ตอนที่ 9
ถึงเวลาอาหารกลางวัน ทิชากรและพ่อแม่พากันไปกินที่บ้านอดิศวรซึ่งสมาชิกอยู่กันพร้อมหน้า ยกเว้นวายุภัคเพียงคนเดียว โดยปฐพีบอกว่าวายุภัคไปติดต่อเรื่องประกวดไวน์ในเมือง แล้วจะเลยไปคุยกับทางอำเภอเรื่องจัดทริปพิเศษให้พวกข้าราชการจังหวัดอื่นมาท่องเที่ยวที่ไร่ กว่าจะกลับก็คงเย็นๆ
หลังอาหารมื้อนี้ ทิพย์ธาราถ่วงเวลาไกรฤทธิ์ให้อยู่ต่อด้วยการขอเรียนวิชาเกี่ยวกับสมุนไพรอีก ทิชากรกับแม่จึงขอตัวกลับไปบ้านพักก่อน พอสองแม่ลูกไปถึงก็พบวายุภัคยืนอยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มยกมือไหว้ทิพย์แม่ของทิชากรอย่างนอบน้อม ทิพย์รับไหว้แล้วทักทายด้วยสีหน้างงๆ
"สวัสดีจ้ะ อ้าว แล้วนี่ไม่ได้ไปคุยธุระในเมืองหรอกเหรอจ๊ะ"
"ไปครับ แต่ว่ากลับมาแล้ว...กะทิครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ"
ทิชากรมองแม่อย่างเกรงใจ แต่แม่ยิ้มบางๆ บอกลูกให้ไปคุยกับคุณลมเถอะ ทิชากรจึงเดินออกไปกับเขา เมื่ออยู่กันตามลำพัง วายุภัคมอบช่อดอกไม้สีสันสดใสให้เธอ แต่เธอกลับถามเขาว่า
"ให้ฉันทำไมคะ"
"ก็ให้ชดเชยที่ผมเคยตั้งใจจะให้ดอกกุหลาบกับคุณ แต่มันก็ไปไม่ถึงมือคุณเพราะชองแตลไงครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
"กะทิ...ผมขอโทษนะที่วันนั้นผมไม่เชื่อคุณ จนคุณต้องเดือดร้อนแทนผม"
"ช่างมันเถอะค่ะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว"
"งั้นแสดงว่าคุณไม่โกรธผมแล้ว งั้นเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันนะครับกะทิ"
"เป็นอะไรคะ"
"อ้าว...ก็เป็นแฟนกันไง ใจจริงผมอยากเป็นมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดที่พ่อคุณยังไม่เปิดใจยอมรับผม แต่ผมจะไม่ย่อท้อที่จะพิสูจน์ตัวเองกับพ่อคุณเลย เพียงคุณบอกผมว่าคุณเองก็ไม่รังเกียจที่จะแต่งงานกับผม เราแต่งงานกันนะกะทิ"
"อย่าเพิ่งเลยค่ะคุณลม ฉันยังไม่พร้อม"
"กะทิ...คุณเป็นอะไร ทำไมคุณถึงไม่พร้อม คุณบอกผมสิ...หรือว่าคุณยังโกรธผมอยู่"
"ฉันไม่ได้โกรธคุณหรอกค่ะคุณลม แต่ว่าฉัน..."
"แต่ว่าอะไรครับ" วายุภัคจ้องทิชากรอย่างคาดคั้น ในขณะที่ทิชากรมีสีหน้าหนักใจ
ขณะเดียวกันนั้น ชองแตลเที่ยวตามหาวายุภัคให้พล่าน ถามคนงานก็ไม่มีใครรู้เห็นสักคน เธอเลยเดินตะบึงตะบอนเข้าไปที่บ้านอดิศวร แล้วก็ถูกชะเอมกับอัจจิมากางกั้น แต่ชองแตลก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ บุกเข้าไปจนเจอไกรฤทธิ์กำลังสอนตำรายาสมุนไพรให้ทิพย์ธารา แล้วเธอก็โวยวายพูดโน่นพูดนี่เกี่ยวกับวายุภัคจนทำให้ไกรฤทธิ์รู้สึกไม่ชอบมาพากล
ไกรฤทธิ์รีบร้อนกลับไปที่บ้านพักด้วยความโมโห หมายใจจะเจอวายุภัคและจับโกหกทุกคนที่รวมหัวกันหลอกเขา แต่เปล่าเลย ที่บ้านไม่มีวายุภัค และทิชากรก็นอนพักผ่อนโดยมีทิพย์ดูแลอย่างใกล้ชิด นั่นเพราะวายุภัคไหวตัวทัน แต่พอกลับมาที่บ้านใหญ่ ทั้งเขาและพวกปฐพีก็โดนพ่อกับแม่ตำหนิจนจ๋อยไปตามๆกัน
"พวกเราไปรวมหัวกันหลอกคุณไกรฤทธิ์เขาอย่างงั้นได้ยังไง นี่ถ้าเกิดเขาจับได้ขึ้นมาแล้วคิดว่าพ่อกับแม่มีส่วนรู้เห็นด้วย พ่อกับแม่จะเสียผู้ใหญ่เอาได้นะ"
