ตอนที่ 8
กำลังเดินกลับที่พักก็มีเหตุให้ทิชากรสะดุ้งตกใจ เมื่อพันทิวาถูกเหวี่ยงออกมาจากห้องหนึ่งด้วยฝีมือของภานุ หลังจากเขาตบตีทำร้ายเธอจนปากคอแตก แต่ทิชากรซักถาม พันทิวากลับพูดเข้าข้างและปกป้องภานุเสียนี่
นากรีแอบดูอยู่มุมหนึ่งเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก พอทิชากรเหลือบเห็นจึงเดินมาหา นากรีไม่พูดอะไรมาก นอกจากบอกว่า "นี่แหละน้า...ที่เขาว่าความรักมันทำให้คนตาบอดสมองบวมจริงจริ๊ง" พูดเสร็จก็กลับไปเม้าท์ต่อให้โบพากับจันทูฟังว่าภานุตบตีทำร้ายพันทิวาอีกแล้ว ทิชากรตามมาได้ยิน จึงเรียกนากรีออกมาซักถามเป็นการส่วนตัว
"คุณนุเขาทำร้ายคุณพั้นช์อย่างนี้มานานแล้วเหรอนากรี"
"ค่ะ...อู๊ย คุณกะทิยังไม่รู้อะไร เห็นคุณนุท่าทางหงิมๆ สุภาพๆอย่างงั้นใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะคะ ทั้งเจ้าชู้ไม่แพ้คุณลม... เอ่อ...คุณลมสมัยก่อนน่ะค่ะ ทั้งชอบลงไม้ลงมือ นี่ถ้าหนูเป็นคุณพั้นช์นะคะ หนูไม่รักคนอย่างงั้นให้เสียเวลาหรอกค่ะ"
ทิชากรนิ่งอึ้งก่อนจะกลับออกไปอย่างไม่สบายใจ แล้วไปบ่นกับพี่รักพี่ยมว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ สองผู้ช่วยนึกว่าหมายถึงวายุภัค ทิชากรจึงปฏิเสธทันที
"ไม่ใช่หรอกจ้ะ...เออ พี่รักพี่ยม กะทิรบกวนช่วยไปดูรอบๆไร่ให้หน่อยสิจ๊ะ กะทิกลัวหมอไสยดำจะปล่อยของอะไรเข้ามาในนี้อีก"
"ได้สิกะทิ เออ แล้วกะทิหาสร้อยกระพรวนเจอหรือยัง"
"ยังเลยจ้ะ แต่ถ้าหาไม่เจอก็ช่างมันเถอะจ้ะ ตอนนี้กะทิมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าเยอะเลย"
"งั้นเราไปก่อนนะ มีอะไรก็ส่งกระแสจิตเรียกก็แล้วกัน" พูดจบยมก็กระโดดหายตัวไปพร้อมกับรัก ส่วนทิชากรชะเง้อมองไปนอกหน้าต่าง รอคอยการมาของวายุภัคอย่างใจจดใจจ่อ
แต่รอจนเช้าเขาก็ไม่มา หนำซ้ำตอนเช้ามืดเธอก็ฝันร้ายเห็นหมอไสยดำจะมาเอาชีวิตเขาอีก เธอจึงกระวนกระวายเป็นห่วงเขาอย่างมาก แต่ไม่ทันจะออกจากบ้านไป ก็พอดีพ่อโทร.มาหา บอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดี เมื่อคืนพ่อเข้าฌานแล้วเห็นลูกกับไอ้หนุ่มคนนั้นกำลังมีเคราะห์ นั่นยิ่งทำให้ทิชากรตกใจมาก ถามอย่างร้อนรนว่า
"พ่อเห็นอะไรเหรอจ๊ะ"
"พ่อเห็นแต่เงาดำทะมึนล้อมรอบพวกเอ็งอยู่ พ่อเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทางที่ดีวันนี้ทั้งวันพวกเอ็งห้ามออกไปไหน และต้องสวดมนต์ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงหกโมงเย็น พวกเอ็งถึงจะรอด แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้เห็นทีว่าเอ็งหรือไม่ก็พ่อหนุ่มคนนั้นคงสิ้นบุญกันก็คราวนี้"
ฟังคำพ่อแล้ว ทิชากรไม่รอช้า มุ่งหน้าไปโรงบ่มไวน์ ซึ่งวายุภัคกับชองแตลยังอยู่ข้างใน เสกเดินหาวออกมาเจอเธอพอดี เสกทั้งห้ามทั้งขอร้องไม่ให้เธอเข้าไป แต่เธอไม่สนใจวิ่งพรวดเข้าไป โดยมีเสกไล่หลังมาติดๆ
"คุณลม คุณต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้นะคะ"
"ไปไหนล่ะคุณ ผมเพิ่งใส่ยีสต์ลงไปในน้ำองุ่นเอง"
"พ่อฉันโทร.มาบอกว่าคุณกับฉันกำลังจะมีเคราะห์ คุณต้องรีบไปสวดมนต์ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงหกโมงเย็น คุณถึงจะปลอดภัย รีบไปกันเถอะนะคะ"
