ตอนที่ 1
อัลบั้ม: เจมส์ มาร์ ประกบ แมท ภีรนีย์ ใน ข้าบดินทร์
เมื่อ 200 กว่าปีก่อน...
“เมืองสมุทรปราการ” หรือ “เมืองปากน้ำ” เมืองท่าที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีชาวต่างชาติทั้งจีน ญี่ปุ่น แขก และพวกฝรั่งต่างชาติ เข้ามาทำการค้าขายมากมาย และยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น เมื่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องเชียงสือพระนัดดาของกษัตริย์ญวน ได้ลักลอบหนีกลับประเทศตนทางเมืองปากน้ำ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาททรงไล่ตามจับด้วยพระองค์เอง แต่ไล่ไม่ทัน ทำให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเห็นยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองปากน้ำจึงรับสั่งให้สร้างป้อมปราการขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานทางทะเล และได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง จนถึงรัชสมัยของสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ooooooo
เมืองสมุทรปราการ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว...
เช้านี้ ที่ลานกว้างในเมืองสมุทรปราการ ว่าวจุฬาตัวใหญ่กับว่าวปักเป้ากำลังสู้กันอย่างดุเดือดกลางเวหา เป็นการแข่งว่าวกันระหว่างสมิงสอดน้อยกับนักเลงว่าวอีกหลายคน ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่นไปทั้งลาน
สมิงสอดน้อย เชื้อสายมอญเป็นนายทหารในกองอาทมาต เหล่มองคู่ต่อสู้ยิ้มเยาะก่อนเร่งมือเผด็จศึก ในที่สุดก็ใช้เหล็กแหลมตรงปลายเกี่ยวเอาว่าวปักเป้า
คู่ต่อสู้ร่วงลงมาท่ามกลางเสียงเชียร์ของบรรดาลูกน้องและคนพนันที่เข้าข้างสมิงสอดน้อย นักเลงคู่ต่อสู้ต้องยื่นถุงใส่เงินให้สมิงสอดน้อยแต่โดยดี สมิงสอดน้อยรับถุงเงินชูขึ้นประกาศชัยชนะ
“ว่าอย่างไรเล่า คนเมืองปากน้ำมีฝีมือเพียงเท่านี้เองรึ อีกระแชงของข้าเกี่ยวว่าวปักเป้ามาเป็นร้อยตั้งแต่อัมพวายันพระนคร จนมาถึงเมืองปากน้ำนี้ นึกว่าจะได้เจอคู่มือเสียหน่อย ที่ไหนได้ จนสามวันแล้วยังไม่ระคายเลย ฮ่าๆๆ”
สมิงสอดน้อยหัวเราะด้วยความสะใจ บรรดาลูกน้องหัวเราะสอดรับเยาะเย้ยถากถางกันอย่างคะนองใจ
“นั่น อีปักเป้าของผู้ใดกัน” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งร้องขึ้น ทุกคนหันมองเห็นว่าวปักเป้าตัวน้อยตรงหางทาสีเขียว กำลังถลาเข้าโจมตีว่าวจุฬาของสมิงสอดน้อยอย่างดุเดือด สมิงสอดน้อยโมโหที่ถูกท้าทายหันมองหาเจ้าของว่าวปักเป้า
เหม เด็กหนุ่มวัย 15 บุตรชายพระยาบริรักษ์กับคุณหญิงชมนั่นเอง เหมใช้ว่าวปักเป้าท้าสู้โดยมีบุษย์บ่าวรับใช้อายุประมาณกันยืนอยู่ใกล้ๆ โดยเหมแต่งตัวสบายๆ นุ่งโจงกระเบนไม่เหน็บชายปล่อยชายโจงกระเบนลากพื้น
“จะมากไปเสียแล้วอ้ายหนุ่ม กล้าท้าทายข้าเชียวรึ” สมิงสอดน้อยฉุนขาด
“พี่ชายท้าคนเมืองปากน้ำก่อนไม่ใช่รึ เมื่อโดนท้ากลับเช่นนี้แล้วจะสู้หรือไม่เล่า” เหมท้าทายยิ้มแย้ม พลันบุษย์ก็โยนถุงเงินให้ลูกน้องของสมิงสอดน้อยรับไป ยิ้มกวนๆบอกว่า
“เงินเดิมพัน แต่ถ้าพวกพี่ชายไม่สู้ ก็คืนฉันมา”
ลูกน้องสมิงสอดน้อยเปิดถุงเงินดูตาโตร้องบอกว่า “มากโขเชียวท่านสมิง รับคำท้าเถิด”
“อ้าวลูกวัวไม่กลัวเสือ” สมิงสอดน้อยยิ้มเยาะ รับสายป่านมาแล้วบังคับว่าวเข้าสู้ทันที
ว่าวจุฬากับปักเป้าสู้กันกลางเวหาอย่างดุเดือดท่ามกลางเสียงเชียร์ของทั้งสองฝ่ายดังลั่น เหมฝีมือเป็นรองสู้ได้เดี๋ยวเดียวก็โดนว่าวจุฬารุกหนักทำท่าจะแย่ สมิงสอดน้อยยิ้มเยาะกะเผด็จศึก แต่ทันใดนั้น ว่าวทั้งสองตัวก็เข้าเกี่ยวจนสายป่านพันกัน จู่ๆสายป่านของว่าวจุฬาก็ขาดผึง!
ว่าวจุฬาร่วงหัวปักพื้นพังยับเยิน ชาวบ้านพากันเฮด้วยความสะใจ สมิงสอดน้อยหน้าเจื่อน มองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา!