"แผนพวกนี้เราเป็นตัวต้นคิดใช่ไหมดิน เก่งนักเชียวนะเรื่องวางแผนอะไรเนี่ย แล้วถ้าเกิดคุณไกรฤทธิ์จับได้ขึ้นมาจะทำยังไงเคยคิดบ้างไหม เราก็อีกคนนะไฟ ชอบเหลือเกิ๊นนะเรื่องเล่นอะไรแผลงๆเนี่ย แต่เคยรู้บ้างไหมว่าพ่อกับแม่จะหัวใจวายตายอยู่แล้ว"
"คุณแม่คะ อย่าว่าดินกับไฟเลยค่ะ"
"เราก็เหมือนกันนะน้ำ ทำไมถึงไม่รู้จักห้ามปรามเจ้าพวกนี้บ้าง คอยดู ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแล้วพ่อหนูกะทิเขาไม่ไว้ใจพวกเราจนไม่ยอมยกหนูกะทิให้ลมล่ะก็ แม่จะโทษว่าเป็นความผิดของพวกเราทุกๆคนเลย"
ทุกคนมองหน้ากันไปมาอย่างรู้สึกผิด แล้วทิพย์ธาราก็เข้าไปกอดมนตรีกับสุพรรษา
"พวกเราขอโทษค่ะคุณพ่อคุณแม่ แต่พวกเราอยากให้ลมกับกะทิสมหวังกันสักทีถึงต้องทำแบบนี้"
"แต่วันหลังจะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดีกว่านี้ก็ดีนะจ๊ะ"
"ค่ะ"
"ว่าแต่วันนี้หนูชองแตลเขาเป็นอะไรไป แม่ไม่เค้ยไม่เคยคิดเลยว่าหนูชองแตลจะอารมณ์ร้ายได้ขนาดนั้น นี่โชคดีนะที่เจ้าลมไม่คว้ามาเป็นเมีย ไม่งั้นแม่เป็นลมตายแน่เลย ถ้าแม่มีลูกสะใภ้อย่างงั้น"
สุพรรษาบ่นอุบ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย...เวลานั้นเอง ชองแตลตัวแสบยังไม่หยุดออกฤทธิ์ เธอเดินไปดักเจอทิชากรจนได้
"คุณกะทิจะไปไหนเหรอคะ"
"ฉันจะไปซื้อองุ่นสดที่ร้านให้พ่อกับแม่ชิมค่ะ"
"อ๋อ เหรอคะ ฉันคิดว่าคุณจะไปนัดเจอกับลมซะอีก ท่าทางคุณพ่อคุณเขาจะไม่ค่อยชอบลมสักเท่าไหร่ ฉันว่าคุณอย่าทำให้คุณพ่อคุณผิดหวังเลย อยู่ห่างๆลมเอาไว้น่าจะดีกว่านะคะ"
"ขอบคุณค่ะที่เตือน เอาไว้ฉันจะรับคำแนะนำของคุณไปลองพิจารณาดู แต่ถ้าลมเขาอยากมาอยู่ใกล้ๆฉันเอง มันก็คงช่วยไม่ได้นะคะ"
"อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลยค่ะคุณกะทิ ผู้หญิงอย่างคุณไม่มีวันสู้ฉันได้หรอกค่ะ ฉันกับลมเราคบกันมานานและรู้จักกันอย่างลึกซึ้งแล้ว แล้วเรื่องอย่างว่าเราก็เข้ากันได้ดีมากเลยนะคะ ฉันถึงได้มั่นใจว่าลมไม่มีวันเลือกผู้หญิงจืดๆอย่างคุณแน่"
"ถ้างั้นก็ช่างเขาเถอะค่ะ เพราะฉันเองก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเองให้มีรสชาติจัดๆ เพื่อให้เขาได้มาลิ้มลองเล่นๆซะด้วย ฉันขอตัวนะคะ"
ทิชากรตอบโต้อย่างเจ็บแสบแล้วผละไปทันที ชองแตลจ้องตามตาขวางอย่างอาฆาต
"นังกะทิ ทำปากเก่งไปเถอะ ฉันนี่แหละจะเขี่ยแกออกจากไร่นี้เอง" พูดจบเธอจะหันกลับ แต่ไปชนกับภานุที่เดินเข้ามาพอดี ภานุฉวยโอกาสโอบประคองชองแตล พลางทำตากรุ้มกริ่มบ่งบอกว่าสนใจ ผิดกับหญิงสาวที่วางท่าเชิดๆหยิ่งๆ สั่งให้เขาปล่อยเธอได้แล้ว เธอไม่ได้เป็นอะไร ภานุเลยอึกๆอักๆไปเล็กน้อย ก่อนจะรุกต่อไปอีกว่า
"คุณชองแตลจะไปไหนครับ"
"ฉันจะไปไหนแล้วมันเรื่องอะไรของคุณ"
"ก็เพราะผมไม่ใช่ไอ้ลมที่ไม่สนใจคุณนี่ครับ"
ชองแตลชะงัก ภานุก้าวเข้ามาใกล้แล้วจับมือเธอขึ้นมาลูบเบาๆ
"ผมไม่เข้าใจไอ้ลมมันเลยว่ามันมองข้ามผู้หญิงทั้งสวยทั้งเก่งอย่างคุณไปได้ยังไง เพราะถ้าเป็นผม ผมจะดูแลคุณอย่างดี และจะไม่มีวันทำให้คุณต้องเสียใจเลย ผมรู้สึกดีกับคุณนะครับชองแตล แต่ผมไม่เคยกล้าพอที่จะบอกว่าผม..."
