้วจะกลับลำบาก ซ้ำยังบอกลำดวนให้ไปส่งด้วย คุณปิ่นมองขุนนาฏตาเขียวปั้ดแต่ขุนนาฏไม่สนใจเร่งลำดวนให้รีบไปส่ง
“เจ้าค่ะพ่อท่าน” ลำดวนยิ้มเขินรีบลุก เหมดีใจไหว้ ลาอีกครั้งแล้วลุกไปกับลำดวน คุณปิ่นเจ็บใจรีบลงเรือนตามไป หุ่นมองตามรำพึงกับขุนนาฏว่าอาการหนักมิใช่น้อยเลยนะเจ้าคะ ขุนนาฏได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่อย่างอ่อนใจ
ลำดวนขอโทษเหมแทนแม่ที่เหมมีบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นแล้วแต่แม่ก็ยังไม่ไว้หน้า เหมกลับพูดขำๆว่า
“อย่ากังวลไปเลย พี่เข้าใจแม่เจ้าดี เป็นหน้าที่ของพี่ที่จะพิสูจน์ให้แม่เจ้าเห็นว่า หมื่นสุรบดินทร์คนนี้ดูแลบุตรสาวคนเล็กของท่านได้”
ลำดวนเขินอายที่เหมจีบตรงๆ คุณปิ่นที่ตามมาแอบดูแอบฟังอยู่หูผึ่งหน้าตึงทันที
ลำดวนเปลี่ยนเรื่องถามแก้เขินว่าเหมจะไปทำธุระกระไรที่หัวเมืองตะวันออกหรือ เหมเล่าว่าบุษย์บอกว่ามีคนท่าทางเหมือนลุงรีรับจ้างเป็นล่ามภาษาวิลาศอยู่ทางนั้นตนกับบุษย์จึงจะไปดูให้รู้แน่ว่าใช่ลุงรีหรือไม่ ลำดวนดีใจมากที่ความหวังล้างมลทินให้กับเจ้าคุณลุงใกล้เข้ามาแล้ว
“ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่รึ หากมิใช่เพราะเจ้าเมตตาพี่ก็คงไม่มีวันนี้ดอก เจ้าลำดวนของพี่” เหมกุมมือลำดวนยิ้มกรุ้มกริ่ม
คุณปิ่นกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันเจ็บใจที่ลำดวนมีใจให้เหม พอหุ่นมาเรียกก็หันขวับตาเขียวใส่ถามว่ามีกระไร! หุ่นบอกว่าเหมไปแล้ว คุณปิ่นหันมองอีกทีเห็นเหมเดินออกจากบ้านไปแล้วโดยมีลำดวนยืนมองตามไม่วางตา คุณปิ่นยิ่งหงุดหงิดหันหลังเดินกลับ หุ่นพูดตามหลังว่า
“จะมีสักกี่คนที่พ้นจากตะพุ่นหญ้าช้างมามีบรรดาศักดิ์ได้ แม่ครูไม่เห็นถึงความดีแลความเพียรพยายามอีกหรือเจ้าคะ” ถูกคุณปิ่นหันตวาดว่าไม่รู้กระไรก็อย่าปากมาก ไว้รอเป็นแม่คนก่อนเถิดแล้วค่อยพูด ค้อนใส่แล้วสะบัดไป หุ่นพึมพำทะเล้น... “ไล่ให้ไปเป็นแม่คน ก็หาผัวให้ก่อนซีเจ้าคะ” แอบค้อนคุณปิ่นบ้างแล้วจึงหันไปมองลำดวนที่ยังชะเง้อคอยาวมองตามเหมไปจนลับตา...
