ตอนที่ 1
ทิชากรหรือกะทิ เป็นนักเขียนนิยายโรมานซ์ซึ่งมีนามปากกาว่าฮัมมิ่งเบิร์ด แปลงจากความหมายของชื่อจริงที่แปลว่านก นิยายของทิชากรได้รับความนิยมในหมู่นักอ่านเพราะมีบทโรมานซ์หวือหวาเอาใจตลาด แต่ความจริงแล้วเธอยังเวอร์จิ้นและเริ่มจะหมดมุกเลิฟซีนที่จะเขียน
คนที่ได้ยินชื่อฮัมมิ่งเบิร์ดคงจะนึกถึงนักเขียนสาวทรงเสน่ห์เปรี้ยวปรี๊ดเหมือนสำบัดสำนวนของเธอ แต่ตัวตนที่แท้จริงของทิชากรกลับตรงกันข้าม เธอเป็นสาวโบฮีเมียน ขนานแท้ แถมยังชอบทำอะไรโก๊ะๆโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยๆ และสิ่งที่น้อยคนรู้ก็คือเธอเป็นลูกสาวของหมอไกรฤทธิ์ อดีตหมอไสยจอมขมังเวทที่ผันตัวมาเป็นแพทย์แผนโบราณเพราะกลัวบาป ทิชากรซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยพ่อจึงพอมีฝีมืออยู่บ้างทั้งเรื่องไสยขาวและสมุนไพรไทย ทั้งยังชอบทำบุญนั่งสมาธิและธรรมะธัมโมสมกับเป็นลูกรักของพ่อ
ทิชากรกำลังจะเขียนนิยายโรมานซ์ซึ่งเกิดในไร่องุ่น ซาร่า บรรณาธิการสาวประเภทสองของเธอจึงเสนอให้หญิงสาวไปใช้ชีวิตในไร่องุ่นสายลม ซึ่งเป็นไร่องุ่นของรุ่นน้องซาร่า เพื่อหาข้อมูล รวมทั้งเค้นบทโรมานซ์ที่เธอไม่มีประสบการณ์ และเริ่มหมดมุกไปด้วย หารู้ไม่ว่าไกรฤทธิ์ห่วงลูกสาวคนเดียวที่จะต้องจากบ้านไปไกลตามลำพัง เขาจึงให้สร้อยพระกับตะกรุดไป และสั่งรัก-ยมให้ตามไปดูแลเธอ โดยซ่อนขวดรัก-ยมไว้ในช่องเล็กๆของย่ามแขกใบเก่ง
ในวันที่ทิชากรไปถึงไร่องุ่นสายลม เธอประหลาดใจเมื่อเห็นท้องฟ้าเหนือไร่องุ่นเต็มไปด้วยเมฆดำทะมึนปกคลุม ทั้งที่ส่วนอื่นของท้องฟ้าใสกระจ่าง อีกทั้งยังมีความรู้สึกอึดอัดหนักอึ้งอย่างไม่มีสาเหตุ ทำให้เธอรู้โดยสัญชาตญาณของลูกอดีตจอมขมังเวทว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ รวมทั้งรัก-ยมในกระเป๋าก็ออกมายืนยันว่ามีสิ่งผิดปกติ แล้วหญิงสาวก็ได้พบคำตอบหลังจากได้พบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังคลอเคลียนัวเนียสาวเซ็กซี่อยู่ในบ้านอย่างโจ๋งครึ่มไม่อายฟ้าดิน
สิ่งที่ทิชากรเห็นไม่ใช่ความหล่อบาดใจของเขาที่ผู้หญิงทุกคนเป็นต้องหลงใหล แต่เป็นใบหน้าหมองคล้ำเหมือนถูกของและเงาของนางโหงพรายที่เกาะอยู่บนหลังของเขาอยู่ต่างหาก ด้วยจรรยาบรรณของลูกหมอไสยและความตรงไปตรงมาของเธอ ทิชากรจึงเดินเทิ่งๆไปบอกผู้ชายคนนั้น แต่กลับถูกเขาตอกหน้ากลับมาอย่างไม่เชื่อถือ ทำให้เธอโกรธมาก