"คุณไม่ต้องบอกฉันน่ะดีแล้ว..." เธอขัดขึ้นพร้อมกับดึงมือออก "คุณจะได้ไม่ต้องผิดหวัง เพราะถ้าคุณยังเพอร์เฟกต์ได้ไม่ถึงครึ่งของลม คุณก็อย่าหวังอะไรที่มันลมๆแล้งๆเลย"
ชองแตลเบ้หน้าอย่างรังเกียจก่อนเดินออกไป...ภานุขบกรามแน่นด้วยความโมโห แล้วไปโวยวายระบายอารมณ์ใส่พันทิวาที่ตอนแรกนัดกับเธอไว้ว่าจะกลับไปบ้านพร้อมกัน ซึ่งพันทิวาหวังจะได้อยู่กับเขาฉันสามีภรรยาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย เขาเอาแต่โมโหฉุนเฉียวโดยที่เธอไม่รู้สาเหตุ หนำซ้ำยังผลักไสจนเธอล้มลง แล้วเขาก็เดินหนีไปอย่างไม่ไยดี
ooooooo
พัชนียังคงเศร้าเสียใจที่วายุภัคไม่รับรัก เพราะเขามีทิชากรอยู่แล้วเต็มหัวใจ กำนันทองเห็นลูกสาวเอาแต่ร้องไห้ ข้าวปลาไม่ยอมกิน ใจคอคนเป็นพ่อก็ห่อเหี่ยว แต่เขาก็ใช้ความพยายามอย่างมากในการปลอบโยนและอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจเรื่องของความรักที่บังคับใจกันไม่ได้ ที่สุดพัชนีก็เข้าใจ และเอ่ยปากขอโทษพ่อที่เธอชอบดื้อรั้นทำให้พ่อเสียใจอยู่
เรื่อยมา ทั้งที่พ่อคือผู้ชายคนเดียวที่รักเธอมากที่สุดในชีวิต
หลังจากทำใจกับความผิดหวังได้แล้ว รุ่งขึ้นพัชนีจึงไปปรากฏตัวที่ไร่องุ่นสายลมของวายุภัค แล้วไปเจอชองแตลกำลังหาเรื่องทิชากรพอดี ชองแตลต้องการให้ทิชากรกลับกรุงเทพฯไปเสียที วายุภัคจะได้มีเวลาทำงานเต็มที่ ไม่ใช่ต้องมาคอยเทกแคร์เธอตามหน้าที่อยู่แบบนี้
"อีกไม่กี่วันฉันก็จะกลับแล้วล่ะค่ะ"
"แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบๆกลับไปซะทีสิ ลมเขาเริ่มเบื่อคุณแล้วรู้ไหม"
ทิชากรหน้าเสีย แต่พัชนีปราดเข้ามากระแทกเสียงใส่ชองแตลอย่างเอาเรื่อง
"ฉันว่าเธอบอกตัวเองก่อนเถอะย่ะ คนที่พี่ลมเขาเริ่ม... ไม่ใช่สิ น่าจะเบื่อมานานแล้วน่ะคือเธอ ไม่ใช่คุณกะทิ รู้ตัวเอาไว้ซะด้วยนะยะ"
"ใครขอความเห็นเธอมิทราบ"
"อ๋อ...ไม่มีหรอก ฉันสาระแนเอง และตอนนี้ฉันก็กำลังจะสาระแนทำหน้าที่เป็นนางฟ้าพิทักษ์คนรักของพี่ลมจากนางมารร้ายอย่างเธอด้วย หัดยอมรับความจริงซะทีเถอะย่ะ ว่าผู้หญิงที่พี่ลมรักไม่ใช่ฉัน และไม่ใช่เธอ แต่เป็นคุณกะทิ"
ชองแตลโกรธจัด ร้องกรี๊ดแล้วพุ่งเข้าผลักพัชนีจนเซ
"อ้าว เตือนกันดีๆแล้วมาทำอย่างนี้ คิดว่าฉันจะยอมเหรอนังฝรั่งหน้าวอก"
ชองแตลทนไม่ไหวโดดเข้าตบพัชนีทันที มีหรือพัชนีจะยอมถูกตบฝ่ายเดียว ทั้งคู่จึงฟ้อนเล็บกันนัวเนีย ไม่ฟังเสียงห้ามของทิชากรแม้แต่น้อย จนกระทั่งวายุภัคผ่านมาเห็น นั่นแหละสองสาวถึงยอมหยุด
ทิชากรปราดเข้าไปดูพัชนีอย่างห่วงใย ส่วนวายุภัครีบลากชองแตลออกไปอีกทาง
"ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะลม ฉันจะไปตบยายมิ้งค์" ชองแตลตะโกนโหวกเหวก
"ใจเย็นๆก่อนได้ไหมชองแตล คุณจะไปมีเรื่องกับน้องมิ้งค์ทำไม"
"ก็เพราะว่ามันสาระแนเข้ามาปกป้องยายกะทิน่ะสิ"
วายุภัคชักสีหน้าไม่พอใจทันทีเมื่อชองแตลพูดถึงทิชากรในทางไม่ดี ชองแตลเห็นหน้าวายุภัคก็ยิ่งไม่พอใจ