“ตามธรรมเนียมแล้ว หากว่าวปักเป้าชนะว่าวกุลา ฝ่ายว่าวกุลา ต้องจ่ายเงินเดิมพันเป็นสองเท่า พี่ชายชนะตั้งแต่อัมพวายันพระนคร คงรู้ธรรมเนียมนี้ดีกระมัง” เหมเอ่ยยิ้มแย้ม สมิงสอดน้อยมองหน้าขบกรามแน่น ตวาดถาม
“เอ็งชื่ออะไรวะไอ้หนุ่ม”
“เหม ฉันชื่อเหม” เหมตอบเสียงดังฟังชัดยิ้มกวนๆ
ooooooo
สายๆ เหมเอาถุงเงินไปให้ลุงรีแขกอินเดียที่เป็นคนรับใช้ของมิสเตอร์เจเมสัน ลุงรีถามว่าเอามาให้ตนทำไม
“ก็ลุงรีเป็นคนออกอุบายให้ฉันเอาชนะว่าวกุลาของอ้ายมอญนั่นได้ เงินเดิมพันกึ่งหนึ่งก็ควรเป็นของลุงเช่นกัน รับไปเถิด” ลุงรีบอกว่าอุบายง่ายๆ เพียงแค่ใช้เศษกระจกตำกับข้าวเหนียวแล้วรูดไปตามสายป่านเท่านั้น ไม่ต้องให้เงินทองตนดอก
“แต่อุบายของลุง ช่วยกู้หน้าให้คนเมืองปากน้ำมิให้อ้ายมอญนั่นมาหยามหมิ่นได้ เงินเพียงเท่านี้ลุงรับไปเถิด”
บุษย์ถามขึ้นบ้างว่าแล้วส่วนแบ่งของตนล่ะ เลยถูกเหมเอ็ดว่า “เอ็งทำอะไรวะอ้ายบุษย์ แม้แต่ช่วยข้าตำเศษกระจกเอ็งยังไม่ทำเลยแล้วยังมีหน้ามาขอแบ่งอีกรึ เอาอย่างอื่นแทนดีหรือไม่” พลางยกมือจะเขกหัว บุษย์รีบหลบบอกว่าไม่เอาขอรับ
เหมถามลุงรีว่าอาการป่วยของครูแหม่มมาเรียเป็นอย่างไรบ้าง ลุงรีบอกว่าไม่ดีขึ้นเท่าใด ตนสงสารนายฝรั่งเหลือเกิน หาหมอมาก็มากแล้วแต่ยังรักษาไม่ได้เสียที
เหมสีหน้ากังวลเป็นห่วงแหม่มมาเรียภรรยาของเจเมสันและเป็นครูสอนภาษาอังกฤษเหม ทั้งแหม่มและสามีรักเหมเหมือนลูกคนหนึ่ง
เมื่อเหมไปเยี่ยมแหม่มมาเรีย แหม่มดีใจมากบอกว่าแค่เห็นหน้าเขาตนก็หายป่วยแล้ว เหมบอกว่าถ้าไม่ติดเจ้าคุณพ่อตนคงได้ดูแลครูมากกว่านี้ ซึ่งแหม่มก็เข้าใจ บอกว่าแค่เหมมาเยี่ยมตนก็ดีใจมากแล้ว
ระหว่างนั้นสาวใช้คนหนึ่งเดินมา บุษย์ทำกรุ้มกริ่มรีบเดินตามไปสวนกับคนรับใช้ชายที่เดินมาหยุดรอ พอมิสเตอร์เจเมสันเห็นก็บอกเหมว่าอย่าเพิ่งกลับให้อยู่คุยกับมาเรียก่อนตนขอตัวไปทำงานสักครู่เดี๋ยวมา แล้วมิสเตอร์เจเมสันก็เดินไปหาคนรับใช้ มองคนรับใช้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนเดินเลี่ยงไปโดยมีคนรับใช้ตามไปเหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
ooooooo
ที่ท่าน้ำบ้านพระยาบริรักษ์ เหมนุ่งโจงกระเบนตัวเดียววิ่งนำบุษย์และพวกทาสชายกระโดดลงคลองเสียงดังลั่น สนุกสนานกันเต็มที่
“พ่อเหมนะพ่อเหม จนโกนจุกก็แล้วยังเล่นเป็นเด็กไม่มีผิด” คุณหญิงชมผู้เป็นมารดาส่ายหน้าบ่น
“เอาโว้ย ว่ายน้ำแข่งกัน ใครชนะข้าได้ ข้าจะให้ขี่คอรอบเรือน” เหมตะโกนท้าแล้วว่ายน้ำแข่งกันเฮฮาลั่นคลอง
ที่ลำคลองเดียวกันนี้ เรือสองลำของขุนนาฏยโกศลและครอบครัวเดิมทำงานอยู่ที่อัมพวา แต่ย้ายมาสมุทรปราการเพื่อจัดงานแต่งงานลูกสาวและทำราชการที่นี่ชั่วคราว นั่งเรือมาสองลำ ลำหนึ่งมีขุนนาฏ คุณปิ่นภรรยา และทับทิมบุตรสาวคนโต ส่วนลำที่สองมีบัววัย 15 และลำดวนวัย 8 ขวบน้องของทับทิม โดยมีหุ่นเพื่อนสนิทของลำดวนในคณะละครนั่งมาด้วย
“เลยโค้งน้ำหน้าไปก็ถึงแล้ว ท่านเจ้าพระยาพี่ชายแม่ปิ่นจัดเรือนใหญ่ไว้โอ่โถงเชียว แลยังอยู่ติดกับเรือนพระยาบริรักษ์อีกด้วย หากขาดเหลือสิ่งใดก็อาศัยพึ่งพิงท่านเจ้าคุณได้ แม้เราจะจากบ้านมา แต่ก็ไม่ลำบากดอก” ขุนนาฏเอ่ยกับคุณปิ่น
“ถ้ากระนั้น เราก็ควรไปเยี่ยมกราบกรานท่านเจ้าคุณบริรักษ์นะเจ้าคะ อย่างไรเสียก็จะเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันแล้วน่าจะสนิทสนมกันไว้” ทับทิมเอ่ยยิ้มแย้ม คุณปิ่นผู้เป็นมารดาชมว่ารู้คิดจริงเชียว เช่นนี้ออกเรือนไปก็ไม่อายหมื่นพิพิธแล้ว ทำให้ทับทิมเขินอายที่แม่พูดเรื่องแต่งงานกับหมื่นพิพิธที่เป็นคู่หมั้น
ขณะนั่งเรือชมปลาที่แหวกว่ายในลำคลองกันอย่างเพลิดเพลินนั่นเอง หุ่นกระซิบอะไรกับลำดวน ลำดวนบอกบัวว่า หุ่นปวดเบา ทาสที่พายเรือมาจึงพายเรือเข้าเทียบตลิ่งแล้วอุ้มลำดวนกับหุ่นไปทุ่ง ในเรือจึงเหลือแต่บัวนั่งคอยอยู่
ลำดวนมองไปในน้ำเห็นฟองอากาศผุดขึ้นใกล้เรือ พอเพ่งมองก็เห็นเหมโผล่ขึ้นมาข้างเรือ บัวตกใจร้องออกมา เหมมกับบัวในวัยเดียวกันต่างมองกันอึ้ง เหมยิ้มหวานให้ทำเอาบัวเขิน พลันเสียงลำดวนก็ถามมาว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ เหมเลยรีบดำลงน้ำ บัวหันมองอีกทีเหมก็หายไปแล้ว บัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น ยิ้มเขินออกมาไม่รู้ตัว
ooooooo
เหมกลับมาที่ท่าน้ำเจอบุษย์รออยู่ บุษย์ถามว่าหายไปไหนมาตนนึกว่ากลับมาก่อนแล้วเสียอีก
“ข้าก็ว่ายน้ำเล่นอยู่แถวนี้แหละ พวกเอ็งไม่เห็นเอง” เหมตอบใบหน้ายิ้มกริ่มแล้วเดินเลี่ยงไป ได้ยินเสียงทาสหญิงชายบอกกันอย่างตกใจว่าคุณเหมกลับมาแล้ว
พอเหมขึ้นเรือนก็ถูกพระยาบริรักษ์กระแทกไม้ตะพดกับพื้นเรือนเสียงสนั่นเรือนสะเทือน ถามเสียงเครียดว่า
“กลับมาแล้วรึ อ้ายลูกตัวดี ไปพามันมาพบฉันประเดี๋ยวนี้!”