"ผมทิ้งงานไปไม่ได้หรอกกะทิ ผมกำลังผสมไวน์ขั้นสุดท้าย ขั้นตอนนี้สำคัญซะด้วย"
"ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของคุณหรอกนะคะ นะคะๆ คุณลม"
"แต่คุณลมเป็นไวน์เมกเกอร์ของไร่ ไวน์ที่เขากำลังทำอยู่อาจเป็นไวน์ที่ได้รับรางวัลในอนาคตก็ได้ คุณไม่ควรมาขัดขวางขั้นตอนสำคัญที่กำหนดอนาคตของลมนะคะ"
ทิชากรชักสีหน้าไม่พอใจใส่ชองแตล "แต่คุณลมมีแค่ชีวิตเดียว ถ้าเขาไม่ไปกับฉัน เขาอาจไม่มีโอกาสเห็นไวน์ของเขาได้รับรางวัลในอนาคตก็ได้...ไปกับฉันนะคะคุณลม"
"ผมไม่ไป" วายุภัคโพล่งขึ้นมาจนทิชากรชะงัก "ชองแตลพูดถูก ผมเป็นเจ้าของไร่และเป็นไวน์เมกเกอร์ งานของผมเป็นผลจากการทำงานมาตลอดทั้งปีของทุกคน ถ้าผมทิ้งมันไป ทุกสิ่งที่พวกเขาทำมาก็จบกัน"
"แต่คุณจะยอมตายเพื่อน้ำองุ่นพวกนี้เหรอคะ"
"ใช่ ผมยอมตายเพื่อมัน คุณเข้าใจผมนะกะทิ" เขาจับมือเธอวิงวอน แต่เธอชักมือกลับแล้วตัดพ้อว่า
"ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณไม่รักชีวิตตัวเองบ้างเลย"
วายุภัคยังไม่ทันจะตอบ ชองแตลก็ขัดขึ้น "คุณต้องเข้าใจนะคะลม คุณกะทิไม่ได้อยู่ในวงการไวน์เหมือนเรา คงยากที่เธอจะเข้าใจ"
"ตอนนี้คุณยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอกกะทิ แต่วันข้างหน้าคุณก็จะรู้เองว่าทำไมไวน์พวกนี้ถึงสำคัญกับผมมาก"
"ใช่ค่ะ ฉันมันไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง สิ่งเดียวที่ฉันเข้าใจคือฉันไม่เคยเห็นอะไรสำคัญไปกว่าคุณเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันรู้ว่าคุณตกอยู่ในอันตราย ฉันยังไม่เคยลังเลที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อคุณเลย งานก็ไม่ได้ทำ บ้านก็ไม่ได้กลับ เพียงเพื่อดูแลผู้ชายงี่เง่าแบบคุณ ฉันมันโง่ไปเองจริงๆ"
พูดเสร็จทิชากรวิ่งร้องไห้ออกไปทันที วายุภัคจะวิ่งตามแต่ถูกชองแตลดึงแขนเอาไว้
"คุณยังมีงานค้างอีกเยอะนะคะลม อย่าลืมสิคะว่าคุณมีไร่ มีคนงานที่ต้องดูแลอีกหลายชีวิต ผู้หญิงคนนั้นรอคุณได้ แต่น้ำองุ่นพวกนี้รอคุณไม่ได้นะคะ"
วายุภัคลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมกลับไปทำงานต่อ จึงไม่เห็นรอยยิ้มสาแก่ใจของชองแตล ส่วนทิชากรวิ่งร้องไห้กลับออกมาเรียกหาพี่รักพี่ยมและท่านเจ้าที่ พอทั้งสามปรากฏตัวและเห็นน้ำตาของเธอ ต่างพากันสงสัยว่าเธอร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรให้
"กะทิไม่ได้เป็นอะไรหรอกจ้ะ"
"แล้วแม่หนูเรียกพวกเรามาทำไมล่ะ"
"กะทิอยากจะให้ทุกคนช่วยดูแลคุณลมแทนกะทิให้หน่อย อย่าละสายตาจากเขาแม้แต่วินาทีเดียวเลยนะจ๊ะ เขากำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่รู้ว่าไอ้หมอผีนั่นจะเล่นเขาเมื่อไหร่"
"แล้วแม่หนูจะไปไหน"
"กะทิจะไปสวดมนต์อย่างที่พ่อบอกจ้ะ ในเมื่อคุณลมไม่สวด กะทิก็จะสวดให้เขาเอง อย่างน้อยมันก็น่าจะพอบรรเทาเคราะห์ที่จะเกิดขึ้นกับคุณลมไปได้บ้าง"