"ทำไมคะ ฉันแตะต้องเด็กใหม่ของคุณไม่ได้เลยหรือคะ ฉันเข้าใจนะคะว่าผู้ชายอย่างคุณคงคิดว่ายายเด็กนั่นสดใหม่บริสุทธิ์เลยอยากจะลิ้มลอง แต่ฉันจะเตือนเอาไว้นะคะว่าบางทีเธออาจจะกำลังเสแสร้งแกล้งทำ แต่จริงๆผ่านศึกมาอย่างโชกโชนแล้วก็ได้"
วายุภัคโกรธจัดคว้าแขนของชองแตลบีบอย่างแรง
"อย่าพูดถึงกะทิอย่างนี้นะชองแตล ผมรักกะทิจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าเธอเป็นแค่ของเล่น และผู้ชายอย่างผมก็พร้อมจะหยุดที่เธอคนเดียวด้วย"
"แล้วคุณจะเอาฉันไปไว้ไหนคะลม"
"เรื่องของเรามันจบไปนานแล้วชองแตล และมันจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้วด้วย"
ชองแตลระเบิดอารมณ์ทุบตีวายุภัคพลางร้องไห้โวยวายอย่างรับไม่ได้
"ไม่จริง! ฉันไม่เชื่อ! คุณบอกว่าคุณรักมัน แต่เดี๋ยวอีกไม่นานคุณก็ต้องเบื่อมัน เหมือนที่คุณเคยเบื่อฉัน เบื่อผู้หญิงคนอื่นๆ"
"แต่คุณต่างหากที่เป็นฝ่ายทิ้งผมไปมีคนใหม่"
ชองแตลหยุดกึกแล้วบีบน้ำตาออดอ้อน "ตอนนั้นฉันทำผิดไปแล้ว คุณให้อภัยฉัน แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่ไม่ได้เหรอคะ"
"ผมให้อภัยคุณไปแล้วชองแตล ไม่อย่างงั้นเราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แต่เราจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม"
"ไม่จริง...คุณโกหกฉัน คุณยังรักฉันอยู่" ชองแตลกรีดร้องอย่างสติแตก
"ใจเย็นๆสิชองแตล แล้วฟังผมให้ดีนะ ว่าผมไม่ได้รักคุณแล้ว ผมรักคุณกะทิ และจะไม่มีวันเลิกรักเธอด้วย" เขาพูดขาดคำ ชองแตลก็ตบหน้าเขาเต็มแรง
"ได้...ในเมื่อคุณโง่เห็นนังเด็กผู้หญิงกะโปโลคนนั้นดีกว่าฉันก็เรื่องของคุณ งั้นต่อไปนี้เราขาดกัน เชิญคุณไปหาที่ปรึกษาที่อื่นก็แล้วกัน ต่อไปนี้ฉันจะไม่มาเหยียบที่เมืองไทยนี่อีกแล้ว"
ชองแตลสะบัดหน้าจากไป วายุภัคส่ายหน้าเหนื่อยใจก่อนจะหันกลับไปหาทิชากรกับพัชนีที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว พอรู้ว่าชองแตลจะกลับฝรั่งเศสแน่ๆ พัชนีดีใจจนร้องไชโย แล้วเผลอเกาะแขนวายุภัคแน่น แต่พอรู้สึกตัวก็รีบบอกทิชากรว่าไม่ต้องห่วง ต่อไปนี้เธอจะคิดกับวายุภัคแค่พี่ชายเท่านั้น เพราะเธอเหนื่อยที่จะต้องวิ่งตามผู้ชายที่เขามีคน
รักที่น่ารักอยู่แล้ว
ทิชากรเขินอาย...กลบเกลื่อนด้วยการเดินหนี วายุภัครีบก้าวตาม ถามเธอว่าจะไปไหน เธอบอกว่าเธอหายมานานแล้ว ป่านนี้พ่อเป็นห่วงแย่แล้ว และเธอก็ไม่อยากให้พ่อผิดหวังเพราะจับได้ว่าเธอไม่ได้ไปหาข้อมูลเขียนนิยาย
"ถ้างั้นผมจะกลับไปที่บ้านกับคุณ ผมจะไปคุยกับคุณพ่อคุณให้รู้เรื่องว่าผมรักคุณจริงๆ และผมก็ต้องการจะแต่งงานกับคุณด้วย เราสองคนจะได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆกันอยู่อย่างนี้"
"แต่ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันยังไม่พร้อม"
"ทำไมล่ะกะทิ คุณบอกผมสิว่าทำไมคุณถึงยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับผม" เขารุกเร้าพร้อมกับจับแขนเธอเขย่า
"ปล่อยฉันเถอะค่ะคุณลม คุณอย่าทำให้ฉันลำบากใจอีกเลยนะคะ ฉันขอร้อง"