ooooooo
เมื่อลำดวนกลับมาที่ห้องนอน คุณปิ่นตามไปคุยหมายหว่านล้อมลำดวนให้เปลี่ยนใจจากเหม ลำดวนฟังแม่แล้วยอมรับว่าตนเป็นทุกข์ เพราะนับแต่เหม
ออกศึกตนก็ทุกข์ใจราวกับจะตายแม่ท่านก็เห็นอยู่
แต่พอคุณปิ่นถามว่าแล้วไยไม่หลาบจำ หรืออยากเป็นม่ายแต่ยังสาว ลำดวนตอบอย่างหนักแน่นว่า
“ลูกเห็นจริงตามที่แม่ท่านบอกทุกประการเจ้าค่ะ แต่ความทุกข์ของลูกก็สิ้นไปทันทียามได้เห็นหน้าคุณพี่เหมอีกครั้ง” พูดแล้วเห็นแม่ถอนใจ จึงจับมือพูดจากหัวใจว่า “แลความสุขที่เกิดมาหลังจากนั้น กลับมีมากกว่าความทุกข์นัก หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว ลูกคงมิอาจเปลี่ยนใจได้เจ้าค่ะ”
คุณปิ่นขัดใจนักแต่ยังพูดเหมือนขู่ลำดวนว่า อย่าคิดว่าสิ้นศึกนี้แล้วเหมมิต้องไปศึกใดอีก เพราะหมดศึกพม่าก็รบกับญวน หมดศึกญวนก็ยังมีพวกวิลาศคอยคุกคามอีกจะมีสุขได้อย่างไร ลำดวนเข้าไปกราบที่ไหล่คุณหญิงเอ่ยอย่างซึ้งใจว่า
“ลูกรู้ว่าแม่ท่านรักลูกนัก แต่หากบ้านเมืองมีศึกจริง มิว่าจะเป็นทหารหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดเป็นสุขได้ดอกเจ้าค่ะ แลความสุขของลูกก็เหมือนเทียนไขที่จุดไฟ แม้รู้ว่าจะต้องดับไปในเพลาอันสั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่เคยจุดไฟขึ้นมาเลยนะเจ้าคะ”
คุณปิ่นถอนใจอย่างหมดทางที่จะเปลี่ยนใจลำดวนได้แล้ว สะบัดหน้าไปทางอื่นอย่างขัดใจ ลำดวนเข้าไปกอดอย่างรู้ใจแม่ดีว่า แม้ไม่เห็นด้วยแต่แม่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจตน
ooooooo
7-8 วันต่อมา เหมและบุษย์ไปถึงตลาดในเมืองภาคตะวันออก ก็ได้เจอกับลุงรีที่รับจ้างแปลภาษาวิลาศเลี้ยงชีพ ลุงรีดีใจมาก ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกับเหมอีก
บุษย์บอกว่าเวลานี้ทั้งหลวงสรอรรถและพระยาปลัดต่างก็รับกรรมไปแล้ว หากลุงรีจะกลับไปอยู่ปากน้ำก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก ลุงรีเล่าเขินๆ ว่าตนเพิ่งได้เมียที่นี่และมีลูกเล็กๆ ไม่คิดจะไปไหนอีก แต่พอเหมถามว่าจะไปเป็นพยานรื้อฟื้นคดีความของเจ้าคุณพ่อขึ้นมาใหม่ให้ตนไหม ลุงรีตอบทันทีว่า
“ได้ซีขอรับ กระผมก็อยากล้างมลทินให้ท่านเจ้าคุณแลให้ความเป็นธรรมแก่นายฝาหรั่งเช่นกัน โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณมิควรต้องรับอาญาหนักในสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อเลย”
ooooooo
ขุนนาฏ คุณปิ่น ทับทิม บัว และลำดวน ไปกราบท่านเจ้าคุณพระยาพระคลังที่เรือนท่านกันพร้อมหน้า
เมื่อแม่ลูกได้เจอกันต่างก็รำพึงรำพันถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อกัน ฝ่ายขุนนาฏก็บอกบัวว่าได้ข่าวเสด็จแล้ว บัวไม่ต้องกลัวว่าจะไร้ที่พึ่งพิง หากลำบากก็กลับไปอัมพวาบ้านเราได้ทุกเมื่อ ทับทิมหยอกว่าบัวคงไม่ไปอัมพวาแล้วแต่คงไปลำปางเสียมากกว่า