เหมเห็นเจ้าคุณพ่อโกรธเกรี้ยวก็รีบกราบเท้าบอกว่าหากตนทำผิดอันใดก็ขอรับโทษนั่น อย่าให้ตนต้องเป็นเหตุให้เจ้าคุณพ่อต้องโมโหเลย
พระยาบริรักษ์เคยห้ามปรามเหมไม่ให้ไปสุงสิงกับพวกฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นพวกวิลันดา (ฮอลแลนด์) พุทธเกศ (โปรตุเกส) อิสปันยอน (สเปน) มะริกันโดยเฉพาะพวกวิลาศ (อังกฤษ) แล้วทำไมยังกล้าขัดขืนคำสั่ง หรือว่าคิดจะไปเข้ารีตกับพวกนั้น
เหตุที่พระยาบริรักษ์ห้ามปรามเหมไปคบบรรดาคนเหล่านั้นเพราะกลัวเหมจะถูกชักนำให้ไปเข้ารีตด้วย เหมชี้แจงว่าที่ตนไปคบหาสมาคมกับพวกนั้นเพราะเห็นเจ้าคุณพ่อทำงานเหน็ดเหนื่อย ก็คิดว่าหากเจรจาภาษาเขาได้คงจะช่วยเจ้าคุณพ่อเรื่องจ่ายภาษีค่าขนอนปากเรือเท่านั้น หาได้คิดเป็นอื่นไม่
เหตุผลของเหมทำให้พระยาบริรักษ์พูดไม่ออก อีกทั้งคุณหญิงชมก็พลอยเห็นด้วยกับเหม กระนั้นพระยา บริรักษ์ก็ยังคิดหนักว่า “แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ไม่อยากให้ลูกคลุกคลีตีโมงกับพวกวิลาศอยู่ดี นอกจากหวั่นว่าจะชักนำพ่อเหมไปเข้ารีตแล้ว ฉันก็ยังไม่ไว้ใจพวกนี้ด้วย ดูอย่างคราวที่เราส่งทัพไปช่วยพวกวิลาศรบพม่าซี พอสิ้นศึกแทนที่จะส่งเมืองเมาะตะมะให้เป็นการตอบแทน กลับบ่ายเบี่ยงเสียอีก ไว้ใจไม่ได้”
“ถ้าท่านเจ้าคุณไม่ชอบให้ไปสุงสิงกับพวกวิลาศก็ส่งพ่อเหมไปเรียนวิชากับท่านพระครูโพ วัดท้ายน้ำคลองมหาวงษ์ดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านพระครูมีความรู้มาก ลูกศิษย์ลูกหามีครึ่งค่อนเมืองปากน้ำ พ่อเหมจะได้มีวิชาความรู้ติดตัวเอาไว้รับราชการในภายภาคหน้าอย่างไรล่ะเจ้าคะ” คุณหญิงเสนอ เหมพยายามส่งสัญญาณไม่เห็นด้วยแต่คุณหญิงเมินไปทางอื่นทำไม่รู้ไม่ชี้
“คุณหญิงช่างพูดได้เหมือนเข้าไปนั่งอ่านหัวใจฉัน เอาตามนี้ล่ะได้ฤกษ์เมื่อใด ฉันจะพาเจ้าเหมไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่านพระครู กินนอนอยู่ที่นั่นเสียเลย จะได้ไม่ไปข้องเกี่ยวกับพวกวิลาศอีก” พระยาบริรักษ์หัวเราะพอใจกับแผนการนี้
พอออกจากเจ้าคุณพ่อ เหมก็ไล่เตะบุษย์ที่เจ้าชู้ไปทำกรุ้มกริ่มกับสาวใช้บ้านเจเมสันทำให้คนรักของสาวมาฟ้องเจ้าคุณพ่อจนเป็นเรื่อง พูดอย่างเจ็บใจว่าตนเลยต้องถูกส่งไปอยู่วัด ถามว่ามันน่าเตะไหมล่ะ
บุษย์เองก็ไม่อยากไปอยู่วัด ถามว่าถ้าตนไปอยู่วัดแล้วแม่นิ่มแม่พวงแม่เฟื่องแม่แขจะทำอย่างไร มิถูกคนอื่นชิงตัดหน้าไปหมดหรือ
“เมื่อไม่รักดีแต่ห่วงผู้หญิงเช่นนี้ เอ็งก็ไม่ต้องไปอยู่วัด แต่ข้าจะไปบอกหลวงให้จับเอ็งไปสักเลกเข้ากรมแทนก็แล้วกัน” เหมขู่แล้วเดินหนี บุษย์วิ่งตามอ้อนวอนอย่าไปบอกหลวงเลยตนกลัวสักเลกเข้ากรม
ไปล่ พ่อของบุษย์ที่เป็นบ่าวในเรือนพระยาบริรักษ์ มองลูกชายส่ายหน้าเอือมๆ
ooooooo
พระยาบริรักษ์บอกคุณหญิงชมว่ามะรืนนี้จะส่งเหมไปอยู่วัด คุณหญิงชมตกใจที่เร็วเกินคาด
“ก็ฉันได้ฤกษ์มาตามนี้ แลยิ่งเร็วก็ยิ่งดีไม่ใช่รึคุณหญิง เจ้าเหมจะได้ห่างไกลพวกวิลาศ” คุณหญิงบอกว่าใจหาย “แหม เจ้าเหมมันโกนจุกแล้ว หากเป็นเรือนอื่นมีเมียไปแล้วเสียด้วยซ้ำ คุณหญิงยังทำเหมือนเจ้าเหมเป็นลูกเล็กเด็กแดงไปได้ อย่าห่วงไปเลย วัดท้ายน้ำก็มิได้อยู่ไกล คิดถึงเมื่อใดก็ไปหาได้ และอีกไม่กี่ปีเจ้าเหมก็จะอายุครบบวช เมื่อบวชสึกออกมา ฉันก็จะพาไปฝากตัวรับราชการเอง”
“แล้วท่านเจ้าคุณหมายใจจะให้ฝากตัวกับผู้ใดหรือเจ้าคะ”
“ท่านเจ้าพระยาพระคลัง” พระยาบริรักษ์ยิ้มแย้มยินดี
ที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง...พระยาบริรักษ์คุยอยู่กับคุณชายช่วงบุตรชายของเจ้าพระยาพระคลัง พอเห็นเจ้าพระยาขึ้นเรือนมาก็รีบลุกขึ้นยกมือไหว้
“มาก็ดีแล้ว ท่านเจ้าคุณบริรักษ์ ฉันอ่านบัญชีภาษีค่าขนอนแล้ว ละเอียดลออนัก มิเสียแรงที่ฉันไว้ใจท่านเจ้าคุณจริงๆ” พระยาบริรักษ์ไหว้ขอบพระคุณ “แล้วนี่กำลังคุยเรื่องกระไรกับพ่อช่วงเล่า ใช่เรื่องวิชาการของพวกฝาหรั่งหรือไม่ พ่อช่วงเขาสนอกสนใจเรื่องนี้นัก เจอใครเป็นต้องชวนคุยทุกรายไป”