วายุภัคสุดเศร้า จำต้องปล่อยเธอเดินจากไป พอทิชากรเดินกลับไปถึงบ้านพัก เธอรู้สึกเหนื่อยๆและไออยู่สักครู่ ก่อนที่ทิพย์จะถือถาดใส่ยาและแก้วน้ำเข้ามาหา
"กลับมาแล้วหรือลูก กินยาก่อนนะจ๊ะ"
กินเสร็จ ทิชากรชวนแม่กลับบ้าน อ้างว่าเธอคิดถึงบ้านเต็มแก่แล้ว แต่คนเป็นแม่มองหน้าลูกสาวอย่างรู้ทัน
"แน่ใจนะลูกว่าคิดถึงบ้าน ไม่ได้อยากจะหนีอะไรที่นี่" ทิชากรอึ้งไปทันที "กะทิ แม่ว่าคุณลมเขาก็ดูรักลูกดีออกนะ ทำไมลูกถึงต้องใจแข็งกับเขาด้วยล่ะจ๊ะ หรือว่าเป็นเพราะพ่อเรา"
"ไม่ใช่หรอกค่ะแม่ แต่กะทิกลัวค่ะแม่ ถ้าวันหนึ่งลูกเมียเขากลับมา กะทิจะทำยังไง กะทิไม่อยากเสียใจค่ะแม่"
พูดจบเธอก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทิพย์โอบกอดลูกไว้กับอกด้วยความสงสารจับใจ สักพักหนึ่งทิพย์ก็กลับออกไป ทิชากรล้มตัวลงนอนลืมตาโพลงอย่างใช้ความคิดเฝ้าถามตัวเองว่าจะทำยังไงดีเธอถึงจะแน่ใจในตัววายุภัคได้สักที ทันใดเสียงมือถือของเธอดังขึ้น เธอหยิบมันมาดูหน้าจอก่อนกดรับด้วยความดีใจสุดๆ เพราะคนที่โทร.มาคือปิ่นมุกนั่นเอง
เช้าขึ้นทิชากรบอกข่าวดีนี้กับแม่เป็นคนแรก "แม่คะ ตอนนี้กะทิรู้แล้วว่าคุณปิ่นมุกอยู่ที่ไหน"
"ถ้างั้นจะรออะไรอยู่ล่ะลูก ในเมื่อเรื่องผู้หญิงที่ชื่อปิ่นมุกทำให้ลูกไม่เชื่อมั่นในตัวคุณลม งั้นลูกก็ไปทำให้ตัวเองแน่ใจสิจ๊ะ ว่าตกลงแล้วคุณลมเป็นคนยังไงกันแน่"
"แล้วพ่อล่ะคะ"
"ไม่ต้องห่วงจ้ะ รายนั้นเดี๋ยวแม่จัดการเอง"
ทิชากรยิ้มออกทันที สีหน้าและแววตาเธอมุ่งมั่นมาก
ooooooo
แล้วความจริงก็ปรากฏ เมื่อทิชากรตัดสินใจพาวายุภัคไปที่บ้านปิ่นมุก ที่แท้พ่อของลูกปิ่นมุกคือภานุไม่ใช่วายุภัค ภานุเจ้าชู้และชอบสอยผู้หญิงที่เลิกรากับวายุภัคมาเป็นกิ๊ก ทีแรกปิ่นมุกคิดว่าภานุจะจริงจังกับเธอ แต่เขาเจ้าชู้ไม่ต่างจากวายุภัคและยังซาดิสต์อีกต่างหาก เธอจึงหนีไปไม่ให้เขารู้ว่าเธอท้องกับเขา อีกทั้งไม่ยอมรับเขาเป็นพ่อของลูกอีกด้วย
แต่มาถึงวันนี้ พ่อของเธอสร้างความเดือดร้อนให้วายุภัคเพราะความเข้าใจผิด พ่อจ้างหมอไสยดำเล่นงานวายุภัค เธอกับพ่อจึงกราบขอโทษวายุภัคต่อหน้าทุกคน ส่วนภานุโดนวายุภัคไล่ออกจากไร่ไปแทบไม่ทัน ขณะที่พันทิวาก็ไม่ให้อภัยภานุ เธอตัดขาดและตัดใจจากเขาแล้วขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ทำงานที่ไร่แห่งนี้ต่อไป
เมื่อพ้นข้อกล่าวหา ทิชากรจึงรักวายุภัคได้อย่างเต็มหัวใจ แต่อุปสรรคความรักของเขาและเธอยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะไกรฤทธิ์ยังมีท่าทางหวงลูกสาวอยู่มาก ถึงขนาดว่าจะพาทิชากรกลับบ้าน แต่แล้วระหว่างนั้นหมอไสยดำที่ยังไม่เลิกอาฆาตไกรฤทธิ์ก็สั่งให้นางโหงพรายมาจัดการ ไกรฤทธิ์จึงต้องอยู่ที่ไร่ต่อเพื่อทำพิธีจัดการกับหมอไสยดำ