หนุ่มหล่อปากร้ายคนนั้นก็คือวายุภัคหรือลม หนึ่งในสี่ฝาแฝดตระกูลอดิศวรซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลไร่องุ่นของครอบครัวนั่นเอง วายุภัคมีนิสัยไม่ต่างจากลมเพลมพัด รักง่ายหน่ายเร็ว ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ และมีอารมณ์ศิลปินสูง รักศิลปะ ชอบวาดรูป และฟังเพลงคลาสสิก คนภายนอกอาจเห็นว่าเขายิ้มง่ายกว่าพี่น้องผู้ชายอีกสองคน แต่คนในครอบครัวของเขาต่างรู้ว่าเขาก็ไม่ต่างจากสายลมที่แปรปรวนได้ตลอดเวลา ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาบาดใจราวกับเทพบุตรเดินดินและนิสัยรื่นรมย์ช่างยิ้ม วายุภัคจึงมีสาวมากหน้าหลายตาผลัดเปลี่ยนไปมาอยู่ตลอด แต่เพราะลมไม่เคยหยุดพัด ทำให้เขาไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนได้นานสักคน สาวเซ็กซี่ที่วายุภัคพามาคลอเคลียก็เป็นเพียงหนึ่งในสาวมากหน้าหลายตาของเขาที่อาจถูกเขี่ยได้ทุกเมื่อ
เมื่อต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร วายุภัคกับทิชากรจึงปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวกัน ทิชากรตั้งใจจะกลับบ้านและไปหาข้อมูลในไร่องุ่นอื่นแทน แต่ซาร่าห้ามไว้และเตือนให้เธอเห็นแก่หน้าที่ พร้อมกับลำเลิกบุญคุณวายุภัค ที่เธอเคยกีดกันสาวๆของเขาสมัยที่ชายหนุ่มไปเรียนปริญญาโทด้านการปลูกองุ่นและการทำไวน์ ณ ประเทศฝรั่งเศส ชายหนุ่มจึงไม่อาจปฏิเสธได้ สองคนจึงต้องอยู่ในไร่องุ่นอย่างเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อไป
วายุภัคมีอาการเปลี่ยนไปจากเดิม เขามักได้ยินภาษาแปลกๆ เห็นเงาวูบวาบ ปวดศีรษะและปวดท้องทรมานอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งยังปวดเมื่อยไหล่สองข้าง อารมณ์ฉุนเฉียว คนในครอบครัวและคนงานยังรู้สึกได้ ทิชากรรู้จากท่านเจ้าที่ว่านางโหงพรายถูกหมอไสยคนหนึ่งเสกมาเพราะมีความแค้นกับวายุภัคแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร และเจ้าที่เองก็มีอำนาจน้อยเกินกว่าจะป้องกันได้ ทิชากรจึงพยายามบอกวายุภัค แต่ชายหนุ่มซึ่งไม่เคยเชื่อไสยศาสตร์กลับหาว่าเธอแต่งเรื่องตามสไตล์นักเขียนเพ้อฝัน ยิ่งเขาเห็นทิชากรพูดคนเดียวบ่อยครั้ง เขายิ่งคิดว่าเธอบ้า หารู้ไม่ว่าเธอกำลังคุยกับรัก-ยมให้ช่วยกันหาต้นเหตุของใบหน้าหมองคล้ำและผีร้ายที่ทำร้ายวายุภัค