“ท่านเจ้าคุณพ่อก็เย้าลูก ที่ลูกสนใจวิชาของพวกฝาหรั่งก็เพื่อจะนำมาช่วยบ้านเมืองเราให้เข้มแข็งขึ้นเท่านั้น” คุณชายช่วงติงเจ้าคุณพ่อ พระยาบริรักษ์เลยติงคุณชายช่วงว่าอย่าไปนับถือพวกฝาหรั่งเลย พวกนี้ไว้ใจยาก แลยังชอบคุยโวโอ้อวดอีกด้วย คุณชายช่วงถามว่า “คุยโวอย่างไรหรือขอรับท่านเจ้าคุณ”
“ก็อย่างเรื่องเรืออย่างไรเล่าขอรับ พวกมันบอกว่าบ้านเมืองมันมีเรือทำจากเหล็กแล่นโดยไม่มีใบเรือแลไม่ต้องใช้คนพาย” พระยาบริรักษ์หัวเราะขำขณะเล่าต่อว่า “มุสาแท้ แต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ ดีฉันยังไม่เคยเห็นเหล็กลอยน้ำได้ แล้วจะอาไปสร้างเรือได้อย่างไร ถ้ามีเรือวิเศษเช่นนี้จริง พวกวิลาศคงครองแผ่นดินไปแล้ว”
คุณชายช่วงฟังแล้วพลอยเครียดไปด้วย เพราะลึกๆแล้วก็หวั่นใจว่าเรือเหล็กเช่นที่ว่านั้นจะมีอยู่จริง
ooooooo
หลังจากโผล่จากน้ำไปเห็นบัวบนเรือในวันนั้นแล้ว เหมก็เฝ้าคะนึงถึงเธอ พลันก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กหญิงแว่วมา
เหมมองไปเห็นลำดวนเกาะกิ่งไม้อยู่บนต้นไม้ เพราะซนปีนขึ้นไปแล้วลงไม่ได้ เหมหัวเราะพูดขำๆ ว่าลิงลมตัวนี้พูดได้ด้วย ลำดวนฉุนที่ถูกหาว่าเป็นลิงลมเผลอปล่อยมือจากต้นไม้ตกลงมา เหมก้าวเข้าไปรับไว้ในอ้อมแขนแล้วรีบวางลง
เหมถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้
“ฉันอยู่เรือนติดกันนี่เอง แม่กับพี่สาวฉันมากราบคุณหญิงเรือนนี้ ฉันเลยแอบตามมา”
“ไป...พี่จะพาเจ้าไปหาแม่กับพี่สาวเจ้าเอง” เหมจูงลำดวนไป ลำดวนแอบมองยิ้มชอบใจเพราะอยากได้พี่ชายอยู่แล้ว
ที่เรือนเจ้าพระยาพระคลัง คุณปิ่นกับบัวกำลังคุยกับคุณหญิงชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส คุณหญิงชมติงคุณปิ่นว่าไม่ต้องเคารพนบไหว้ตนดอก ท่านเจ้าพระยาพระคลังเกริ่นกับตนไว้แล้วว่าน้องสาวท่านจะมาอยู่ที่เรือนใกล้ๆนี้ ขาดเหลืออะไรก็มาหาได้เสมอ
“เป็นพระคุณเจ้าค่ะคุณหญิง แต่ถึงอย่างไรเสีย อีฉันก็เป็นผู้น้อยควรแล้วที่จะต้องฝากเนื้อฝากตัวกับคุณหญิงเจ้าค่ะ”
คุณปิ่นยกมือไหว้ คุณหญิงยิ้มรับ แม้ว่าคุณปิ่นจะเป็นเพียงภรรยาขุน แต่ก็เป็นน้องสาวเจ้าพระยาพระคลัง เจ้านายของสามีตน แต่กลับไม่ถือตัวทำให้คุณหญิงชื่นชมมาก
ขณะนั้นเอง เหมจูงมือลำดวนเข้ามา คุณปิ่นรีบบอกคุณหญิงว่าลูกสาวตนเองชื่อแม่ลำดวน แล้วเรียกลำดวนให้ไปกราบคุณหญิง ลำดวนคลานต้วมเตี้ยมเข้าไปกราบคุณหญิงอย่างน่ารักน่าเอ็นดู และคุณหญิงก็แนะนำว่าเหมเป็นลูกชายคนเดียวของตน ทั้งแนะนำเหมให้รู้จักกับคุณปิ่นภรรยาของท่านขุนนาฏยโกศล และบัวบุตรสาวคนรองของท่านด้วย
เหมรับไหว้บัวด้วยสายตากรุ้มกริ่ม บัวเองก็เขินไม่กล้าสบตากรุ้มกริ่มนั้น และก็ไม่พ้นสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองที่มองหนุ่มสาวแล้วมองกันเองอย่างรู้กัน
เมื่อนางปิ่นมาเล่าให้ขุนนาฏฟังเรื่องเหมจ้องมองบัวไม่วางตา ก็หัวเราะร่าว่าบุตรีขุนนาฏงามเป็นที่เลื่องลืออยู่แล้ว ถูกทับทิมลูกสาวคนโตคนติงว่าพ่อท่านยกยอลูกตัวเองเช่นนี้ หากผู้อื่นมาได้ยินเข้าคงอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
“ยกยอกระไรกัน ถ้าลูกพ่อไม่งาม หมื่นพิพิธลูกชายเจ้าขรัวจะมาสู่ขอไปเป็นศรีเรือนรึ” แล้วหันถามคุณปิ่น “แล้วพ่อเหมกระไรนี่เป็นอย่างไรบ้างเล่าแม่ปิ่น ถ้าดีแต่ชาติตระกูล แต่ไม่จับมีดจับพร้าเอาการเอางาน ฉันก็ไม่ยกแม่บัวให้ดอกนะ”
“ข้อนั้นยังไม่รู้ดอกเจ้าค่ะ เพราะยังอีกยาวไกลนะ ด้วยพ่อเหมก็รุ่นราวคราวเดียวกับแม่บัว ยังต้องศึกษาหาวิชาแลบวชเรียนก่อน แต่เรื่องรับราชการในภายหน้า ท่านเจ้าคุณบริรักษ์คงเป็นหลักให้ลูกได้ มิน่าห่วงดอกเจ้าค่ะ”
ขุนนาฏหัวเราะชอบใจว่ามาเมืองปากน้ำคราวนี้ไม่เพียงแต่มาจัดงานแต่งให้ลูกสาวคนโตยังทำท่าจะได้ลูกเขยคนรองด้วย ลำดวนที่นั่งฟังอยู่ถามว่าใครคือลูกเขยคนรองหรือจ๊ะพ่อท่าน ก็ถูกคุณปิ่นปรามว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก ลำดวนถามว่าสงสัยถามไม่ได้หรือจ๊ะ คุณปิ่นเลยหันไปบ่นขุนนาฏว่า