ศึกระหว่างไกรฤทธิ์กับหมอไสยดำเกิดขึ้นท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของทุกคน หมอไสยดำส่งควายธนูมาจัดการไกรฤทธิ์ แต่ก็พลาดทำให้วิชาเข้าตัวจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ด้วยความเป็นคนดีมีศีลธรรม ไกรฤทธิ์จึงช่วยหมอไสยดำเอาไว้แม้จะต้องแลกกับการที่วิชาไสยขาวในตัวจะเสื่อมไปก็ตาม และนอกจากนี้ไกรฤทธิ์ยังช่วยปลดปล่อยให้นางโหงพรายเลิกอาฆาตหมอไสยดำแล้วไปเกิดได้อีกด้วย หมอไสยดำซึ้งในบุญคุณของไกรฤทธิ์จึงกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีตั้งแต่นั้นมา
แต่จากการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ทำให้ไกรฤทธิ์บาดเจ็บด้วยเหมือนกัน วายุภัคจึงฉวยโอกาสนี้มาดูแลปรนนิบัติว่าที่พ่อตาอย่างสุดใจขาดดิ้น ไม่ว่าไกรฤทธิ์อยากจะกินอะไร วายุภัคก็หามาให้อย่างรวดเร็วทันใจ แถมยังบีบนวดเอาใจสารพัด ทำให้ไกรฤทธิ์เริ่มจะใจอ่อนยอมรับในตัววายุภัค
ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะลงเอยด้วยดี แต่แล้วก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น เมื่อพิษสัตว์ร้ายที่ยังค้างอยู่ในร่างกายของทิชากรกำเริบขึ้นมาในวันที่มีสุริยคราส
"งั้นที่กะทิไออยู่บ่อยๆก็เป็นผลจากพิษสัตว์ร้ายนี้หรือจ๊ะพี่ แล้วสัตว์ร้ายที่ว่ามันเป็นตัวอะไรเหรอ"
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน หนำซ้ำกะทิถูกกัดตอนไหนก็ยังไม่รู้เลยด้วย"
วายุภัคนิ่งคิด แล้วก็นึกได้รีบบอกเล่าให้ทุกคนฟังว่า วันที่เขาตามไปช่วยทิชากรที่ถูกหมอไสยดำทำร้ายในป่าช้า เขาเห็นงูตัวใหญ่กำลังจะรัดทิชากร เขาก็เลยปาสร้อยพระไปที่งู พอมันโดนสร้อยพระมันก็หายไปทันทีเลย
"แล้วทำไมเพิ่งจะมาบอกตอนนี้" ไกรฤทธิ์ตะคอกจนวายุภัคหน้าจ๋อย พูดอ้อมแอ้มว่า
"เอ่อ...ก็ผมคิดว่าคุณลุงช่วยรักษากะทิหายดีแล้ว"
"นี่คุณจะบอกว่าเป็นความผิดผมงั้นเหรอ"
"เปล่านะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น แต่ผมไม่รู้จริงๆว่างูตัวนั้นมันฉกกะทิ แล้วพิษก็ยังอยู่ในร่างของกะทิด้วย"
ไกรฤทธิ์ทำท่าจะเล่นงานวายุภัคอีก ทิพย์จึงห้ามเอาไว้
"พอเถอะพี่ไกร ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเถียงกันว่าใครถูกใครผิดนะจ๊ะ แต่เราควรหาทางช่วยกะทิกันก่อนดีกว่า ฉันว่าท่าทางอาการลูกไม่ดีเลย"
"เราพากะทิไปหาหมอดูไหมครับ เผื่อหมอจะช่วยได้"
"ไม่มีหมอคนไหนช่วยกะทิจากพิษงูมนตร์ดำได้หรอก นอกจากคนที่ทำมัน"
ซึ่งเขาก็คือหมอไสยดำนั่นเอง เมื่อได้รับรู้จากไกรฤทธิ์หมอไสยดำรู้สึกผิดมากแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากบอกวิธีรักษา
"ต้องใช้ว่านพญาลิ้นงูทองเท่านั้น"
"ว่านพญาลิ้นงูทอง...แล้วข้าจะไปหาว่านนั่นได้จากที่ไหน"
"มันอยู่ในป่าลึก ไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า จะต้องใช้จิตที่แน่วแน่ตามหามันเท่านั้น แล้วพอพบก็ต้องสวดมนต์ 999 จบเพื่อให้มันงอกออกมา"
"ถ้างั้นข้าจะรีบเข้าป่าไปหาว่านมารักษาลูกข้า"
"ไม่ได้! มันต้องเป็นคนที่มีดวงผูกกับคนที่โดนพิษเท่านั้นถึงจะหาว่านเจอ"
"แต่ข้าเป็นพ่อของกะทิ ข้าก็ต้องช่วยหาว่านให้ลูกได้สิ"
"ไม่ได้ เอ็งเป็นแค่ผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ได้หมายความดวงชะตาของลูกสาวเอ็งจะผูกพันกับเอ็ง"