บัวเขิน แต่ทั้งลำดวน ขุนนาฏ และคุณปิ่นต่างถามว่าเหตุใดบัวจึงไปไกลถึงลำปาง ทับทิมตอบแทนบัวที่เขินอยู่ว่า “ก็เพราะเจ้าขรัวอินทร์น้องชายหม่อมดวงแขอยู่ที่ลำปางน่ะซี พ่อแม่ท่านมาพร้อมที่พระมหานครก็เหมาะนัก อีกไม่กี่วันเจ้าขรัวอินทร์คงส่งผู้ใหญ่มาทาบทามเป็นแน่”
ทุกคนดีใจมาก ขุนนาฏถามว่าเจ้าขรัวอินทร์ค้าขายกระไรหรือ เจ้าพระยาพระคลังบอกว่าหลายอย่าง แต่ที่มั่นคงใหญ่โตก็เห็นจะเป็นค้าขายไม้ ท่านรู้จักดีเพราะเคยขายไม้ให้หลายครั้ง คุณปิ่นถามว่า
“แล้วนิสัยใจคอเป็นอย่างไรบ้างเล่าเจ้าคะคุณพี่”
“ดีทีเดียว แลรูปก็งาม กิริยาวาจาก็ไม่มีที่ติ ก็พอจะกลบข้อด้อยที่เป็นเพียงลูกเมียบ่าวได้มิตะขิดตะขวงใจดอก”
ทุกคนยิ้มแย้มยินดีกับบัว แต่บัวกลับหน้าซีดเผือดนั่งอึ้ง เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอินทร์เป็นเพียงลูกเมียบ่าว
บัวคิดไม่ตกเมื่ออินทร์มาหาจึงมีทีท่าหมางเมินและในใจก็นึกรังเกียจ ความรู้สึกดีๆแลความหวังมากมายที่มีต่ออินทร์หายไปหมดสิ้น
ooooooo
คุณชายช่วงช่วยเหมคุยกับนายห้างหันแตรให้เป็นพยานในคดีของพระยาบริรักษ์ แต่นายห้างเย็นชาหมางเมินอ้างว่าคดีความจบไปนานแล้วจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกทำไม
นายห้างหันแตรบ่ายเบี่ยงที่จะเป็นพยานไม่พอ แม้แต่ลุงรีที่นายห้างเคยพบเห็น นายห้างก็บอกว่าจำไม่ได้แต่พวกบ่าวไพร่ด้วยกันอาจจำได้ให้คุณชายช่วงไปไต่ถามพวกนั้นเอาเองเถิด
เมื่อนายห้างหันแตรขึ้นเสลี่ยงไปแล้ว เหมปรารภว่านายห้างหันแตรที่ตนเคยพบเจอในวัยเด็กมิใช่คนเช่นนี้ คุณชายช่วงเล่าให้เหมกับบุษย์ฟังว่านับแต่นายห้างหันแตร ได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงอาวุธวิเศษประเทศพาณิชย์แลค้าขายจนร่ำรวยแล้ว ก็ไม่เหมือนเดิมอีก เหมไม่กังวลเพราะคนที่จำลุงรีได้ยังมีอีกมากขอแค่คนหนึ่งหรือสองคนช่วยยืนยันก็พอแล้ว
“ข้อนี้ไว้เป็นธุระฉันเอง เหมกลับเรือนไปเถิด ออกศึกมานานเดือนเสร็จศึกก็ตามเรื่องคดีความ ยังมิได้กลับไปเหยียบเรือนเลยไม่ใช่รึ”
เพียงตกเย็น เหมก็ไปถึงเรือนใหม่ที่คุณหญิงชมสร้างไว้ เห็นคุณหญิงแม่นั่งดายหญ้าเหงื่อท่วมทั้งที่เย็นแล้วก็สงสารจับใจ เมื่อเจอกันเหมบอกว่าจะไม่ยอมให้คุณหญิงแม่ต้องลำบากอีกแล้ว คุณหญิงชมกอดเหมร้องไห้ดีใจ
“หมดเคราะห์หมดโศกเสียทีนะลูกนะ” แล้วพากันขึ้นเรือนไปห้องพระ พูดคุยกับพระยาบริรักษ์ซึ่งเถ้ากระดูกบรรจุอยู่ในโกศเล็กๆ เหมจุดธูปดอกเดียวปักแล้วก้มกราบโกศของเจ้าคุณพ่อ
คุณหญิงบอกกล่าวแก่ท่านเจ้าคุณว่าเหมได้บรรดาศักดิ์เป็นหมื่นสุรบดินทร์แล้วและได้เป็นทหารสังกัดท่านเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลนัก เหมก็บอกเจ้าคุณพ่อว่า บัดนี้คนที่ทำร้ายเจ้าคุณพ่อมิว่าพระยาปลัดหรือหลวงสรอรรถก็รับกรรมไปสิ้นแล้ว เหลือแต่มลทินของเจ้าคุณพ่อเท่านั้น บอกเจ้าคุณว่า