“เพราะท่านขุนแท้ๆเชียว เหล้าเข้าปากแล้วพูดจาไม่ระวัง”
“อ้าว...มาโทษฉันเสียได้แม่ปิ่น เวรกรรมจริงๆ” ขุนนาฏบ่นไปตามประสา ทับทิมดึงลำดวนเข้าไปกอดอย่างเอ็นดู
ooooooo
พระยาบริรักษ์นำเหมไปฝากพระครูโพแล้ว พระครูมองลักษณะของเหมแล้วพยักหน้ายิ้มๆ
“ลูกชายของโยมเจ้าคุณ กิริยามารยาทเรียบร้อย ลักษณะงามพร้อม ภายหน้าเห็นทีจะได้ทำคุณให้แก่แผ่นดินเป็นแน่”
ถามเหมว่าอยากเรียนอะไร พระยาบริรักษ์ชิงตอบแทนลูกชายว่า พวกโคลงฉันกาพย์กลอน กฎบัตรกฎหมายและวิชาคำนวณทำบัญชี พระครูถามว่า “แล้ววิชาอาวุธแลตำรับพิชัยสงครามเล่า ไม่อยากเรียนหรือ”
เหมทำท่าจะตอบแต่ไม่ทัน ถูกเจ้าคุณพ่อชิงตอบตามเคยว่า “ไม่ขอรับ นับแต่เมืองพม่ารามัญแพ้ศึกแก่พวกวิลาศ ก็คงยากจะมีสงครามใหญ่อีก กระผมอยากให้เจ้าเหมได้ร่ำเรียนวิชา ที่จะนำไปใช้ทำการทำงานได้ขอรับ”
พระครูพยักหน้ารับทราบ ในขณะที่เหมมองเจ้าคุณพ่ออย่างอ่อนใจ ที่ตนชอบอะไรเจ้าคุณพ่อไม่เคยชอบด้วยเลย
บุษย์ใจไม่อยู่กับวัด ถามท่านเจ้าคุณว่าตนกับเหมต้องอยู่วัดกี่วันถึงจะกลับไปเรือนได้
“เอ๊ะ...อ้ายนี่ ยังไม่ทันเรียนก็คิดจะกลับเรือนแล้วรึ ตั้งใจเล่าเรียนให้ดีพระครูท่านก็จะให้กลับเอง ไม่ต้องรุ่มร้อนไปดอกวะ” แล้วหันไปทางเหม “พ่อเหมก็เช่นกัน ขยันหมั่นเพียรอย่าเกียจคร้าน ภายหน้าจะได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลต่อไป”
“ขอรับเจ้าคุณพ่อ ลูกจะขยันขันแข็ง มิให้เจ้าคุณพ่อผิดหวังขอรับ”
เมื่อพระยาบริรักษ์กลับไปแล้ว เหมเดินเศร้าๆ เซ็งๆไป บุษย์เดินตามพูดไปตามประสาว่า “เสียดายล่ะซีคุณเหม คุณหนูบัวคนสวยมาอยู่ข้างเรือนแต่กลับไม่ได้เห็นหน้าต้องมาอยู่วัดแทน คุณเหมอย่าเศร้าไปเลยขอรับ”
เวลาเดียวกันนั้น สมิงสอดน้อยเดินนำลูกน้องเข้ามาในวัด เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวังแล้วหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่ช่วยกันหอบอาวุธทั้งดาบ กระบี่ หอก ง้าว ฯลฯ จำนวนมากตามสมิงสอดน้อยเข้าไป
ooooooo
ที่ศาลาใหญ่ในวัด บรรดาชายหนุ่มที่มาฝากตัวเรียนหนังสือรวมทั้งเหมและบุษย์ กำลังอ่านกลอนแบบเรียนจินดามณีจากใบลานพร้อมกันให้พระครูโพฟัง
จากนั้นเหมคลานเอากระดานชนวนมาให้พระครูตรวจการทำบัญชี พระครูยิ้มพอใจที่เหมทำได้ถูกต้อง บุษย์เอาบ้างแต่พอพระครูตรวจก็ทำหน้าบึ้งเพราะบุษย์ทำผิดเละเทะ เหมเเรียนได้สักพักก็เริ่มรู้สึกสนุกกับการเรียน
แต่ใจเหมก็ยังคะนึงถึงบัว แม้เพียงเห็นดอกบัวที่ชาวบ้านนำมาถวายพระก็ยังพาให้คิดถึงบัวจับใจ
ขณะเหมนั่งที่บันไดท่าน้ำเอาขาแช่น้ำแกว่งเล่นนั้น มีศพเด็กผู้หญิงลอยอืดขึ้นจากคลองโผล่มาตรงหน้าพอดี!
เหมตกใจสุดขีดลุกพรวดวิ่งขึ้นศาลาไป ไม่นานชาวบ้านก็มามุงดูศพเด็กกันเนืองแน่น มีพระครูและสัปเหร่ออยู่ด้วย พระยาปลัดสมุทรปราการแหวกฝูงชนเข้ามาถามพระครูโพว่า “เหตุเป็นเช่นใดหรือขอรับท่านพระครูโพ”
“เจ้าเหมมันพบศพเด็กลอยขึ้นมา อาตมาก็เลยให้ตาจาบสัปเหร่อเอาขึ้นจากคลองแลใช้ผ้าห่อไว้ตามที่โยมเจ้าคุณเห็นนี่แหละ” พระยาปลัดถามสัปเหร่อว่าตรวจตราศพดูแล้วหรือยัง สัปเหร่อบอกว่าตรวจแล้วคาดว่าคงโดนกระทำชำเราจนตาย
“อ้ายชิงหมาเกิด เด็กตัวเท่าเมี่ยงมึงยังชำเราได้ หมามันยังไม่ทำเลย” บุษย์โกรธแค้นแทน พวกชาวบ้านก็พากันสาปแช่งด้วยความโกรธแค้น พระยาปลัดปรามพวกชาวบ้านเสียงดังทำหน้าหนักใจว่า
“เบาๆ ก่อน เรื่องนี้เป็นคดีร้ายกาจ อย่างไรข้าก็ต้องเอาอ้ายฆาตกรมารับอาญาให้จงได้ พวกเอ็งมิต้องกลัว”
ไม่นาน พระยาปลัดก็เดินออกไปยังเกี้ยวใหญ่ที่มาตั้งรออยู่หน้าวัด เป็นเกี้ยวขนาดนั่งได้สองคน มีม่านปิดมิดชิด พระยาปลัดแหวกม่านเข้าไปนั่งคู่กับหลวงสรอรรถที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลวงสรอรรถทักว่าทำไมทำหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนั้นเล่า เพียงแค่ทาสตายไปคนเดียว หาควรต้องใส่ใจไม่
ที่แท้แล้วศพเด็กหญิงคนนั้นคือเด็กกำพร้าที่หลวงสรอรรถซื้อมาเป็นทาสเพื่อนำมาบำเรอพระยาปลัดนั่นเอง!