การมาของทิชากรทำให้เกิดเรื่องราวแปลกประหลาดในไร่จนคนงานพากันเล่าลือ ทั้งเรื่องวิญญาณผีตายโหงกับเด็กหัวจุกสองคน แต่เมื่อขอหวยกลับถูกไปตามๆกัน คนงานจึงชอบให้เด็กจุกทั้งสองอยู่ที่นี่ไปในที่สุด หากสำหรับวายุภัคนั้น เขาหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ต่างจากภานุผู้จัดการไร่องุ่นซึ่งเป็นเพื่อนกับวายุภัคมาตั้งแต่สมัยเรียน ท่าทางภานุพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของทิชากรไม่น้อยเลย
ooooooo
เช้าวันนี้ วายุภัคถูกพ่อแม่ทักถามเรื่องที่เขายังปวดหลังไหล่ ผสมด้วยอาการปวดหัวปวดท้อง อีกทั้งหน้าตาของเขาก็หมองคล้ำ นากรีเสริมขึ้นทันทีว่าหน้าตาแบบนี้ถ้าเป็นแถวบ้านตนเขาเรียกว่าโดนของ วายุภัคฟังแล้วปรี๊ดตวาดนากรีซะจนหน้าซีดจ๋อยไป แต่สุพรรษากลับมีสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมาทันที
"เอ๊ะ หรือว่าลมจะโดนของจริงๆ ไปให้พระพรมน้ำมนต์หน่อยดีไหมลูก"
"ก็บอกแล้วว่าถ้ามันเพลาๆเรื่องผู้หญิงสักหน่อยนะ รับรองหาย ไม่ต้องไปถึงน้ำมงน้ำมนต์อะไรให้วุ่นวายหรอกคุณ"
"นี่คุณ ถ้าลมจะป่วยเพราะเรื่องผู้หญิงอย่างที่คุณว่าล่ะก็ ป่านนี้ลมคงตายไปแล้วล่ะ ทำไมจู่ๆถึงเพิ่งมาป่วย"
"เฮ้ย หรือว่าเอ็งจะติดโรค!" มนตรีอุทานขึ้นมา ทำเอาวายุภัคหน้าตึงหงุดหงิด
"พ่อครับ ผมระวังตัวอย่างดีทุกครั้ง ผมไม่เป็นโรคหรอกครับ แล้วผมก็ไม่ได้โดนของอะไรทั้งนั้น แล้วผมก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย ขอตัวนะครับ ผมจะเข้าไปทำธุระในเมือง"
วายุภัคเดินหน้าตึงออกไปแล้ว พ่อกับแม่มองตามอย่างไม่สบายใจ วายุภัคเดินจ้ำไปที่บ้านพักทิชากร เขาเคาะประตูห้องรัวและแรงจนเสกที่อยู่แถวนั้นรีบเดินเข้ามาหา
"ทำอะไรครับคุณลม"
"จะจัดการคนเพ้อเจ้อสักหน่อย ไม่อยู่ถือว่าโชคดีไป"
เสกทำหน้างงๆ ก่อนจะเดินตามเจ้านายไปที่รถเพื่อไปธุระในเมืองด้วยกัน วายุภัคขับรถเองโดยมีเสกนั่งใจคอไม่ดี เพราะเจ้านายขับรถเร็วมากตั้งแต่ออกจากไร่ แต่ไม่ทันที่รถจะพ้นเขตไร่องุ่น วายุภัคก็ต้องเบรกเอี๊ยดเมื่อทิชากรวิ่งพรวดมาขวางหน้ารถ เพราะเธอเห็นเงานางโหงพรายเกาะอยู่บนหลังคารถ โชคดีที่รักกับยมพุ่งมาขวางและดันรถไว้ ทิชากร จึงรอดพ้นจากการถูกรถชนอย่างหวุดหวิด