“รออีกหน่อยนะเจ้าคะ ลูกจะให้ทุกคนได้รู้ว่า เจ้าคุณพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์”
“พ่อเหมกำลังจะกู้เกียรติของท่านเจ้าคุณกลับมา แลเพลานี้ก็ได้รับราชการแล้ว หากได้เป็นฝั่งเป็นฝาเมื่อใดฉันก็คงหมดห่วงแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ทั้งเหมและคุณหญิงช่วยกันเล่าแลพูดคุยกับท่านเจ้าคุณประหนึ่งท่านนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
เหมหน้าเจื่อนเมื่อคุณหญิงแม่พูดถึงเรื่องตนเป็นฝั่งฝาแต่ยังมิกล้าเล่าเรื่องลำดวนให้ฟัง บอกแต่ว่าคุณหญิงแม่ไม่ต้องหาให้ดอก จนคุณหญิงถามว่าทำไมเล่า เหมจึงลำดับเรื่องให้ฟังเขินๆ
คุณหญิงฟังแล้วปลื้มปีติ ยังระลึกถึงน้ำใจของลำดวนที่ซื้อแตงกวามาให้กินแก้กระหาย เมื่อครั้งต้องโทษถูกพาแห่ประจาน ครั้นเหมขอให้ไปทาบทามลำดวนให้ คุณหญิงติงยิ้มๆว่า
“ใจร้อนนัก เรื่องนี้พ่อเหมต้องอดทนไว้ก่อน แม้เราจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ยังห่างชั้นกว่านัก ถ้าพ่อเหม ไม่อยากโดนดูถูกดูแคลนกลับมาอีกก็ต้องรอเวลาที่เหมาะควรกว่านี้”
เหมขรึมลง นึกถึงยามตกต่ำแล้วทำให้ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม เลื่อนตัวลงนอนหนุนตักแม่ คุณหญิงลูบผมเหมไปมาทั้งรักและเอ็นดูหมดหัวใจ....
ooooooo
หมื่นวิชิตยังกร่าง ระรานเหมและตามหึงหวงลำดวนไม่เลิก เมื่อเห็นเหมพูดคุยกับลำดาวคราวใดก็หาเรื่องชกต่อยกันทุกครั้ง ลูกน้องสอพลอตามเคยยุ
ให้หมื่นวิชิตจ้างคนมีฝีมือมาเล่นงานเหม และหมื่นวิชิตก็เชื่ออีกตามเคย
ฝ่ายบุษย์ก็เร่งเหมให้รีบสู่ขอลำดวนเสียจะได้สิ้นเรื่อง เหมจำคำของคุณหญิงแม่ที่ให้หาทรัพย์สมบัติเชิดหน้าชูตาก่อนจะได้ไม่มีผู้ใดดูหมิ่นถิ่นแคลนเหมือนที่แล้วมา
“เอ็งกลัวมากไปกระมัง คนอื่นข้าเห็นมีน้อยกว่าเอ็งนัก ยังมีลูกหัวปีท้ายปีได้เลย” หลวงเผด็จติง
“ศัตรูที่เคยทำร้ายย่ำยีคุณเหมก็ไม่มีแล้ว อย่ากังวลว่าใครจะซ้ำเติมเลยขอรับ รีบตัดสินใจเถิด” บุษย์เร่ง
ฟังทั้งหลวงเผด็จและบุษย์แล้ว เหมคิดหนัก แต่ในเมื่อฐานะยังไม่มั่นคง จึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ooooooo
หลวงสรอรรถซุ่มรวบรวมไพร่พลล้วนฝีมือดีตั้งเป็นกองกำลังคุ้มกันการค้าฝิ่นของตน รอเวลามั่งมีเหมือนเดิมก็จะชำระแค้นเหมให้สาแก่ใจ
ความเหิมเกริมของพวกค้าฝิ่นที่ปะทะกับทหารอย่างท้าทาย ทำให้หลวงเผด็จปรารภกับเหมว่าเห็นทีต้องปราบปรามให้สิ้นซากเสียที แต่เพราะเหมยังติดเรื่องล้างมลทินให้เจ้าคุณพ่อที่ยังไม่ลุล่วง จึงยังตามไปด้วยไม่ได้ หลวงเผด็จให้เหมอยู่จัดการทางนี้ก่อน เพราะเรื่องโจรค้าฝิ่นคงต้องต่อสู้อีกนาน เหมยังมีโอกาส