ทั้งสามพยักหน้าเห็นด้วย แล้วจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน เช่นเดียวกับวายุภัคก็มุ่งมั่นกับการปรุงไวน์ในขั้นตอนสุดท้าย พอเสร็จปุ๊บเขาจะรีบไปหาทิชากร แต่ชองแตลแกล้งสำออยหน้ามืดจะเป็นลม วายุภัคเลยต้องอุ้มเธอไปพักผ่อน
ทิชากรเริ่มสวดมนต์ตั้งแต่ยังไม่เที่ยงอย่างไม่หยุดหย่อน จนป่านนี้จะห้าโมงเย็นแล้วเธอก็ยังไม่เลิกรา จนเมื่อนากรีนำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้เธอ โดยที่นากรีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจดหมายนี้มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อตนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จ่าหน้าซองถึงทิชากร ซึ่งข้อความข้างในระบุว่า ถ้าต้องการช่วยวายุภัคจงมาตามที่อยู่ในแผนที่ก่อนหกโมงเย็น
ทิชากรสีหน้าแตกตื่น ทำให้นากรีสงสัยว่าเธอเป็นอะไร แล้วใครกันที่ส่งจดหมายมา ทิชากรบอกแต่ว่าคนที่ไม่หวังดีกับคุณลม พูดจบเธอก็ผลุนผลันออกไปเพราะใกล้จะถึงเวลาหกโมงเย็น นากรีเห็นท่าจะไม่ดีจึงตัดสินใจไปบอกชะเอมกับอัจจิมา ซึ่งสองสาวกำลังตามหาทิชากรอยู่พอดี
พอรู้ว่าทิชากรรีบร้อนออกจากไร่ไปคนเดียว ชะเอมรีบโทร.เข้ามือถือเธอ แต่พูดคุยกันไม่ทันจะรู้เรื่องสัญญาณก็ขาดหาย เลยไม่รู้ว่าทิชากรจะไปที่ไหนกันแน่
"ชะเอมว่าท่าทางจะไม่ดีแล้วค่ะ"
"หนูเห็นด้วยค่ะ เพราะหนูได้ยินคุณกะทิเธอพูดว่าใกล้เวลาอะไรสักอย่างด้วยนะคะ" นากรีให้ข้อมูลเพิ่มเติม อัจจิมากับชะเอมนิ่วหน้าไม่สบายใจ จังหวะนี้เองปฐพีกับอัคนีก็ยิ้มหวานเข้ามาหาพวกเธอ ส่วนวายุภัคยังคงดูแลชองแตลที่สำออยไม่เลิก จนรักยมที่เฝ้าอยู่กับท่านเจ้าที่ตามคำสั่งทิชากรรู้สึกหมั่นไส้ชองแตล นึกอยากจะแกล้งซ้ำซะให้เข็ด
พลันรักยมก็แตกตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของไกรฤทธิ์ซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน ตรงหน้ามีขันน้ำมนต์ใบเขื่อง สักครู่ใบหน้าของรักยมก็ลอยอยู่เหนือน้ำมนต์ในขัน
"พ่อไกรเรียกเราทำไมเหรอจ๊ะ"
"พวกเอ็งมัวทำอะไรอยู่ ไม่รู้หรือไงว่ากะทิกำลังตกอยู่ในอันตราย"
"หา! แล้วตอนนี้กะทิอยู่ที่ไหนจ๊ะ"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไอ้หมอไสยดำมันเอาของรักของกะทิไปทำพิธีปิดทางดำน่ะสิ ข้าถึงมองไม่เห็นกะทิเลย"
"แล้วเราจะทำยังไงกันดีจ๊ะพ่อ"
"ข้าจะพยายามเพ่งกระแสจิตถึงกะทิต่อไป...เพราะความดื้อดึงของมันคนเดียว ลูกข้าถึงต้องอยู่ในอันตราย คอยดูนะ ถ้าลูกข้าเป็นอะไร ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมันเลย" ไกรฤทธิ์ ขบกรามแน่นด้วยความโมโหวายุภัค
ในขณะเดียวกันนั้น พวกอัจจิมาชักแถวมาหาวายุภัค ...หลังฟังทุกคนบอกเล่าเรื่องราวจบลง และตัวเองก็นึกถึงคำพูดทิชากรเมื่อวาน วายุภัคตกใจและรู้สึกผิดมากๆ
"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะลม เพราะเมื่อวานคุณกะทิ เมียฉัน แล้วก็คุณชะเอมแปลงร่างเป็นนักสืบสาวตามล่าหาไอ้หมอผีที่ทำร้ายแก แต่เกือบจะไปดวลปืนกับไอ้พวกลูกน้องกำนันทองแทน ฉันว่าบางทีไอ้พวกลูกน้องกำนันทองอาจจะคิดเล่นงานคุณกะทิก็ได้"
ขาดคำของอัคนี วายุภัคลุกพรวดขึ้นทันที ชองแตลที่เมื่อกี้นอนซมผวาขึ้นมาคว้าแขนเขาไว้ ถามว่าจะไปไหน?