แต่นั่นก็ทำให้วายุภัคหัวเสียอย่างหนัก สั่งเสกให้ไปจัดการเรื่องปุ๋ยในเมืองแทน เขามีธุระสำคัญต้องพาเธอคนนี้ไปโรงพยาบาล เสกกับภานุได้แต่มองตามตาปริบๆ เมื่อวายุภัคอุ้มทิชากรยัดใส่รถก่อนขับพรืดออกไปโดยที่เธอดิ้นรนไม่เต็มใจ ส่วนรักกับยมนั้นไล่ตามนางโหงพรายไปแต่ก็จับไม่ได้ แถมยังถูกหลอกล่อให้วิ่งชนกันเองจนเจ็บปวดไปด้วยกัน
วายุภัคไม่ได้ไปโรงพยาบาลแต่ขับรถไปจอดมุมหนึ่งในไร่ เขาลงจากรถเดินปึงปังมาเปิดประตูฝั่งทิชากร บอกให้เธอลงมาได้แล้ว เขามีเรื่องจะคุยด้วย
"ทำไมฉันต้องลง ไหนบอกว่าจะพาฉันไปโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ดีเหมือนกัน เผื่อฉันจะได้ไปถามหมอว่ามียาระงับความบ้าหรือเปล่า"
"ถ้าผมบ้า คุณก็บ้าไม่น้อยไปกว่าผมหรอก...คุณนักเขียน"
เขาไม่พูดเปล่า ก้าวเข้าไปใกล้เธอ เท้าแขนกับเบาะรถ แกล้งมองหญิงสาวตาเป็นประกาย
"จะลงมาคุยกันดีๆหรืออยากจะคุยกันบนรถ เบาะรถผมนุ่มใช้ได้เลยนะ ติดสปริงด้วย"
"บ้า!" หญิงสาวสบถหน้าแดงก่ำ...เห็นเขายังไม่ยอมขยับถอยออกแม้แต่ก้าวเดียวก็มองอย่างหวาดๆ แต่ยังทำเข้มแข็งผลักเขาออก ก่อนที่ตัวเองจะลงมายืนห่างเขา พูดห้วนๆว่า "มีอะไรก็ว่ามา"
"ผมต้องการให้คุณหยุดพูดเพ้อเจ้อในไร่ผมได้แล้ว ผมไม่อยากให้คนงานในไร่ผมเอาเรื่องผีสางเทวดาอะไรของคุณไปพูด ถ้าแขกได้ยินเข้ามันจะไม่ดีกับกิจการรีสอร์ตของผม"
"ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อ ฉันพูดเรื่องจริง และเมื่อกี้ก็มีผีเกาะอยู่บนรถคุณ ถ้าคุณขืนขับออกไป คุณคงไม่ได้ขับกลับมาอีกแน่ๆ"
"คุณกะทิ! ถ้าขืนคุณยังพูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก ผมจะไม่เห็นแก่พี่ซาร่า แต่ผมจะไล่คุณออกไปจากไร่ ไม่ต้องหาข้อมงข้อมูลนิยายอะไรแล้ว"
"ในเมื่อคุณไม่เชื่อคำพูดฉัน แถมยังดูถูกฉันแบบนี้ ฉันจะต้องทำให้คุณเชื่อฉันแล้วก็คลานมาขอโทษฉันให้ได้ แล้วจำเอาไว้ว่าฉันจะไม่ไปไหน จนกว่าจะถึงวันนั้น"
"ได้...แต่ถ้าคุณทำให้ผมเชื่อไม่ได้ ไม่ว่าผมจะขออะไร คุณต้องยอมให้แต่โดยดีโทษฐานที่มาสร้างความวุ่นวายให้ไร่ผม ตกลงไหม"
"ตกลง" หญิงสาวตอบหนักแน่นแววตามุ่งมั่นมาก...ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ทำให้ทั้งคู่หันขวับไปมอง
"ลมขา..."