เหมสังหรณ์ใจว่า โจรค้าฝิ่นพวกนี้น่าจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับตน
แต่แล้วก็มีเรื่องบัวมาให้เหมต้องอึดอัด เมื่อบัวมาบอกคุณหญิงชมว่าหม่อมจะขายเครื่องเรือนในวัง ตนเห็นราคาถูกจึงมาบอก เหมไม่รู้จะคุยเรื่องใดกับบัวจึงนั่งนิ่งเงียบ จนเมื่อบัวลากลับ คุณหญิงบอกให้เหมไปส่ง บัวรีบบอกว่าไม่ต้องดอก แล้วลุกเดินไปโดยไม่ได้พูดคุยกับเหมแม้แต่คำเดียว
เมื่อบัวลงเรือนไปแล้ว เหมถอนใจโล่งอก คุณหญิงมองออกว่าเหมรู้สึกอย่างไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ooooooo
บัวกลับมาคาดคั้นลำดวนว่าไปสมัครรักใคร่กับเหมตั้งแต่เมื่อไร ลำดวนบอกว่าที่พัตบอง แล้วย้อนถามว่าบัวกับเจ้าขรัวอินทร์เป็นอย่างไร ตนอยากเห็นหน้าเจ้าขรัวอินทร์ขึ้นมาแล้ว ทำให้บัวไม่พอใจเพราะเพลานี้ไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่อนี้
ระหว่างนั้นเอง เจ้าพระยาพระคลังเข้ามาทักทายสองพี่น้องแล้วหยอกล้อลำดวนอย่างเอ็นดูว่า มีข่าวดีแต่ให้ลำดวนทายดู ลำดวนทายไม่ถูก ท่านจึงเฉลยว่า
“พ่อช่วงไปหาคนยืนยันตัวแขกรีได้แล้ว เป็นพ่อค้าชาววิลาศสองคนกับพ่อค้าชาวจีนอีกหนึ่ง” ท่านเล่าว่า “คดีความของพระยาบริรักษ์เลยถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ภายในคืนนี้ก็คงไต่สวนทวนความกันเสร็จ วันพรุ่งนี้ก็คงมีคำสั่งลงมา”
“ลำดวนดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะ เช่นนี้เจ้าคุณพ่อของคุณพี่เหมก็พ้นมลทินแล้วสิเจ้าคะ”
“ไม่ใช่เพียงแต่เท่านั้น แต่ศักดิ์ศรีคุณหญิงของคุณหญิงชมแลบรรดาทรัพย์สมบัติที่ถูกริบมาก็ถูกคืน ให้สิ้น คุณพี่เหมของเจ้าไม่น้อยหน้าใครในยามนี้แล้ว”
ลำดวนยิ้มปลื้มสุดๆ แต่บัวที่นั่งอึ้งมาตลอดนั้น ถึงกับเครียดคิดหนัก
ต่อมาเมื่อเจออินทร์ อินทร์บอกว่าจะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอบัวกับพ่อแม่ บัวก็เปลี่ยนเสียงทันที ชักสีหน้าถามอินทร์ว่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เพราะตนไม่เคยเสนอเรื่องนี้กับเขาเลย ทำเอาอินทร์งง ผิดหวัง เสียใจ ใบ้กินสนิท!
และเมื่อบัวกลับเข้าห้องนอน ก็รื้อค้นเอาสร้อยข้อมือเส้นนั้นออกมาสวมใส่อย่างมีเป้าหมายทันที
ooooooo
วันต่อมา ที่เรือนใหม่เหม ทั้งคุณหญิงชม เหม และบรรดาทาสหญิงที่เหมหามาอยู่ดูแลแม่ ต่างนั่งพนมมือฟังพระบรมราชโองการที่คุณชายช่วงนำมาประกาศ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปดังที่เจ้าพระยาพระคลังบอกลำดวนไว้เมื่อวานนี้
ฟังพระบรมราชโองการแล้ว เหมน้ำตาคลอเปล่งเสียง...
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธ เจ้าข้า” แล้วก้มกราบ คุณหญิงชมก้มกราบน้ำตาไหลพรากอย่างตื้นตันใจ...