"ผมจะไปตามหากะทิ ผมจะไม่ยอมให้กะทิเป็นอะไรไปเด็ดขาด"
"แล้วคุณรู้เหรอคะว่าคุณกะทิไปที่ไหน เรารอให้เธอกลับมาที่นี่เองดีกว่านะคะลม อย่าลืมสิคะว่าคุณยังหมักไวน์ไม่เสร็จสมบูรณ์เลยนะคะ"
"ไวน์ที่ไหนก็ไม่มีความสำคัญกับผมไปกว่ากะทิหรอกชองแตล" พูดจบ วายุภัคเดินออกไปอย่างเร่งรีบจนกลุ่มของอัคนีก้าวตามแทบไม่ทัน
ooooooo
จดหมายลึกลับที่ได้รับทำให้ทิชากรรีบร้อนไปยังป่าช้าร้างเพียงลำพังด้วยความเป็นห่วงวายุภัค แต่กลับพบหมอไสยดำที่รอคอยจะฆ่าเธอเพื่อเอาวิญญาณมาเป็นทาสรับใช้
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ เธอนึกถึงคำสอนของบิดาให้สวดมนต์ เธอจึงทำตาม อานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยและสร้อยพระศักดิ์สิทธิ์ของพ่อจึงช่วยเธอให้รอดชีวิต แต่ก็หมดสติเพราะถูกงูพิษจากวิชาอาคมของหมอไสยดำกัดเข้าที่ข้อเท้าโดยไม่มีใครรู้เห็น นอกจากวายุภัคที่ตามมาทันเห็นว่ามีงูใหญ่ใกล้ๆร่างทิชากร แต่แล้วมันก็หายวับไปเมื่อเขาหยิบสร้อยพระของทิชากรที่ตกอยู่ขว้างใส่
วายุภัครู้สึกผิดอย่างมากที่เขาไม่เชื่อทิชากรแต่แรกที่ให้สวดมนต์ แถมเขายังมาช้าไปอีก หลังจากไปเสียเวลาอยู่ที่บ้านกำนันทอง แต่เขาก็เค้นความจริงจนได้ว่ากำนันทองไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ และเรื่องที่จ้องเล่นงานเขาด้วยคุณไสย แต่ยอมรับว่าได้ให้ลูกน้องสะกดรอยตามทิชากรจริง
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเครียดเพราะทิชากรอาการหนักและไม่ฟื้นเสียที ไกรฤทธิ์กับภรรยาก็มาถึงโรงพยาบาลอย่างไม่มีใครคาดฝัน ไกรฤทธิ์เปิดฉากต่อว่าวายุภัคที่ไม่เชื่อลูกสาวตน และกีดกันชายหนุ่มตามประสาคนห่วงลูก และทิชากรเองก็อยากจะตัดใจจากวายุภัคเพราะยังคลางแคลงใจเขาเรื่องผู้หญิงที่ชื่อปิ่นมุกอยู่ รวมทั้งชองแตลที่ยังป้วนเปี้ยนนัวเนียเขา และนับวันเธอก็ยิ่งจะแผลงฤทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของเขามากขึ้นด้วย
ไกรฤทธิ์รู้จักหมอไสยดำคนนี้ดี เพราะอดีตเขาเคยกำราบมันมาแล้ว แต่มันก็ยังจะใช้อวิชาทำร้ายผู้คนอยู่อีก ที่สำคัญครั้งนี้มันทำร้ายทิชากรลูกสาวของเขา ทำให้เขาโกรธแค้นมันมากและจะต้องจัดการกับมันขั้นเด็ดขาดอีกครั้ง แต่เวลานี้เขาต้องช่วยลูกสาวให้ได้ก่อน