"อ้าว...ถ้าอย่างงั้นใครล่ะที่มีดวงชะตาผูกกับกะทิ หรือว่า..." ไกรฤทธิ์พูดออกมาแค่นั้นก็นิ่งอึ้งไปทันที เมื่อนึกไปถึงวายุภัคที่ตัวเองรู้มาตลอดว่าเป็นเนื้อคู่ของทิชากร
ooooooo
"มีแต่คุณลมเท่านั้นที่จะไปหาว่านพญาลิ้นงูทองได้" ทิพย์ซึ่งนั่งอยู่กับวายุภัคอุทานขึ้นมาอย่างแตกตื่นเมื่อไกรฤทธิ์กลับมาบอกเล่าให้ฟัง
"แต่ข้าจะลองไปเอง ข้าไม่อยากฝากชีวิตกะทิไว้ที่คนอื่น"
"แต่หมอไสยดำก็บอกแล้วนี่ครับว่าผมเท่านั้นที่จะช่วยหาว่านให้กะทิได้ ให้ผมเข้าป่าไปหาว่านเถอะนะครับ ในเมื่อผมทำให้กะทิเดือดร้อน ผมก็ขอรับผิดชอบชีวิตของเธอด้วยชีวิต"
"งั้นให้เจ้ารักเจ้ายมไปช่วยหาดีไหมคะ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน"
"ไม่ได้หรอก ว่านพญาลิ้นงูทองไม่ใช่พืชธรรมดาๆ แต่เป็นพืชที่รับรู้ได้ถึงความพยายามของเจ้าของดวงชะตา แล้วถ้าเอาผู้ที่มีฤทธิ์ไปช่วยหา ว่านมันจะไม่งอกขึ้นมา"
"ไม่เป็นไรครับ งั้นผมจะไปคนเดียว ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น และผมก็สัญญาครับว่าผมจะต้องหาว่านมาช่วยกะทิให้ได้ เพราะถ้ากะทิเป็นอะไรไป ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้ยังไงเหมือนกัน"
ทิพย์มองวายุภัคอย่างซาบซึ้ง ส่วนไกรฤทธิ์หันไปมองที่ข้อเท้าของทิชากร บัดนี้มีสีดำลามขึ้นจากรอยจุดสองจุดที่เป็นเขี้ยว ไกรฤทธิ์นิ่วหน้าเครียดแล้วมองหน้าวายุภัคก่อนตัดสินใจ
"ได้...แต่คุณห้ามลืมคำพูดตัวเองเด็ดขาดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณต้องช่วยกะทิให้ได้"
"ครับ" ชายหนุ่มรับคำหนักแน่นแล้วหันไปมองทิชากรที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวบนเตียงด้วยแววตามุ่งมั่น...
แล้ววายุภัคก็รีบร้อนกลับไปเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวเข้าป่า ปฐพีกับอัคนีจะขอไปด้วยเขาก็ไม่ยอม เขากล่าวย้ำอย่างมีอารมณ์ว่างานนี้เขาต้องไปจัดการคนเดียว พ่อกับแม่เห็นท่าทีร้อนรนฉุนเฉียวของวายุภัคแล้วไม่สบายใจ เตือนสติว่า
"ลม...พ่อว่าลมตั้งสติก่อนดีไหมลูก ตอนนี้ลมใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว คนเราถ้าไม่มีสติ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จหรอกนะลูก"
วายุภัคนิ่งไปอย่างได้คิด แต่ตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้
"ผมเป็นห่วงกะทิครับพ่อ ผมกลัวกะทิจะเป็นอะไรไป...แม่ครับ ผมกลัวกะทิตาย" พูดจบชายหนุ่มก็เก็บกลั้นความรู้สึกไม่อยู่ ปล่อยโฮพร้อมกับกอดสุพรรษาแน่น
"ใจเย็นๆลูก ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ลูกของแม่เก่งอยู่แล้ว แม่รู้ว่ายังไงลมก็ต้องช่วยคุณกะทิได้"
"ใช่ๆ แล้วคุณกะทิก็เป็นคนดี ยังไงพระก็ต้องคุ้มครอง เชื่อน้ำสิ...ลมให้น้ำไปเป็นเพื่อนนะลม น้ำเป็นหมอ แล้วก็พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรจากคุณลุงไกรแล้ว น้ำน่าจะช่วยลมได้นะ"
"อย่าดีกว่าน้ำ ยังไงน้ำก็เป็นผู้หญิง ลมไม่อยากต้องคอยเป็นห่วงน้ำ เดี๋ยวจะเสียสมาธิเปล่าๆ"