ผ่านไปอีกสัปดาห์ เหมไปที่หน้าเรือนคุณชายช่วง บอกทาสหญิงคนหนึ่งว่า
“ไปกราบเรียนคุณพระนายไวยวรนาถว่า ฉันหมื่นสุรบดินทร์มาหาตามคำสั่งแล้ว”
ระหว่างยืนรอ เหมเห็นป้ายเล็กๆที่แขวนไว้เป็นภาษาวิลาศว่า “WELCOME” จึงเดินไปดู บุษย์ถามว่าภาษากระไรหรือ
“ภาษาวิลาศแปลว่า ยินดีต้อนรับ ครั้งแรกที่ข้าได้พบคุณชายช่วง ท่านสนใจภาษาแลวิทยาการของพวกวิลาศนัก ผ่านมาหลายปีท่านก็ยังศึกษาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย”
เมื่อพบคุณชายช่วงที่ยืนดูนักมวยซ้อมอยู่ คุณชายช่วงหันมาพูดกับเหมว่า
“นายห้างหันแตรเสนอขายเรือกลไฟที่เดินเรือด้วยพลังจักรไอน้ำ เพลานี้อยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล อีกไม่นานก็คงล่องมาถึงพระมหานคร ครานี้คงได้เห็นเรือเหล็กลอยน้ำที่ร่ำลือกันมานานเสียที”
“วิชาการของพวกวิลาศนั้นดีนัก เกรงก็แต่นายห้างหันแตร กระผมไม่ใคร่ไว้ใจเลย”
“ใจตรงกันนัก ที่ให้หัวหมื่นมาหาฉันก็ด้วยเหตุนี้ล่ะ ฉันอยากให้หัวหมื่นใช้วิชาความรู้ในภาษาวิลาศ เพื่อช่วยเจรจาความกับพวกวิลาศคนอื่นๆ แลช่วยป้องกันมิให้วิลาศเอาเปรียบเราเหมือนที่นายห้างหันแตรทำอยู่ หัวหมื่นย้ายจากสังกัดท่านเจ้าพระยาบดินทร์เดชามาอยู่กับฉันเถิดนะ”
“กระผมเกิดมาเป็นข้าแผ่นดินนี้ มิว่าอยู่กับเจ้านายท่านใด หากได้ใช้วิชาความรู้รับใช้แผ่นดิน กระผมก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วขอรับ” เหมขรึมลงเมื่อพูดต่อว่า “แต่กระผมยังอดคิดไม่ได้ว่าท่านเจ้าคุณพ่อเคยสั่งนักหนาไม่ให้คบหากับพวกวิลาศ แต่กระผมก็ไม่เชื่อฟัง จึงเป็นเหตุให้เจ้าคุณพ่อต้องตาย กระผมจึงไม่อยากติดต่อกับพวกวิลาศให้ตะขิดตะขวงใจอีกแล้วขอรับ”
“หึ...หมื่นคิดเช่นนี้ ฉันคงต้องขอตำหนิ หนึ่งการสิ้นบุญของท่านเจ้าคุณบริรักษ์มาจากแผนชั่วของหลวงสรอรรถ เพียงแต่ยืมความสนิทสนมของหัวหมื่นกับครูแหม่มชาววิลาศมาใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น ถึงไม่มีข้อนี้หลวงสรอรรถก็ต้องหาทางทำร้ายท่านเจ้าคุณด้วยวิธีอื่นอยู่ดี”
“ก็จริงขอรับ”
“สอง เพลานี้บ้านเมืองกำลังมีภัย ดูอย่างเมืองพม่ารามัญเถิด เป็นคู่ศึกขับเคี่ยวกับเรามานาน แต่มาบัดนี้ พม่ากลับแพ้ต่อวิลาศอย่างง่ายดาย หากหัวหมื่นมัวแต่คิดเล็กคิดน้อย ก็เท่ากับเสียโอกาสที่จะช่วยบ้านเมืองให้พ้นภัยจากวิลาศไป หัวหมื่นลองตรองดูเถิด”
เหมคิดตามที่คุณชายช่วงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ooooooo
เหมดีใจเมื่อรู้ว่ากรมช้างนอกมาถึงพระมหานครแล้ว รีบไปถามขุนศรีไชยทิตยถึงแม่พังโต แล้วเหมก็ดีใจเป็นทวีคูณเมื่อรู้ว่าแม่พังโตท้องแล้ว แต่เหมก็เศร้าลงเมื่อตัวเองต้องไปสังกัดหมื่นไวยวรนาถแล้วอาจไม่ได้อยู่จนได้เห็นลูกแม่พังโต