เจ้าของเสียงคือนางแบบสาวหุ่นอวบอึ๋ม เธอวิ่งเข้ามาเกาะแขนและหอมแก้มวายุภัคฟอดใหญ่ "เมย์คิดถึงลมจังเลยค่ะ แล้วนี่ใครคะเนี่ย"
"แขกในไร่น่ะครับ วันนี้ไม่มีเดินแบบเหรอครับ"
"มีค่ะ แต่เมย์อยากมาหาลมมากกว่า"
"น่ารักจัง อย่างนี้ต้องให้รางวัลซะแล้ว" วายุภัคหอมแก้มและไซ้ซอกคอสาวเมย์ พลางเหลือบตามองทิชากรอย่างจงใจ เมย์หัวเราะคิกคัก แต่ทิชากรเบ้หน้าอย่างขยะแขยงแล้วรีบหันหลังเดินบ่นออกไปทันที
"อี๋...ผู้ชายบ้าอะไรก็ไม่รู้ หื่นไม่จำกัดที่ทาง โดนผีรังควานจนหน้าหมองเหมือนคนป่วยยังไม่รู้ตัวอีก...คนบ้า น่าขยะแขยงที่สุด"
วายุภัคสะใจที่แกล้งทิชากรได้ จากนั้นเขาพาสาวเมย์กลับไปนัวเนียคลอเคลียกันต่อในบ้านพัก แต่ขณะกำลังไซ้ซอกคออย่างมีอารมณ์ วายุภัคเห็นหน้าเมย์เน่าเละ เขาผงะตกใจอุทานขึ้นมาจนเมย์งุนงง ถามเขามีอะไร?
วายุภัคเพ่งมองเห็นใบหน้าเมย์เป็นปกติ ก็เลยยิ้มเจื่อนๆ บอกว่าไม่มีอะไร
"งั้นก็ต่อสิคะ" เมย์กระชากคอเสื้อวายุภัคมาจูบ แต่แล้ววายุภัคก็เห็นเธอหน้าเน่าเละอีก เขาร้องลั่นว่าผี พร้อมกับผลักเธอออกอย่างแรงจนล้มก้นกระแทก คราวนี้สาวเมย์เลยของขึ้น ทั้งเจ็บทั้งโกรธตวาดแว้ดใส่เขา
"อะไรกันคะลม มาหาว่าเมย์เป็นผีได้ยังไง"
"ผมขอโทษครับเมย์ เดี๋ยวเราเข้าไปต่อในห้องนอนดีกว่า"
ชายหนุ่มจะประคองหญิงสาว แต่ถูกปัดมือปฏิเสธ บอกว่าวันนี้เมย์หมดอารมณ์แล้ว พูดจบเธอปึงปังออกไปอย่างเสียอารมณ์ เขาเรียกเท่าไหร่เธอก็ไม่หันกลับมา
"ฟังยายเด็กบ้านั่นพูดมากจนเราถึงกับตาฝาดเห็นผีเลยเหรอเนี่ย" วายุภัคบ่นอย่างหงุดหงิด โดยไม่รู้ว่านางโหงพรายนั่งแสยะยิ้มอยู่บนหลังตู้
ooooooo
ในห้องพัก ทิชากรเดินงุ่นง่านไปมาอย่างใช้ความคิด ไม่รู้จะทำอย่างไรดีวายุภัคถึงจะเชื่อเรื่องผีนางโหงพราย แล้วจู่ๆรักยมก็โผล่มา ทิชากรไม่ทันเห็นเลยชนอย่างแรง ทั้งสองล้มใส่กันจนร้องโอ๊ยเสียงดังลั่น ทิชากรตกใจปราดเข้าไปประคอง
"พี่รัก พี่ยม กะทิขอโทษ...อ้าว แล้วนั่นหัวไปโดนอะไรกันมาจ๊ะ ปูดเป็นลูกมะนาวเลย"
"ฝีมือนังผีร้ายน่ะสิ ผีอะไรก็ไม่รู้ เร็วชะมัด"
"กะทิ...กะทิต้องทำให้นายลมเชื่อเราให้เร็วที่สุดนะ เขาจะได้ยอมทำพิธีไล่นางผีโหงพรายออกจากตัว ขืนปล่อยเอาไว้นานๆ มีหวังนายลมไม่รอดแน่ๆ"
"แต่เขาดื้อเหลือเกินนี่จ๊ะ แล้วยังมาหาว่ากะทิพูดจาเพ้อเจ้ออีก กะทิก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน"