ไกรฤทธิ์ใช้วิชาอาคมรักษาทิชากรจนปลอดภัยสามารถเดินเหินได้ตามปกติ จะเหลือก็แต่อาการไอที่ยังมีบ้างเป็นระยะ แต่ถึงกระนั้นพอออกจากโรงพยาบาล มนตรีกับสุพรรษาก็ขอร้องให้สามคนพ่อแม่ลูกมาพักที่บ้านของพวกตนก่อน เพื่อดูอาการของทิชากรอีกสักระยะ
ตอนแรกไกรฤทธิ์ทำท่าจะไม่ยอมอยู่ แต่พอถูกทิพย์ธาราอ้อนขอเรียนวิชาตำราแพทย์แผนไทยเพื่อนำกลับไปช่วยเหลือประชาชนชาวปารวัตร เขาจึงยอมในที่สุด ฝ่ายชองแตลก็เสแสร้งแกล้งทำดีกับทิชากร แสดงความห่วงใยและดีใจด้วยเมื่อทิชากรอาการดีขึ้น พร้อมกันนี้เธอก็แกล้งออดอ้อนวายุภัคต่อหน้าทิชากรและพ่อแม่ ทำให้ไกรฤทธิ์ยิ่งไม่ชอบขี้หน้าวายุภัคที่ยังมีหญิงอื่นมาเกาะแกะ
วายุภัคกลุ้มใจมากที่ไกรฤทธิ์ไม่ยอมให้พบหรือใกล้ชิดทิชากรเลย ปฐพี อัคนี ทิพย์ธาราสงสารและเห็นใจจึงสุมหัวคิดหาทางช่วยเหลือ แต่ทั้งนี้วายุภัคต้องจัดการกับรักยมองครักษ์ของทิชากรให้ได้เสียก่อน วายุภัคจึงนำองุ่นและขนมนมเนยจำนวนมากมาให้รักยม
ทั้งคู่เห็นของกินมากมายก็ตื่นเต้น แต่วายุภัคไม่เห็นทั้งคู่ เห็นแต่ว่าขนมลอยขึ้นจากโต๊ะ นั่นแสดงว่าทั้งคู่มาแล้ว รักบ่นกับยมว่า อยู่ดีๆนายลมใจดีอย่างนี้ ต้องมีแผนชัวร์
"พี่รักพี่ยมครับ ของกินบนโต๊ะทั้งหมดนี้ผมให้พี่ๆกินทั้งหมดเลยครับ ถ้าพี่ๆช่วยอะไรผมสักอย่าง"
"นั่นไง ว่าแล้วเชียว" รักตบเข่าฉาด
"คือ...ผมอยากจะขอโอกาสอยู่กับกะทิตามลำพังอีกครั้ง พี่ๆก็เห็นใช่ไหมครับว่าคุณลุงไกรไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้กะทิเลย ผมก็แค่อยากจะคุยกับกะทิ อยากปรับความเข้าใจกับเธอแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง แล้วผมก็รับรองเลยนะครับว่าคุณลุงไกรจะไม่รู้เรื่องนี้แน่นอนนะครับพี่ๆ
รักท่าทีลังเล หันมาปรึกษายมว่าจะเอายังไงดี ยมตอบโดยไม่ต้องคิดมากให้ตกลงไปเลย
"จะดีเหรอยม ถ้าพ่อไกรรู้คงเล่นงานเราตายเลยนะ"
"อ้าว ก็นายลมเขารับปากแล้วว่าจะไม่ให้พ่อไกรรู้เรื่อง ลูกผู้ชายเขาพูดคำไหนคำนั้นรู้ไหมรัก แล้วอีกอย่างขนมพวกนี้ก็น่ากินชะมัดเลย หรือว่ารักไม่อยากกิน"
รักพยักหน้า ยมยิ้มดีใจแล้วเข้าไปกระซิบข้างหูวายุภัคว่าโอเค เท่านั้นเองวายุภัคก็ยิ้มกว้าง กล่าวขอบคุณพี่ๆที่ให้ความร่วมมือ
ooooooo