เหมเข้าไปกอดแม่พังโตบอกว่า “ฉันจำต้องไปด้วยงานในหน้าที่ แต่ฉันไม่มีวันลืมแม่พังดอก ว่างเมื่อใดฉันจะไปเยี่ยม” แม่พังเอางวงจับข้อมือเหมไว้อย่างอาลัย เหมซบหน้ากับหัวแม่พังโตด้วยความรักและเป็นห่วงยิ่ง
วันนี้คุณหญิงชมในชุดแต่งกายทั้งเสื้อผ้าแลเครื่องประดับเหมือนสมัยที่ดำรงตำแหน่งคุณหญิงไปที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง เพื่อเยี่ยมเยียนขุนนาฏกับคุณปิ่นและขอบคุณลำดวนที่มีน้ำใจต่อตนในยามตกต่ำ
คุณหญิงเอ่ยกับลำดวนว่า “ป้าตั้งใจจะมาขอบใจลำดวนสองเรื่อง เรื่องแรกคือวันที่ป้าต้องโทษประจานเจ้ามีใจเมตตาให้แตงกวาป้ากินดับกระหาย”
ระหว่างนั้นบัวพยายามพูดแทรกให้ตัวเองเด่นและข่มลำดวนว่า นั่นเรื่องเล็กน้อยคุณหญิงไม่ต้องใส่ใจดอก
“เล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่เป็นน้ำใจใหญ่หลวงนักสำหรับฉัน” คุณหญิงติงแล้วหันไปพูดกับลำดวนต่อ “เรื่องที่สองคือ ป้าได้ยินจากพ่อเหมว่าตอนรอนแรมอยู่ในป่า แม่ลำดวนเคยถอดสร้อยพระให้พ่อเหมไว้คุ้มกาย ป้าจึงอยากตอบแทนแม่ลำดวน...” คุณหญิงหยิบสร้อยพระที่คอของตนยกมือไหว้จบแล้วถอดออก “สร้อยทองนี้ป้าเพิ่งซื้อใหม่ แต่องค์พระเป็นของเก่า ป้าใส่ติดตัวมาหลายสิบปี ป้าขอมอบให้แม่ลำดวนนะลูกนะ” แล้วคุณหญิงก็คล้องสร้อยให้ลำดวนด้วยตัวเอง
ขุนนาฏกับคุณปิ่นมองหน้าอย่างรู้กันว่า คุณหญิงชมทำเหมือนให้ของหมั้นลำดวนกลายๆ แต่ต่างนิ่งมองเงียบๆ
ลำดวนก้มกราบขอบพระคุณ คุณหญิงแสดงความเมตตาชื่นชมลำดวนอย่างมาก จนบัวที่พยายามจะทำตัวเด่นต้องนิ่งเงียบหน้าบึ้งไม่พอใจ
เมื่อคุณหญิงกลับถึงเรือน เหมดีใจมากถามคุณหญิงแม่ว่าท่านขุนกับคุณปิ่นว่าอย่างไรบ้าง
“ท่านขุนไม่ว่ากระไรดอก ส่วนคุณปิ่นแม้ดูไม่เต็มใจนักแต่ก็อ่อนลงมาก แม่บอกพ่อเหมแล้วว่ารอให้เราได้ยศศักดิ์คืนมาก่อน ข้อรังเกียจของคุณปิ่นก็จะเบาบางลงเอง” เหมถามว่าแล้วคุณหญิงแม่เห็นควรไปสู่ขอลำดวนให้ตนได้เมื่อใด “ใจร้อนนักลูกคนนี้ รออีกสักพักเถิด แม่ลำดวนมีใจให้พ่อเหมแล้วจะกลัวกระไร พ่อเหมตั้งใจรับราชการให้ดี การที่พ่อเหมมาสังกัดท่านจมื่นไววรนาถถือเป็นเรื่องดี แม้ต้องออกศึกบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก คุณปิ่นคงคลายความกลัวไปได้บ้าง”
ขณะนั้นเองบุษย์หน้าตาตื่นมาบอกเหมว่าพ่อตาตนป่วยหนักได้ยินว่ามีหมอชาววิลาศเก่งกาจนัก แต่พวกตนพูดภาษาวิลาศไม่ได้ ขอให้เหมช่วยไปพูดให้ด้วย แม้เหมจะไม่ชอบพวกวิลาศนัก แต่เมื่อพ่อตาของบุษย์เสี่ยงกับความเป็นความตาย เหมจึงไปช่วยแปลให้