พระยาปลัดตัดบทถามหลวงสรอรรถว่า “คุณหลวงมีกระไรจะขอฉันก็ว่ามาเถิด”
ooooooo
หลวงสรอรรถขอให้พระยาปลัดไปเจรจากับพระยาบริรักษ์ว่า พวกวิลาศไม่พอใจที่เราเก็บค่าขนอนปากเรือสูงกว่าพวกจีนแลพวกพุทธเกศ พระยาปลัดเสนอว่าเพื่อความเป็นธรรมก็อยากจะขอให้ท่านเจ้าคุณทบทวนดูอีกที
พระยาบริรักษ์ซึ่งเป็นคนตรงยอมหักไม่ยอมงอบอกว่าเกรงจะไม่ได้เพราะพวกจีนกับพวกพุทธเกศค้าขายกับสยามมานานและมีกำปั่นสำเภาเข้าเทียบท่าทุกวัน แต่เรือพวกวิลาศมีน้อยกว่ามาก จะให้เก็บภาษีเท่ากันได้อย่างไร
“แต่วิลาศกำลังมีอำนาจมากนัก ฉันเกรงว่าหากผิดใจกันจะไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง” พระยาปลัดท้วงติง
“แต่ถ้าเรายอมพวกวิลาศครั้งหนึ่ง ก็ต้องมีครั้งต่อไป แลจะเป็นเหตุให้พวกอื่นทำตามอย่างได้อีก ฉันเห็นควรว่าเราต้องไม่อ่อนข้อให้พวกมัน เว้นแต่...จะมีพระบรมราชโองการลงมาเท่านั้น ฉันถึงจะยอม”
เมื่อพระยาปลัดนำคำตอบไปแจ้งแก่หลวงสรอรรถที่ตลาด หลวงสรอรรถโมโหมากถามว่าเพียงแค่ลดค่าโกดังให้เท่านั้นก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย พระยาปลัดหน้าเครียดอย่างไม่แยแสบอกว่าตนก็ช่วยได้เท่านี้ เพราะถึงตนจะเป็นเกลอเก่าพระยาบริรักษ์ก็ไม่ยอมลงให้
หลวงสรอรรถอ้างว่า เยี่ยงนี้แล้วพวกวิลาศเอาสินค้าไปขายต่อจะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว พระยาปลัดถามอย่างรู้ทันว่า “พวกวิลาศหรือตัวคุณหลวงเองกันแน่” หลวงสรอรรถหน้าเจื่อนที่พระยาปลัดรู้ทันซ้ำยังติงว่า “คุณหลวงเองก็มั่งมีอยู่แล้ว ได้กำไรน้อยลงบ้างก็หาเป็นกระไรไม่ อย่าโลภมากจนลาภหายเลย” พูดแล้วเดินเลี่ยงไป หลวงสรอรรถมองขบกราม
“ทำมาเป็นยกตนสั่งสอนกู แล้วทีเรียกสินบาท คาดสินบนจากกูเล่า ไม่เรียกว่าโลภมากเลยรึอ้ายพระยาวิตถาร! กลับเรือน” หลวงสรอรรถสั่งลูกน้อง พลันก็ชะงักเมื่อเห็นทับทิมกับบัวพาลำดวนมาเดินเลือกซื้อของกันอยู่อย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
หลวงสรอรรถมองบัวอย่างถูกใจ ลูกน้องพูดอย่างรู้ใจว่า
“ไว้ผมยาวแลเนื้อตัวผิวพรรณผ่องเช่นนี้ คงเป็นนางรำของตำหนักใดตำหนักหนึ่งเป็นแน่ขอรับ”
“ถ้ากระนั้น เอ็งก็ไปสืบมาสิวะ ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เรือนอยู่ที่ใด แลถ้าจะให้ดี ก็สืบสาวไปถึงเครือญาติด้วย ข้าจะได้ตีราคาถูก” หลวงสรอรรถยิ้มเจ้าเล่ห์กระสันระริกในแววตา
ooooooo
เพียงบ่ายวันต่อมา หลวงสรอรรถก็นำของมีค่าทั้งเครื่องลายคราม เครื่องหอม เป็นต้น มาฝากขุนนาฏยโกศลถึงเรือน ขุนนาฎอึดอัดใจที่จะรับเพราะเพิ่งรู้จักกันก็กำนัลด้วยของมีค่าเช่นนี้
“รับไว้เถิดขอรับ ชื่อเสียงของคณะละครขุนนาฏยโกศลแห่งตำหนักอัมพวา เลื่องลือไปทั่ว จนดีฉันอยากเจอตัวจริงท่านขุนมานานแล้ว แลดีฉันมาอาศัยอยู่ที่เมืองปากน้ำก็เหมือนมาพึ่งใบบุญท่านเจ้าพระยาพระคลัง ควรแล้วขอรับที่จะมาฝากเนื้อฝากตัวกับเครือญาติของท่าน”
เมื่อขุนนาฏจำต้องรับไว้ หลวงสรอรรถก็มองไปรอบๆ ขุนนาฏถามว่ามองหาใครหรือ
“ดีฉันทราบมาว่าท่านขุนมีบุตรีสามคน จึงนำของ กำนัลมาฝากขอรับ” พลางหยิบขวดน้ำหอมของฝรั่งยื่นให้ “นี่คือน้ำอบน้ำปรุงของพวกฝาหรั่ง ขอฝากให้คุณหนูบัวขอรับ” หลวงสรอรรถปั้นยิ้ม
ขุนนาฏรับขวดน้ำหอมฉุกคิดว่าหลวงสรอรรถเพิ่งมาเจอตนแต่กลับรู้จักชื่อลูกสาวตน ชะรอยจะมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ฝ่ายหลวงสรอรรถยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไร กระหยิ่มใจว่า นอกจากบัวจะสวยถูกใจแล้วยังเป็นหลานสาวเจ้าพระยาพระคลังอีกด้วย นับว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
พอเหมรู้เรื่องนี้ก็กระวนกระวายใจว่าหลวงสรอรรถเข้าทางขุนนาฏเพื่อเกี้ยวบัว แต่หลวงสรอรรถมีเมียเอกเป็นลูกคหบดีจีนที่คลองโอ่งอ่างแล้วจะมาเกี้ยวบัวได้อย่างไร บุษย์สาธยายว่าใช่แค่มีเมียเอกแต่ยังมีเมียน้อยแลนางบำเรออีกหลายคน พูดให้เหมประหวั่นว่า
“ว่ากันว่าในเมืองปากน้ำนี้ไม่มีผู้ใดรวยสู้หลวงสรอรรถได้ แม้แต่เจ้าคุณพ่อของคุณเหม แล้วเช่นนี้จะมีเมียเพิ่มอีกสักคนจะเป็นกระไรไปเล่าขอรับ”
เหมโมโหถามว่าบัวมีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวท่านเจ้าพระยาพระคลังจะลดตัวลงมาเป็นเมียน้อยหลวงสรอรรถได้อย่างไร บุษย์ก็พูดให้ยิ่งเครียดว่า
“ก็ไม่แน่ดอกขอรับ หลวงสรอรรถก็รูปงามใช่หยอก คารมฝีปากก็ใช่ชั่ว แลยังไปมาหาสู่ทุกวัน คุณหนูบัวจะไม่หวั่นไหวบ้างเชียวหรือขอรับ”
ooooooo
คืนนี้ เหมคิดเครียดจนนอนไม่หลับเห็นบุษย์นอนกรนสนั่นจึงลุกเดินไปจากห้องนอน ไปถึงลานกว้างหลังวัด ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันจึงย่องไปแอบดู เห็นคบไฟจุดสว่างไสว
เหมเห็นผู้คนมากมายกำลังซ้อมอาวุธกันอย่างดุเดือด จึงซุ่มดูด้วยความสนใจ แต่ทันใดเหมก็หัวคะมำเพราะถูกถีบจากข้างหลัง หันกลับไปมองเห็นพุ่มกับลูกน้องพร้อมอาวุธครบมือกระจายกันล้อมตนอยู่!