"แต่เราก็ต้องหาเกราะป้องกันให้เขานะ อย่างน้อยก็ยังผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ อีกอย่างนังผีร้ายนั่นจะได้ไม่อาศัยจิตของนายลมทำให้มันแข็งแรงอย่างนี้ด้วย"
"แล้วเราจะหาเกราะป้องกันจากที่ไหนล่ะจ๊ะ"
ทิชากรกับพี่รักพี่ยมช่วยกันคิดอ่านครู่หนึ่ง แล้วทิชากรก็นึกขึ้นได้ เธอจับสร้อยพระที่คอซึ่งพ่อให้มา และนึกถึงคำสอนของพ่อ "จำเอาไว้ว่าบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยคืออำนาจที่จะคุ้มครองเอ็งให้พ้นภัย"
คิดได้ดังนั้นแล้ว ทิชากรจึงพยายามจะเอาสร้อยพระสวมใส่คอวายุภัคให้ได้ โดยพี่รักกับพี่ยมก็ช่วยด้วย แต่ความพยายามของเธอก็ล้มเหลว วายุภัครู้ทันและต่อว่าเธอยกใหญ่ ก่อนจะไปหงุดหงิดใส่ปฐพีอีกคนที่เอายาแก้เครียดมาให้ หลังจากปฐพีไปปรึกษาเพื่อนของทิพย์ธาราที่เป็นหมอ ขณะเดียวกัน อัคนีเองก็เป็นห่วงวายุภัค เขาอุตส่าห์ตามตัวพัชนีลูกสาวของกำนันทองที่ชอบพอวายุภัคมาปรนนิบัติดูแล เผื่อจะช่วยให้วายุภัคสดชื่นและหายจากอาการประหลาดๆ แต่กลายเป็นว่าวายุภัคโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเล่นงานอัคนีบ้านแทบแตก เพราะวายุภัคไม่เคยเสน่หาพัชนีเลยสักนิด
ด้านกำนันทอง เมื่อรู้ว่าลูกสาวไปหาวายุภัคมา เขาไม่พอใจอย่างมาก เตือนแล้วเตือนอีกไม่ให้ไปยุ่งกับคนคนนี้ จนพัชนีสงสัยว่าทำไมพ่อจงเกลียดจงชังเขานักหนา แค่เรื่องเจ้าชู้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย พ่อเองก็ใช่ว่าจะมีแม่คนเดียวซะเมื่อไหร่
"ยัยมิ้งค์...ถ้ามันเจ้าชู้อย่างเดียวพ่อไม่ว่าหรอก แต่นี่มันเลวกว่าที่แกคิดเยอะ"
"อะไรล่ะคะ"
"แกอย่ารู้เลย"
"มิ้งค์ไม่รู้ก็ได้ งั้นมิงค์จะขอสั่งพ่อให้พ่อเลิกอคติกับพี่ลมได้แล้ว เพราะต่อไปพ่อต้องได้ลูกเขยเป็นผู้ชายเจ้าชู้อย่างที่พ่อเกลียดนักเกลียดหนาแน่นอน" พูดเสร็จพัชนีก็สะบัดจากไป ทิ้งให้กำนันทองฮึดฮัดโมโหอยู่คนเดียว
ooooooo
เมื่อใครต่อใครยุ่งวุ่นวายเพราะเข้าใจว่าวายุภัคไม่สบาย บ้างก็ว่าโดนของ แม้แต่เสกลูกน้องคนสนิทก็ยังออกปากว่าคุณลมน่าจะลองไปให้หมอตรวจสักหน่อย ทำให้วายุภัคทั้งเบื่อทั้งระอาอย่างที่สุด คืนนี้หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว วายุภัคตัดสินใจติดต่อไปยังซาร่า หัวหน้างานของทิชากรซึ่งเป็นคนฝากฝังให้เธอมาอยู่ที่ไร่ของเขา