พ่อตาบุษย์มีฝีขนาดใหญ่ขึ้นที่ศีรษะ ร้องอย่างเจ็บปวดอยู่บนเปล บุษย์กับครอบครัวยืนรอฟังข่าวอยู่หน้าเรือน จนเหมเดินลงมา บุษย์ตรงไปถามว่าหมอว่าอย่างไรบ้าง
เหมบอกว่ามิสเตอร์ปีเตอร์ไม่ใช่หมอแต่เป็นมิชชันนารี คือหมอสอนศาสนา แต่เขามียาดีมีคนกินแล้วหายเจ็บป่วยจึงร่ำลือกันว่าเป็นหมอรักษาคน แต่มิสเตอร์ ปีเตอร์ก็บอกว่า มีหมอชาวมะริกันชื่อด็อกเตอร์แบรดลีย์ ถ้าให้ไปรักษาก็อาจหาย
“เพียงแต่...” เหมหยุดแค่นั้น บุษย์ร้อนใจถามว่าเพียงแต่กระไรหรือ “เพียงแต่อาการของพ่อตาเอ็งต้องรักษาด้วยการใช้มีดผ่าฝีที่หัวออกจึงจะหาย แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีการรักษาแบบนี้”
บุษย์กับญาติตกใจเพราะไม่เคยได้ยินเช่นกันหันปรึกษากันเคร่งเครียด ญาติคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดวิตกว่า
“เอามีดผ่าหัวก็ตายเท่านั้นเอง ใครทำก็บ้าแล้ว”
ทำให้ทุกคนยิ่งเครียดหนัก
ooooooo
จู่ๆค่ำวันนี้ก็มีหญิงคนหนึ่งมาแจ้งข่าวแก่ ขุนนาฏว่าเรือนท่านขุนที่อัมพวาถูกไฟไหม้ คนของท่านวานให้ตนมาแจ้งงข่าว แต่พอลำดวนถามถึงความเสียหาย หญิงคนนั้นอึกอักบอกไม่ได้ อ้างว่าตนไม่เห็นกับตาแต่มีคนบอกเช่นนั้น
ขุนนาฏร้อนใจ บอกคุณปิ่นและลำดวนให้เก็บของพรุ่งนี้พอฟ้าสางก็จะรีบเดินทางไปอัมพวาทันที
ที่แท้เป็นแผนการของบัวที่จ้างหญิงคนนั้นมา
กุข่าวเพื่อให้ขุนนาฏรีบกลับอัมพวา เพื่อกันลำดวนให้ออกห่างจากเหมนั่นเอง!
รุ่งขึ้น เมื่อเหมได้ข่าวนี้จากคุณหญิงชม เหมตกใจมากรีบลงจากเรือนไปทันที
“อ้าว...พ่อเหม ประเดี๋ยวสิ พ่อเหม...พ่อเหม...” คุณหญิงร้องเรียกแต่เหมไม่ฟังเสียง วิ่งอ้าวไปที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง ทาสที่นั่นบอกว่าท่านขุนออกไปแต่รุ่งสางแล้ว
ขณะเหมกำลังตกใจอยู่นั่นเอง ลำดวนก็มาร้องทักจากข้างหลัง เหมดีใจมากบอกว่า นึกว่าลำดวนกลับอัมพวาไปแล้วเสียอีก
“ก็ควรเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่เมื่อคืนเจ้าคุณลุงมาบอกว่าให้พ่อท่านเล่นละครที่งานพระเมรุ พ่อท่านเลยต้องอยู่ต่อ แล้วใช้คนอื่นกลับไปดูเรือนที่อัมพวาแทนเจ้าค่ะ”
“บุญของพี่แท้ๆ นึกว่าพี่จะมาไม่ทันลาเจ้าเสียแล้ว แต่กลับยังได้อยู่เห็นหน้าอีกนาน เอ่อ...แล้วเรือนเจ้าที่อัมพวาถูกไฟไหม้เสียหายเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้อนี้ดูแปลกๆพิกลเจ้าค่ะ เรื่องสำคัญแบบนี้ เหตุใดบ่าวไพร่ที่อัมพวาไม่มาแจ้งข่าวด้วยตัวเอง แต่กลับไหว้วานคนอื่นมาบอก แลไต่ถามก็ไม่ได้ความกระไร เพราะไม่ได้เห็นกับตาเสียอีก น่าประหลาดนัก” ลำดวนตั้งข้อสังเกตอย่างติดใจสงสัย
ooooooo