ขณะเหมกำลังตกใจนั่นเอง สมิงสอดน้อยกับพระครูยมเดินเข้ามาหา พระครูยมถามพุ่มว่าเกิดอะไรขึ้น พุ่มชี้ไปที่เหม
“อ้ายคนนี้มันแอบดูพวกเราซ้อมอาวุธขอรับ ขรัวปู่”
เหมเห็นสมิงสอดน้อยก็ตกใจ สมิงสอดน้อยทักอย่างโมโหว่า “นี่เอ็งเองรึอ้ายเหม” พระครูยมถามว่ารู้จักหรือ มันเป็นใคร สมิงสอดน้อยบอกว่าตนรู้จักแค่ว่าชื่อเหมและเคยใช้เล่ห์เอาชนะเดิมพันว่าวกับตน หันจ้องเหมบอกพระครูยมว่า
“ดูท่ามันคงเป็นพวกอ้ายสมิงจักรเพชรส่งมาสอดแนมเป็นแน่”
เหมบอกว่าตนไม่รู้จักสมิงจักรเพชรอะไรนั่น พุ่มโต้ว่าถึงไม่รู้จักแต่มาแอบดูพวกตนซ้อมเพลงอาวุธ อย่างไรก็ปล่อยไปไม่ได้ เหมชี้แจงว่าตนแค่มาเรียนวิชากับท่านพระครูโพเท่านั้น มิเคยคิดเลยว่าหลังวัดจะมีการซ้อมเพลงอาวุธ แล้วจะโทษตนได้อย่างไร สมิงสอดน้อยยิ้มเหี้ยมตวาดว่า
“เอ็งหาว่าข้าโทษรึ เช่นนั้นก็ได้ เอ็งกับข้ามาประลองดาบกัน หากเอ็งชนะก็ไปจากที่นี่ได้ แต่หากเอ็งแพ้ก็ตัดลิ้นของเอ็งทิ้งเสีย ข้าจะได้แน่ใจว่า เอ็งเอาความลับของพวกข้าไปบอกใครไม่ได้อีก”
เหมตกใจหน้าซีด ไม่คิดว่าแค่ออกมาเดินตอนดึกก็เกิดเรื่องถึงกับต้องถูกตัดลิ้น!
ooooooo
สมิงสอดน้อยเอาดาบไม้โยนให้เหมบอกว่าใช้ดาบเหล็กเหมจะถือไม่ไหวจะหาว่าตนไม่เป็นธรรม แล้วควงดาบไม้เข้าหาเหม
เพราะยังเด็กและไม่เคยฝึกเพลงดาบ เหมสู้สะเปะสะปะ จึงเปลี่ยนจากปะทะเป็นหลบเลี่ยงแทน
เหมหลบได้ทะมัดทะแมงว่องไวจนสมิงสอดน้อยทำอะไรไม่ได้ พระครูยมมองดูเหมอย่างพิจารณาเห็นแววบางอย่างในตัวเขา
จังหวะหนึ่ง เหมฉวยโอกาสเพียงชั่วพริบตาที่สมิงสอดน้อยรุกอย่างระห่ำหมายพิชิตศึกแทงดาบไม้สวนออกไปโดนสมิงสอดน้อยเข้าที่ลิ้นปี่เต็มๆจนจุก
เหมมัวดีใจที่แทงถูกสมิงสอดน้อย ถูกสมิงสอดน้อยเตะสวนออกมาเลยหลบไม่ทันซ้ำถูกเตะตัดขาจนทรุดลงไป แล้วกระโดดเตะเต็มยอดอกจนเหมร่วงลงไปกอง สมิงสอดน้อยเงื้อเท้าจะกระทืบซ้ำ
“พอได้แล้ว อ้ายสมิง การประดาบจบแล้ว” พระครูยมตวาดห้าม
พวกลูกน้องสมิงสอดน้อยพากันตะโกนให้ตัดลิ้น! ตัดลิ้น!! แต่สมิงสอดน้อยสั่งให้หยุด บอกเหมให้กลับไปได้แล้ว เหมถามว่าทำไมไม่ตัดลิ้น ตนแพ้แล้วมิใช่รึ
สมิงสอดน้อยโมโหตวาด “อยากถูกตัดลิ้นนักรึ ข้าบอกให้ไสหัวไป”
“อ้ายสมิงสอดน้อยมันเพียงแต่ขู่ มิได้คิดตัดลิ้นเอ็งแต่แรกอยู่แล้ว มานี่ซิ อ้ายหนุ่ม มาหาข้า” พระครูยมเรียก เหมเดินไปคุกเข่ากราบสามครั้ง พระครูยมยิ้มพอใจ ชมว่า “หน่วยก้านเอ็งดี ไหวพริบก็ไม่เลว รู้ว่าสู้ด้วยกำลังแลเพลงดาบมิได้ ก็หลบหลีกออกฉวยโอกาส ข้าเห็นแล้วชอบใจนัก เอ็งมาเรียนดาบกับข้าเถิด ข้าจะสอนให้”
เหมบอกว่าเจ้าคุณพ่อไม่ต้องการให้เรียนเพลงอาวุธ จึงขอท่านพระครูโพไว้ไม่ให้สอน พระครูยมจึงรู้ว่าเหมเป็นลูกพระยา ท่านตอบเลี่ยงว่า “ก็หาเป็นกระไรไม่ พ่อเอ็งขอท่านพระครู มิได้ขอข้า ฉะนั้นข้าสอนเอ็งได้”
เมื่อเหมยังอึกอักมิกล้าขัดคำสั่งเจ้าคุณพ่อ พระครูยมตัดบทว่า “หากเอ็งอยากเรียนดาบกับข้า ก่อนเพลพรุ่งนี้เอาหมากมาให้ข้าหนึ่งคำกับข้าวสวยอีกหนึ่งกำมือ แล้วมากราบเป็นศิษย์ ข้าจะสอนวิชาให้เอ็ง แต่หากเอ็งไม่อยากเรียนก็มิต้องมา”
ก่อนเพลรุ่งขึ้น เหมมากราบพระครูยมพร้อมด้วยหมากหนึ่งคำกับข้าวสวยหนึ่งกำมือใส่พานมาถวายพระครูยม เมื่อเหมก้มกราบสามครั้งแล้ว พระครูยมยิ้มเอ่ยว่า
“นับแต่นี้เอ็งเป็นศิษย์ข้า ข้าจะสอนเพลงอาวุธแลตำรับพิชัยสงครามให้ หากเอ็งมีวาสนา ข้าก็จะถ่ายทอดวิชาดาบอาทมาตให้เอ็งด้วย”
เหมถามว่าวิชาดาบอาทมาตเป็นวิชากระไรหรือเหตุใดจึงต้องเป็นผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นถึงจะร่ำเรียนได้
“เออโว้ย...อ้ายนี่ขี้สงสัยจริง วิชาดาบอาทมาต เป็นวิชาดาบมาแต่โบราณในครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับเหล่าทหารเพื่อใช้ในการสู้ศึก จึงนับถือกันว่าเป็นเพลงดาบที่ใช้ในการกู้แผ่นดิน ผู้ร่ำเรียนจึงต้องนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร สร้างคุณงามความดีให้แก่บ้านเมือง ข้าจึงต้องดูลักษณะเอ็งก่อนว่าคู่ควรได้สืบทอดวิชานี้หรือหาไม่”