"งั้นให้ฉันกับไฟเข้าไปเป็นเพื่อนนะ เราเป็นแฝดกันนะโว้ย ขนาดตอนไปลุยที่ปารวัตร เรายังไปลุยด้วยกันเลย"
"นั่นสิ เราสามคนลุยกันมาแล้วทั่วทุกสารทิศ แล้วมาตอนนี้พวกฉันจะปล่อยให้แกไปลุยคนเดียวได้ไง ไม่มีทาง"
"ไม่ต้องหรอกดิน ไฟ ฉันอยากเข้าไปหาว่านมารักษากะทิให้เร็วที่สุด แล้วคุณลุงไกรบอกว่าจะหาว่านได้ต้องใช้สมาธิสูงมาก ถ้าฉันเข้าไปคนเดียวน่าจะมีสมาธิมากกว่า แล้วก็เร็วและคล่องตัวกว่าด้วย อย่าลืมนะว่า...เวลาทุกนาทีมีค่ากับชีวิตของกะทิ"
ทุกคนมองหน้ากันอย่างหนักใจก่อนจะพยักหน้าจำใจยอม
"ถ้างั้นแม่ก็อวยพรขอให้ลมตามหาว่านมารักษาหนูกะทิให้ได้ แล้วก็กลับมาอย่างปลอดภัยนะลูกนะ แม่กับทุกๆคนจะรออยู่ที่นี่"
"ขอบคุณครับแม่" วายุภัคพนมมือไหว้แม่...แล้วแม่ลูกก็กอดกันกลม คนอื่นๆพลอยเข้ามากอดด้วยความเป็นห่วงวายุภัคที่ต้องเดินทางคนเดียว
เมื่อเตรียมพร้อมทั้งกายใจและสัมภาระแล้ว วายุภัคก็สะพายเป้มาหาไกรฤทธิ์กับทิพย์ที่บ้านพัก
"ผมพร้อมแล้วครับคุณลุง"
ไกรฤทธิ์พยักหน้ารับแล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ชายหนุ่ม
"นี่เป็นบทสวดมนต์ที่คุณต้องสวดให้ครบ 999 จบ ว่านพญาลิ้นงูทองถึงจะงอกขึ้นมา แล้วจำเอาไว้ว่าคุณต้องมุ่งหน้าไปทางเหนือเท่านั้นและต้องมีจิตใจที่นิ่งสงบ คุณถึงจะหาว่านพญาลิ้นงูทองเจอ และที่สำคัญ...คุณต้องเอาว่านพญาลิ้นงูทองกลับมาให้เร็วที่สุด"
"ครับคุณลุง แต่ก่อนผมจะไป ผมขออะไรอย่างได้ไหมครับ"
วายุภัคขออนุญาตเข้าไปหาทิชากรในห้อง ซึ่งเธอยังนอนนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงเหมือนเดิม เขาเดินเข้ามานั่งลงข้างเตียงแล้วจับมือเธอขึ้นมาอย่างทะนุถนอม
"กะทิ...ผมสัญญาว่าผมจะต้องพาคุณกลับมาให้ได้ คุณรอผมนะ"
วายุภัคจูบมือเธอแผ่วเบา...แล้วออกเดินทางด้วยใจที่มุ่งมั่นตั้งใจเกินร้อย...
หลังจากวายุภัคออกเดินทางไปได้สักพักใหญ่ๆ ทิพย์ธาราก็แวะมาดูอาการทิชากร พร้อมด้วยปฐพีและอัคนีที่ตามมาด้วยความเป็นห่วง สามคนพี่น้องเข้ามาเจอไกรฤทธิ์กับทิพย์นั่งหน้าหมองเฝ้าดูลูกสาวคนเดียว ต่างก็รู้สึกหดหู่และสงสาร
"น้ำขอตรวจคุณกะทิหน่อยนะคะ"
"เชิญค่ะ" ทิพย์ลุกขึ้นให้ทิพย์ธารานั่งแทน และขณะที่ทิพย์ธาราตรวจร่างกายทิชากร ทิพย์ถามปฐพีและอัคนีว่า
"คุณลมติดต่อกลับมาบ้างหรือยังคะ"
"ยังเลยครับ แต่คิดว่าในป่าคงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์น่ะครับ"
"แต่คุณป้าคุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ลมเตรียมตัวอย่างดีแล้ว ผมไม่เคยเห็นลมตั้งใจทำอะไรเท่านี้มาก่อน ยังไงลมก็ต้องหาว่านพญาลิ้นงูทองมารักษาคุณกะทิได้แน่ๆ"
ทิพย์กับไกรฤทธิ์พยักหน้ารับ แต่สีหน้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ขณะเดียวกันในบ้านอดิศวร สุพรรษากับมนตรีกำลังสวดมนต์ให้คุณพระคุณเจ้าและเจ้าป่าเจ้าเขาช่วยคุ้มครองวายุภัค ส่วนบริเวณหน้าศาลเจ้าที่ เสกและบรรดาคนงานในไร่ก็แห่กันมาจุดธูปกราบไหว้ภาวนาด้วยเช่นกัน
ooooooo