"ไฮ...พ่อลมรูปหล่อ ยังอยู่ดีใช่ไหมจ๊ะ พี่คิดว่าป่านนี้รบกับน้องกะทิของพี่จนต้องหามเข้าโรงพยาบาลกันไปแล้ว"
"ก็เกือบแล้วล่ะครับ พี่ซาร่าไปขุดเด็กเพ้อเจ้อคนนี้มาจากไหนครับเนี่ย"
"คุณเธอเขียนนิยายโพสต์ลงในเน็ตน่ะ เขียนได้สนุกจนคนติดกันหนึบเลย พี่ก็เลยชวนมาเขียนงานด้วย พอดีเห็นว่าเพิ่งเรียนจบก็เลยยึดไว้เป็นเด็กในสังกัดซะเลย เอ๊ะ ลมถามทำไมเหรอ นั่นๆๆ นั่นแน่ สนใจยายกะทิเข้าแล้วล่ะสิ"
"ต่อให้ผู้หญิงหมดโลก ผมก็ไม่สนใจแม่นี่หรอกครับพี่ซาร่า"
"ขอให้จริงอย่างที่พูดนะจ๊ะ เพราะพ่อของคุณน้องกะทิหวงลูกสาวม้ากมาก แล้วพ่อเธอก็ไม่ใช่ธรรมดาด้วย เป็นหมอไสยมือฉมังเลยนะ"
วายุภัคชะงักแล้วพึมพำกับตัวเอง "พ่อเป็นพวกพ่อมดหมอผีนี่เอง มิน่าถึงได้เพ้อเจ้อนัก"
ขณะเดียวกันที่นอกห้อง รักกับยมกำลังไล่ล่าเล่นงานนางโหงพราย อีกทั้งท่านเจ้าที่ก็พยายามช่วยด้วย นากรีมาเห็นภาพความวุ่นวายนั้นคาตาถึงกับช็อกหมดสติ เดือดร้อนรักกับยมต้องไปตามทิชากรมาดูอาการเธอ ส่วนนางโหงพรายก็หนีรอดไปได้อีกเช่นเคย
ท่านเจ้าที่เองก็อิดโรยอ่อนแรง ทิชากรซึ่งมองเห็นท่านเจ้าที่และพูดคุยสื่อสารกับท่านได้ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าสาเหตุที่ท่านไม่อาจสกัดนางโหงพรายและไม่สามารถคุ้มครองอาณาเขตแห่งนี้ได้ก็เพราะเจ้าของไร่ไม่ค่อยได้ทำบุญ
"คนอาไร้...หื่นก็หื่น ดื้อก็ดื้อ แล้วยังใจดำอีก แล้วท่านปู่พอจะทราบไหมคะว่าใครเป็นตัวการทำของใส่คุณลม"
"ข้าไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่ามันเกิดจากแรงแค้น...แค้นมาก แต่ตอนนี้ไอ้หมอผีมันตั้งใจจะให้พ่อหนุ่มนั่นทรมานจนถึงที่สุด แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าหมอผีที่ทำจะเปลี่ยนใจฆ่าเขาเมื่อไหร่"
"คุณลม...คุณไปทำให้ใครเขาแค้นคุณนักหนาเนี่ย เขาถึงคิดจะฆ่าคุณอย่างนี้" ทิชากรพึมพำหน้าเครียด...
ฟากนางโหงพรายที่กลับไปหมอบนิ่งกับพื้นต่อหน้าหมอผีจอมบงการ หมอผีหน้าตาดุดันไม่พอใจอย่างมาก ด่านางโหงพรายว่าโง่นัก แค่นี้ก็ทำงานไม่สำเร็จ...จากนั้นเขาคว้าไม้หวายขึ้นมาแล้วพนมมือท่องคาถาบางอย่าง ก่อนเอาหวายนั้นฟาดลงที่กลางหลังของนางโหงพรายอย่างแรง นางโหงพรายถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่หมอผีหาได้ยั้งมือ กลับฟาดหวายลงไปอีกนับครั้งไม่ถ้วน
ooooooo