“เมื่อเอ็งกับข้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกันแล้ว ข้าก็จะเล่าให้เอ็งฟังว่า เหตุที่ข้าต้องปกปิดเรื่องการซ้อมดาบ ก็เพราะท่านเจ้าพระยามหาโยธารามัญ ได้กำหนดการประลองดาบขึ้นในหมู่ชาวมอญ พวกข้าพ่ายแพ้ให้สมิงจักรเพชรมาหลายครา จนโดนมันข่มเหงมาตลอด ดีที่อ้ายพุ่มมาบอกข้าว่าขรัวปู่เป็นผู้ใด ข้าจึงมาขอเป็นศิษย์เพื่อหวังล้างอายอ้ายสมิงจักรเพชร” สมิงสอดน้อยเล่าให้ฟัง เหมพยักหน้ารับ พนมมือเอ่ย
“กระผมขอให้คำมั่นต่อหน้าขรัวปู่ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาดขอรับ”
สมิงสอดน้อยขอบใจเหม พระครูยมจึงมอบหมายให้พุ่มช่วยฝึกฝนเหมแทนพลางก่อนที่ท่านจะสอนวิชาให้เหมด้วยตัวเอง
“ขอรับขรัวปู่ กระผมจะสอนมันตั้งแต่ไหว้ครูแลวิชาขึ้นต้นทั้งหลายขอรับ” พุ่มรับคำ แล้วฝึกพื้นฐานการต่อสู้แก่เหมที่บริเวณวัดนั่นเอง นับแต่ไหว้ครูมวยไทย หาบน้ำใส่ตุ่มสร้างกล้ามเนื้อและพละกำลัง ใช้ไม้พลองตีกับต้นไม้ กระโดดขึ้นบันไดวัด ฝึกฝนจนได้ที่ก็รำดาบและไหว้ครูให้พระครูยมดู ท่านดูแล้วยิ้มอย่างชื่นชม
ooooooo
อยู่วัดได้ครบเดือนเหมกลับมาเยี่ยมบ้าน คุณหญิงชมปลื้มปีติบอกเหมให้ไปพักพรมน้ำอบน้ำปรุงให้ชื่นใจก่อนแล้วตกเย็นค่อยรับสำรับเย็นกับแม่
ระหว่างนั้นเหมเห็นลำดวนขี่ม้าก้านกล้วยนำพวกเด็กๆ เล่นกันผ่านมา จึงเอาขนมไปให้กินแล้วถามว่า บัวคิดอย่างไรเรื่องหลวงสรอรรถ?
เป็นเวลาที่หลวงสรอรรถเทียวมาคุยกับบัวพอดีซ้ำยังทำรุ่มร่ามจับชายสไบของบัว ดีที่ขุนนาฏ คุณปิ่นและทับทิมเข้ามาทักและเข้านั่งกันท่าจนหลวงสรอรรถหน้าเจื่อน ขุนนาฏบอกทับทิมให้จัดสุรายาดองและกับแกล้มมาจะได้ร่วมวงกับหลวงสรอรรถ
ขณะนั้นเองเหมจูงลำดวนขึ้นเรือนมา ขุนนาฏ ทักทายยินดีว่ากลับจากวัดเมื่อใดหายไปเป็นแรมเดือนเชียว เหมทักทายกับหลวงสรอรรถแล้ว เหมยิ้มให้บัวทัก “มิได้เจอกันเสียนาน แม่บัวสบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณเหมเจ้าค่ะที่ถาม” บัวเขินอาย หนุ่มสาวมองกันไปมาด้วยความคิดถึง หลวงสรอรรถเห็นสายตาของทั้งสองก็รู้ว่า ทั้งคู่ชอบพอกัน ได้แต่ขบกรามแน่นข่มไว้ เมื่อลงมาถึงท่าน้ำก็อาฆาตว่า
“กล้าแย่งผู้หญิงกับกู อย่าให้หมดบารมีพ่อมึงคุ้มกะลาหัวก็แล้วกัน”
ooooooo
ขณะคุณหญิงชมผิดหวังเมื่อจัดสำรับรอเหมแล้วทาสหญิงเข้ามาบอกว่าเหมจะทานสำรับเย็นที่เรือนท่านขุนนาฏ
ระหว่างนั้นเอง ทาสหญิงอีกคนก็เดินนำชายคนหนึ่งขึ้นเรือนมา พระยาบริรักษ์ถามว่าพาผู้ใดมาหรือ
“ดีฉันเองขอรับ นายชัยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร” พระยาบริรักษ์รีบเดินไปรับ คุณหญิงติงว่ามาเสียมืดค่ำ คงมีราชการสำคัญ จะไปเตรียมห้องให้
“มิเป็นไรขอรับคุณหญิง มิใช่ราชการลับ ดีฉันเพียงแต่มาขอให้ท่านเจ้าคุณบริรักษ์เร่งเสบียงให้เท่านั้น ด้วยดีฉันจะนำเสบียงไปส่งให้กองทัพที่ไปทำศึกกับทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุตขอรับ”
“เพลานี้ยังมีศึกอีกหรือขอรับ แล้วผู้ใดเป็นแม่ทัพในศึกคราวนี้กัน” พระยาบริรักษ์ตกใจ
“ท่านพระยาราชสุภาวดี แม่ทัพคู่พระทัยขององค์พระเจ้าอยู่หัวขอรับ”
แต่คุณชายช่วงไม่ทันส่งเสบียงไปถึง พระยาราชสุภาวดีก็นำทัพรบชนะแม่ทัพลาวแล้ว แม้ท่านจะถูกแทงเข้าที่สีข้างทะลุแต่ก็หนีบดาบเอาไว้อย่างเหี้ยมหาญจนแม่ทัพลาวชักดาบกลับไม่ได้และถูกพระยาราชสุภาวดีฟันตายคาหลังม้า! เอาชนะข้าศึกได้อย่างงดงามโดยมีหมื่นพิพิธภูบาลคู่หมั้นของทับทิมออกร่วมศึกด้วย
เมื่อบรรยายแผนที่การเดินทัพบุกไปยังประเทศลาว ผู้บรรยายอธิบายว่า
“ปีพุทธศักราช 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้แยกตัวเป็นอิสระจากกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดให้พระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพยกไปปราบปรามจนในที่สุดก็สามารถเอาชนะและเข้ายึดครองเมืองจำปาศักดิ์ได้สำเร็จ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้พระยาราชสุภาวดีดำรงตำแหน่งเป็น ‘เจ้าพระยาราชสุภาวดี’ ว่าที่สมุหนายกในเวลาต่อมา”
ooooooo










